เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในลานบริเวณเรือนตนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
เรือนชิงเฟิงนั้นเป็นสถานที่พักของคุณชายผู้สืบทอดของจวนเจิ้นกั๋วกงมาแต่ไหนแต่ไร แม้นมิได้ตั้งอยู่ใจกลางจวนแต่ก็กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ภายในเรือนนั้นมีกระทั่งห้องฝึกยุทธ์
แต่เพราะเจ้านายนั้นมีเพียงหลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยว แรกเริ่มนั้นเป็นเพราะเกิดเรื่องที่เจินเมี่ยวตกจากชิงช้าทำให้ไล่คนออกไปกลุ่มหนึ่ง ส่วนที่เอาเข้ามาทดแทนนั้นกลับมีจำนวนน้อยลง ทุกวันในเรือนชิงเฟิงนั้นจึงค่อนข้างเงียบสงบ
ความครึกครื้นในระยะนี้คือการที่จิ่นเหยียนนกเอี้ยงตัวนั้นคอยบินจิกกัดวิวาทกันกับไป๋เสวี่ยแมวขาวซึ่งมันได้กลายเป็นทัศนียภาพหนึ่งของเรือนชิงเฟิงไปแล้ว
ทว่าวันนี้ที่เดินเข้ามานางก็เห็นว่าสาวใช้ที่ยืนอยู่บริเวณลานนอกเรือนนั้นช่างมากนัก เมื่อมองดูอย่างละเอียดก็พบว่าสาวใช้ของแต่ละเรือนในจวนต่างอยู่ที่นี่
ไป่หลิงเป็นคนฉลาด นางมองไปโดยรอบคราหนึ่งแล้วส่งสายตาให้สาวใช้ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ในเรือนชิงเฟิงคราหนึ่ง
สาวใช้ผู้นั้นก็รีบเดินเข้ามาแล้วย่อกายคารวะ
เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
สาวใช้น้อยเป็นคนของเรือนชิงเฟิงย่อมมิปิดบังเรื่องราวทุกอย่างกับเจินเมี่ยวอย่างแน่นอน นางจึงรีบเอ่ยรายงานเสียงต่ำว่า “บ่าวได้ยินว่าพระราชนัดดาทรงไปเล่นกับไป๋เสวี่ย แต่สุดท้ายกลับถูกมันข่วนเอา ทำให้ทุกคนต่างแตกตื่นตกใจ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะรับพระราชนัดดาไปพักที่เรือนอี๋อานชั่วคราว แต่พระองค์เอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุด บอกว่าหากไปจากที่นี่ เมื่อท่านกลับมาก็จะหาพระองค์ไม่พบจึงทรงยังคงประทับอยู่ที่นี่ ฮูหยินทุกท่านจึงมาที่นี่เพื่อดูแล นอกนั้นบ่าวก็ไม่ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้นี้อายุยังไม่มาก แต่กลับพูดจาฉะฉานทั้งยังบอกเล่าเรื่องราวเป็นลำดับขั้นตอนและชัดเจน เมื่อคิดว่านางเป็นเพียงสาวใช้น้อยที่มีหน้าที่ทำความสะอาดเรือนแต่สามารถบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นนี้นั้นก็เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งแล้ว
เจินเมี่ยวอดมองนางอยู่หลายครามิได้ เห็นว่านางมีรูปโฉมหมดจด ดวงตาดำขาวตัดกันชัดเจนก็คิดว่านางนั้นเป็นสาวใช้ที่ไม่เลวเลย
แต่เวลานี้เจินเมี่ยวมิอาจใส่ใจกับอันใดได้มากมายนัก นางรีบก้าวเท้าเข้าไปในเรือนทันที
ทว่าไป่หลิงผู้ฉลาดมีไหวพริบนั้นเห็นเจินเมี่ยวมองสาวใช้อยู่นี้อยู่บ่อยครั้ง ในใจก็กล่าวว่าพี่จื่อซูกำลังจะออกเรือนแล้ว ถึงเวลาก็คงต้องหาสาวใช้เข้ามาช่วยงานเพิ่ม สาวใช้ผู้นี้นับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเลยจึงคิดว่าต่อไปต้องคอยสังเกตนางให้มากขึ้น เพียงแต่เวลานี้ไม่มีเวลาพอจะมาสอบถามรายละเอียดใดๆ ได้แต่รีบเดินตามเจินเมี่ยวเข้าไปในเรือน
ตอนที่เจินเมี่ยวเดินเข้าประตูไปก็พบเข้ากับหมอหลวงสิงที่ถือกล่องโอสถ ข้างกายมีหมอยาติดตามมาด้วย โดยมีจื่อซูเป็นเดินไปส่ง
“หมอหลวงสิ พระราชนัดดาเป็นอย่างไรบ้าง?”
