วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 284 ห่วง
กระทั่งเวินยาฉีกลับไปแล้ว เจินเมี่ยวก็ยังรู้สึกไม่วางใจจึงเอ่ยกับนางเวินว่า “ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าระยะนี้ญาติผู้น้องสนิทกับพี่สามยิ่ง ท่านก็รู้ว่าพี่สามกับข้ามีเรื่องไม่เข้าใจกันมาแต่ไหนแต่ไร จู่ๆ นางก็มาตีสนิทกับญาติผู้น้องเช่นนี้ ข้ากลัวว่านางจะมีแผนการใด นางกลับมาดูแลบำรุงครรภ์ย่อมต้องอยู่ที่นี้ไปอีกนาน ท่านช่วยควบคุมญาติผู้น้องสักหน่อยให้นางฝึกเย็บปักอยู่ที่สวนเฉินเซียงอย่างสงบใจเถิด หากรู้สึกเบื่อก็ไปสนทนาเล่นกับน้องห้า น้องหกก็ได้”
นางเวินถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้ามิใช่ไม่รู้ว่าปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์มิใคร่ไยดีเวินยาฉีมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เวินยาฉีอายุแค่สิบสี่สิบห้า เป็นวัยที่กำลังชอบความสนุกสนาน แต่ฐานะของนางก็มิสะดวกให้พานางออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ เมื่อไม่มีสหายที่รู้ใจคอยพูดคุยด้วยก็ย่อมต้องเหงาเป็นธรรมดา เมื่อพบกับเจินจิ้งที่อายุใกล้เคียงกันก็ง่ายที่จะสนิทกันเร็ว ข้าเองก็มิอาจแข็งใจเอ่ยห้ามปราม แต่ที่เจ้าคิดก็มีเหตุผล แล้วข้าจะไปกำชับยาฉีไว้สักหน่อย”
เจินเมี่ยวปล่อยเรื่องนี้ไปแล้วพูดคุยกับมารดาในเรื่องอื่นๆ ต่อ
กระทั่งดื่มชาไปจนครึ่งกา นางเวินจึงเอ่ยเร่งนางว่า “อากาศหนาวเช่นนี้มิควรให้บุตรเขยรออยู่ข้างนอก พวกเจ้าสองคนรีบไปกล่าวอำลากับฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกลับจวนเถิด”
เจินเมี่ยวลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์
กล่าวไปแล้วที่จวนกั๋วกงผู้ที่เป็นใหญ่ที่สุดก็มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่า ซื่อจื่อก็ยุ่งทั้งวันไม่เห็นแม้เพียงเงา นางเถียนนั้นล้มป่วยอยู่ การดูแลจัดการจวนนั้นก็ได้อาสะใภ้ทั้งสองคอยช่วยเหลือ นางนั้นมีชีวิตอยู่อย่างอิสระยิ่ง แต่ทุกวันก็มิได้มีคนที่พอจะพูดคุยด้วยได้จริงๆ ทว่ากลับยิ่งสนิทสนมกับแมวและนกมากขึ้น แต่เวลาพวกมันเจอหน้ากันทีไรก็มีอันต้องวิวาททุกครั้งไปทำให้นางปวดหัวไม่น้อย
ยากนักจะได้มีโอกาสกลับมาเยี่ยมมารดาเช่นนี้ นางเวินเป็นคนมิคิดอันใดมาก ทั้งยังรักห่วงบุตรสาวด้วยใจจริง ครั้นได้พูดคุยกันก็มีแต่ความสุขมิได้ไปครุ่นคิดกับเรื่องที่มันผิดแปลกมากเล่ห์เหล่านั้น เจินเมี่ยวเองก็รู้สึกว่าพวกตนสองแม่ลูกมีคำพูดมากมายที่พูดคุยอย่างไรก็ไม่มีวันจบสิ้น
นางเวินเห็นบุตรสาวตนที่งดงามดุจบุปผาดั่งหยกก็อดกำชับอีกคำมิได้ว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ เจ้าต้องจำคำแม่ไว้ให้ดี พวกเจ้ายังหนุ่มสาว เหนือหัวไม่มีแม่สามีคอยดูแลกำกับ แต่ก็มิอาจทำตัวเอาแต่ใจตนเกินไป หากกระทบต่อสุขภาพขึ้นมา อนาคตจักต้องทุกข์ทนมากเป็นแน่ ”
“ท่านแม่!” เจินเมี่ยวอดกลอกตาไปมามิได้
นางเวินตีแขนนางดังเปรี๊ยะคราหนึ่ง แล้วเอ่ยตำหนิว่า “กลอกตาเช่นนั้นได้อย่างไร ดูไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย!”