หมอหลวงสิงมองเจินเมี่ยวคราหนึ่ง ในใจก็กล่าวว่าฮูหยินของซื่อจื่อนั้นช่างสงวนท่าทีได้ดียิ่ง หากเป็นสตรีอื่น ทราบว่าสัตว์เลี้ยงของตนนำภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่เช่นนี้มาให้คงตกใจจนหน้าถอดสีไปหมดแล้ว
ท่าทีที่เจินเมี่ยวแสดงออกนั้นได้ว่าสุขุมยิ่ง เพราะนางเลี้ยงไป๋เสวี่ยมาสักระยะหนึ่งแล้ว มันอาบน้ำแปรงขนทำความสะอาดทุกวัน ทั้งมิเคยไปคลุกคลีกับแมวหรือสุนัขตัวอื่น หากบอกว่ามันอาจเป็นโรคอันใดสักอย่างนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสนั้นเลย แต่เด็กเล็กถูกข่วนเข้า หากจัดการไม่ดีเกิดเป็นบาดทะยักก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน แต่มีหมอหลวงสิงอยู่ นางก็วางใจไปได้เปลาะหนึ่งในด้านการรักษา
“แผลไม่ลึกอันใด ทำแผลเรียบร้อยแล้วขอรับ” เพราะมิได้เป็นอันใดจริงๆ หมอหลวงสิงจึงมิได้พูดอันใดมาก
เจินเมี่ยวรู้ดีว่าหมอหลวงเหล่าต่างฉลาดมีไหวพริบ การกระทำคำพูดล้วนเป็นกลางเสมอ ไม่มีทางรับปากอันใดให้คนเอาผิดตนเองได้ นางจึงมิถามอันใดอีก โค้งกายให้เล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ลำบากท่านหมอหลวงสิงแล้ว”
หมอหลวงสิงคารวะนางตอบแล้วขอตัวกลับ
เจินเมี่ยวเดินเข้าไปในเรือน นางสำรวจภายในห้องคราหนึ่งก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย
คิดไม่ถึงว่านางเถียนที่ล้มป่วยมาสักระยะแล้วนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะเกือบหายดีแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ตรงกลาง ความจริงก็ได้ยินคำสนทนาของเจินเมี่ยวกับหมอหลวงสิงแล้ว แม้นเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจนทำให้นางวุ่นวายใจแต่ก็ยังรู้สึกพอใจในท่าทีของเจินเมี่ยวอยู่ในใจลึกๆ
ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้นจักต้องเป็นนายหญิงของจวนกั๋วกงในภายหน้า ความสุขุมรอบคอบนั้นมิอาจขาดได้ ปกติเห็นหลานสะใภ้ไร้เดียงสามิใคร่รู้รอบ แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหา กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีดั่งว่าแม้นหุบเขาไท่ซานพังทลายลงมาต่อหน้าก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ จุดนี้เองเป็นข้อดีที่ยากนักจะพบเห็นได้โดยง่าย
มิต้องพูดถึงผู้อื่น แค่ตัวนางเอง เมื่อได้ยินว่าพระราชนัดดาถูกแมวที่เรือนชิงเฟิงเลี้ยงไว้ข่วนก็ใจหายวาบขึ้นมาคราหนึ่ง
แม้แต่นางซ่ง สะใภ้คนที่สามของนางที่เป็นคนสำรวมกิริยาไว้ด้วยดีเสมอได้ฟังข่าวก็ถึงกับทำถ้วยชาหกขณะกำลังรายงานเรื่องในจวนต่อตน
องค์รัชทายาททรงไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว องค์ชายรองกลายเป็นคนพิการ องค์ชายสามมิใช่จักต้องเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งนั้นหรอกหรือ และพระองค์ก็มีบุตรชายแค่เพียงคนเดียว ยิ่งมิต้องพูดถึงการแย่งชิงตำแหน่งขององค์ชายเลย เดิมนั้นการมีบุตรจากอนุบ้างก็ดีกว่าการมีบุตรเพียงคนเดียวอยู่แล้ว ราชวงศ์มีผู้สืบทอดต่อไป อนาคตจึงจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น
เรื่องนี้มิใช่การพูดจาส่งเดช ลองคิดดูว่าหากองค์ชายที่ไร้บุตรสืบสกุลขึ้นครองบัลลังก์ แล้วไม่อาจมีบุตรชายได้อีก แผ่นดินนี้ในภายภาคหน้าจะยังสงบสุขได้อีกหรือ?
แล้วพระราชนัดดาจะมีความสำคัญเพียงใดนั้นแค่คิดก็ทราบได้ทันที
แม้นจวนเจิ้นกั๋วกงจะเป็นตระกูลสูงศักดิ์แต่อย่างไรก็เป็นเพียงขุนนาง ต่อให้องค์ชายสามจะมิเอาความในตอนนี้ก็มิอาจรับประกันได้ว่าหลังวสันต์นี้ผ่านไปแล้วจะมิกลับมาคิดบัญชี
ครั้นฮูหยินผู้เฒ่าครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยอารมณ์อันหนักอึ้งมาตลอด
ตอนอยู่ในวัยสาวนั้นนางเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ไม่เคยไปขบคิดเรื่องพวกนี้สักเท่าใด ทว่าตั้งแต่เกิดความเปลี่ยนแปลงในจวนติดต่อกันมาเรื่อยๆ นางก็มิอาจทำตัวตามใจตนได้อีกต่อไป
ตอนนั้นสะใภ้ใหญ่ของนางตายอย่างมีเงื่อนงำ ส่วนบุตรชายคนโตนั้นตายในสนามรบ ทว่าผ่านไปหลายปีเหล่ากั๋วกงกลับแอบบอกกับนางว่าทหารคนสนิทที่ยังไม่ตายนั้นเห็นกับตาว่าธนูที่ยิงเข้าใส่บุตรชายคนโตตนนั้นมาจากฝั่งของตนเอง
นางได้ฟังก็ตกใจระคนโกรธกรุ่นจึงเร่งให้เหล่ากั๋วกงสืบเรื่องนี้อย่างละเอียดแต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปไม่นาน จวนกั๋วกงก็ต้องพบกับเรื่องเลวร้ายขึ้นอีก เพราะเหล่ากั๋วกงที่ขี่ม้ามาทั้งชีวิตตกจากหลังม้าจนสติเลอะเลือน เจ้าสี่สืบเรื่องราวนี้ในเวลาต่อมาและก็มิกลับจวนมาอีกเลย
ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมานางก็รู้ว่าสระน้ำแห่งนี้ลึกจนมิอาจคาดเดา นางเฝ้ามองลูกหลานในจวนแล้วก็จำต้องกล้ำกลืนเก็บเรื่องราวเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ จวนกั๋วกงมิอาจต้านรับกับพายุฝนใดๆ ได้อีกแล้ว
เจินเมี่ยวคารวะผู้อาวุโสภายในห้อง ครั้นถึงคราต้องคารวะนางเถียนนางก็พูดเสริมอีกว่า “สีหน้าอาสะใภ้รองดูไม่เลวเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าพักผ่อนมาหลายวัน อาการดีขึ้นมากจนเกือบหายดีแล้ว” นางเถียนยิ้มน้อยๆ แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรือนชิงเฟิงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้ามิอาจวางใจได้จึงมาดูสักหน่อย”
มุมปากของนางเถียนขยับยกขึ้น ครั้นกล่าวจบแล้วก็นึกได้ว่ามิใคร่เหมาะสมนักจึงพยายามกดข่มท่าทีตนไว้อย่างที่สุด แต่ในใจนั้นกลับเบิกบานอย่างหาที่สุดมิได้
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลายวันนี้ที่นางพักรักษาตัวอย่างโศกเศร้าเดียวดาย ครั้นเงยหน้าขึ้นได้กลับได้รับข่าวดีเช่นนี้
พระราชนัดดาบาดเจ็บในขณะที่พำนักอยู่เรือนชิงเฟิง มิต้องกล่าวถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจักต้องไม่พอใจ แต่หากล่วงเกินองค์ชายสามเข้า ผู้ใดก็มิอาจแบกรับได้
และที่น่ายินดียิ่งคือนางได้ยินมานานแล้วว่า แมวขาวตัวนั้นเป็นสิ่งที่ต้าหลังมอบให้นางเจิน
หึๆ จะจัดการกับแมวตัวนั้นเช่นไรต่างหากจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง
ในความคิดของนางเถียนนั้น จะมีผู้ใดกล้าปกป้องสัตว์เดรัจฉานที่ก่อเรื่องร้ายแรงเช่นนี้เล่า เจ้าแมวขาวนั้นจักต้องถูกตีจนตายแล้วส่งไปที่ตำหนักองค์ชายสามแน่ แต่เพราะนั้นเป็นของที่ต้าหลังมอบให้นาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วไม่เพียงเป็นการทำลายเกียรติของต้าหลัง แต่เกรงว่านางเจินยังอาจก่นด่าต้าหลังยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยการส่งแมวตัวนี้มาให้นาง พวกเขาจักต้องมีปากเสียกัน ความรักระหว่างสามีภรรยาจืดจางลงนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุด
เมื่อผ่านเรื่องการมีสาวใช้ทงฝังทั้งสองของนายท่านรองมานางเถียนก็เข้าใจดีอย่างที่สุดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยานั้นไม่ว่าจะใช้ชีวิตด้วยความเคารพกันดุจทหารมานานกี่ปี แต่ขอเพียงมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่งก็จะค่อยๆ ห่างเหินกันไป มิอาจกลับมาเป็นเช่นเมื่อแรกเริ่มได้
ดังนั้นเมื่อได้รับข่าวใหญ่เช่นนี้ อาการป่วยของนางเถียนก็หายไปถึงห้าในแปดส่วน เพราะอยากเห็นเรื่องสนุกนางจึงรีบแต่งกายอย่างรวดเร็วแล้วรุดมาทันที
เพราะการสนทนานี้ของคนทั้งสองทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองนางเถียนคราหนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าดูดีขึ้นทั้งยังแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายได้พบเจอเรื่องน่ายินดีอันใดกระนั้นก็อดขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมามิได้
เดิมคิดว่านางเถียนรุดมาที่นี่เพราะเป็นห่วงต้าหลังและภรรยา ทว่าเมื่อมองดูยามนี้แล้ว มิทราบเหตุใดกลับรู้สึกว่านางกำลังเบิกบานดีใจอยู่อย่างไรอย่างนั้น
อารมณ์ของคนนั้นแม้นอยากจะปิดบังไว้อย่างไรก็มิอาจปิดมิด ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังกังวลใจอยู่ เมื่อสะใภ้ทั้งหลายมาที่นี่ นางก็มิได้ใส่ใจนางเถียนเท่านัก แต่เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยขึ้นเช่นนี้ก็พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องขึ้นมา สายตาที่มองนางเถียนจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
นางเถียนที่กำลังรู้สึกภาคภูมิใจอยู่นั้นพลันรู้สึกได้ว่าสายตาที่ฮูหยินผู้เฒ่ามองตนนั้นแปลกไป หัวใจก็สะดุดวูบขึ้นมาคราหนึ่ง แต่แค่เพียงกลอกตาคราหนึ่งก็รีบหวนนึกถึงเรื่องที่นายท่านรองกระทำให้นางต้องเจ็บปวดหัวใจ ความเสียใจเหล่านั้นพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าทำให้นางดูมีท่าทีเศร้าสร้อยขึ้นมาหลายส่วน
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้ละสายตากลับแล้วหันไปมองเจินเมี่ยว
“ท่านย่า หลานสะใภ้ขอไปดูพระราชนัดดาก่อนเจ้าค่ะ”
“อืม” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า
เจินเมี่ยวไปที่ห้องหน่วนเก๋อ แม่นมหนิวและบ่าวไพร่จากตำหนักองค์ชายสามต่างอยู่ที่นั่นกันหมด ไป๋เสาเองก็ยืนอยู่ในมุมหนึ่งของห้องเช่นกัน แต่อาหลวนกลับกำลังหลอกล่อให้พระราชนัดดาดื่มโอสถ
สาวใช้หลายคนจากตำหนักองค์ชายต่างมองอาหลวนด้วยสายตาริษยาอาฆาตดั่งเป็นมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่หวังจะจ้วงแทงให้อาหลวนพรุนเป็นชะลอมจึงจะสามารถคลายความแค้นนี้ลงได้
ตั้งแต่พระราชนัดดาเกิดมา ผู้ที่พระองค์ใกล้ชิดมากที่สุดก็คือพระชายา สำหรับสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอย่างพวกนางนั้น แม้นมิได้ชิดใกล้อย่างที่พระราชนัดดาพระองค์อื่นมีต่อบ่าวไพร่ของตนแต่อย่างไรก็ย่อมต้องมีข้อแตกต่าง
แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อพระชายาจากไป พระราชนัดดาไม่เพียงคิดว่าฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเป็นพระมารดาตน แม้แต่สาวใช้สมควรตายที่ชื่ออาหลวนผู้ติดตามก็ทรงให้ความชิดใกล้มากกว่าพวกนางอย่างมาก
มิเห็นหรือว่าพระราชนัดดาถูกแมวข่วนแล้วกลับไม่ยอมให้พวกนางเข้าใกล้ แต่อาหลวนกลับยังคอยอยู่ข้างกายทั้งยังคอยเตือนให้ทรงดื่มโอสถอีก
สาวใช้ทั้งหลายมองสบตากัน ทุกคนต่างเข้าใจความในใจของกันและกันอย่างชัดเจน
ฐานะของฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดนั้น พวกนางไม่กลัวว่าจะมีผลกระทบใดต่อตนในภายภาคหน้า แต่อาหลวนไม่เหมือนกัน หากพระราชนัดดากลับตำหนักแล้วอยากให้อาหลวนไปคอยปรนนิบัติ จวนกั๋วกงจักต้องเก็บสาวใช้ผู้นี้ไว้ให้ได้อย่างนั้นหรือ?
ถึงตอนนั้นพวกนางไหนเลยจะมีที่ยืนได้อีก!
เมื่อได้ยินเสียงจิ่งเกอก็หันไปมอง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นยินดีทันที “ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว!”
พูดพลางยายามดิ้นรนลงจากเตียงแต่ถูกอาหลวนขวางไว้ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “พระราชนัดดา ทรงนั่งเฉยๆ เถิด มิเช่นนั้นต้าไหน่ไหน่ของเราคงเป็นห่วงกว่าเดิมเป็นแน่เจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอกลับเชื่อวาจาของอาหลวน เขานั่งนิ่งไม่ขยับเพียงจ้องมองเจินเมี่ยวตาละห้อย
เจินเมี่ยวรีบเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงด้านข้าง สำรวจมือที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลแล้วเอ่ยถามว่า “เจ็บหรือไม่?”
จิ่งเกอยิ้มหวาน “ตอนแรกเจ็บแต่เห็นท่านแม่แล้วก็ไม่เจ็บแล้ว”
เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง เด็กน้อยผู้นี้หากเติบใหญ่ขึ้นคงเอาใจสตรีเก่งไม่น้อย เสน่ห์คงล้นเหลือเป็นแน่ มิเห็นหรือว่าตอนนี้แม้แต่นางยังมิกล้าแก้คำว่า ‘ท่านแม่’ ของเขาแล้ว
คิดไม่ถึงว่าจิ่งเกอนั้นกลับฉลาดมีไหวพริบกว่าที่นางคิดไว้มาก เมื่อเห็นเจินเมี่ยวเงียบไม่เอ่ยสิ่งใดไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบแก้ว่า “ท่านอา ท่านเป่าแผลให้จิ่งเกอหน่อยเถิด”
แม่นมหนิวทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ จึงไอขึ้นเสียงหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เซี่ยนจู่ โปรดอนุญาตให้บ่าวพูดอันใดสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
MANGA DISCUSSION