ครานี้เจินเมี่ยวไม่กล้าแม้จะกลอกตาไปมาอีก ได้แต่รับคำบ่งบอกว่าเข้าใจแล้วอย่างจำยอม ในใจก็กล่าวว่าสามีนางเป็นนักบวชมานานแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องแบกหม้อดำใบใหญ่เสียนี่
ตอนที่ออกมาก็เห็นหลัวเทียนเฉิงกำลังยืนเอามือไพล่หลังเหม่อมองไปที่แสนไกลไม่ทราบกำลังคิดสิ่งใดอยู่
วันนี้เขาสวมชุดคลุมตัวยาวสีขาวขุ่น บนศีรษะครอบรัดเกล้าหยกขาวทำให้รู้สึกว่าใบหน้านั้นก็ทำมาจากหยกด้วยเช่นกัน ครั้นเขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ดูเย็นชานิ่งขรึม ท่าทีสูงส่งอย่างที่ผู้ใดก็มิอาจเอื้อมถึง
เจินเมี่ยวพลันสังเกตเห็นว่าไม่เพียงแค่พี่เจี่ยงที่มิได้พบกันนานแล้วที่ผ่ายผอมลง ซื่อจื่อเองก็ซูบลงไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อได้ยินเสียงหลัวเทียนเฉิงก็หันกลับมา
อาจเพราะดื่มสุรามาทำให้ดวงตาที่เดิมก็มีเส้นเลือดแดงกระจายอยู่เต็มนั้นกลับยิ่งแดงก่ำขึ้นอีก ใต้ตาก็ดำคล้ำ
ไม่รู้เหตุใดเจินเมี่ยวจึงรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมา นางรีบเดินเข้าไปหาแล้วเม้มริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ไยจึงยืนตากลมอยู่ที่นี้เล่า คิดว่าตนสร้างมาจากเหล็กจริงๆ งั้นหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงยกมุมปากขึ้น เอ่ยอย่างไม่ร้อนไม่หนาวว่า “ข้าร่างกายแข็งแรงทนร้อนทนหนาว ก็มิต่างอันใดจากเหล็กมิใช่หรือ?”
ด้านหลังยังมีไป่หลิงและชิงเกอตามมาด้วย เจินเมี่ยวพลันรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยจึงถลึงตามองเขาอย่างแฝงคำตำหนิ น้ำเสียงก็เย็นชาขึ้น “สายมากแล้ว เราไปบอกลาท่านปู่ท่านย่ากันเถิด”
กระทั่งออกมาจากเรือนหนิงโซ่วและขึ้นรถม้าเรียบร้อย ทั้งสองยังคงนั่งกันคนละมุม ต่างไม่มีผู้ใดไยดีกัน ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าม้าและล้อรถเคลื่อนไหว เมื่อถึงถนนใหญ่ก็ได้ยินเสียงคนอึกทึกคึกคัก แค่ผ้าม่านกั้นบนรถม้าไหนเลยจะขวางกั้นเสียงเหล่านี้ได้
หลัวเทียนเฉิงหันไปมองฝั่งตรงข้ามคราหนึ่ง
รถม้าเคลื่อนไปอีกสักระยะก็จะถึงศาลาว่าการ ไหนเลยจะมีเวลากลับจวนไปเป็นเพื่อนนาง เดิมคิดจะอาศัยการกลับไปเยี่ยมพ่อตาแม่ยายครั้งนี้ชิดใกล้กับนางให้มากขึ้น ผู้ใดจะทราบว่าเขากลับถูกนางบีบหัวใจจนเจ็บปวดไปหมด กระทั่งยามนี้โทสะก็ยังมิคลายลง แต่สตรีผู้นั้นกลับทั้งดั่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นกระนั้น
หลัวเทียนเฉิงยิ้มขืนอยู่ในใจ
ชาติก่อนนั้นเขาไม่นับว่าสุขุมรอบคอบอันใด มิต้องพูดถึงสาวใช้ทงฝังหลายคนในเรือน แม้นนอกเรือนก็มีเรื่องชู้สาวอยู่ไม่น้อย สตรีที่รักหลงใหลเขานั้นมิใช่ไม่มี ท่าทีที่สตรีผู้หนึ่งชมชอบบุรุษผู้หนึ่งเป็นเช่นไรนั้นมีหรือเขาจะไม่รู้เลยสักนิด
อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าท่าทีของเจี๋ยวเจี่ยวในยามนี้มิได้มีความรักอย่างหนุ่มสาวต่อเขามากมายอันใดนัก
วันนี้ที่เขายืนอยู่ข้างป่าไผ่มองพวกเขาสองคนพูดคุยกันอย่างยิ้มแย้ม สายตาสบจ้องกัน แม้นตอนพูดคุยนั้นจะยืนอยู่ห่างกันพอสมควรแต่กลับดูสนิทสนมกันยิ่ง ครั้นลมพัดป่าไผ่เอนไหว เงาของคนทั้งสองที่สะท้อนอยู่บนพื้นกลับเอนไหวขยับซ้อนทับกันเป็นหนึ่งเดียวคล้ายกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่กระนั้น
เวลานั้นเขาลืมกระทั่งมองสีหน้าของคนทั้งสอง เอาแต่จ้องมองเงานั้นจนแทบกระอักเลือดออกมา
หรือในใจของเจี๋ยวเจี่ยวจะมีเงาร่างของเจี่ยงเฉินซ่อนอยู่? มิเช่นนั้นเหตุใดนางจึงมิยอมเปิดใจให้เขาเสียทีเล่า?
ครั้นคิดได้เช่นนี้ ลมหายใจของหลัวเทียนเฉิงก็สะดุดทันที ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาในหัวใจ แต่เขาเป็นผู้มีศักดิ์ศรียิ่ง แม้นในใจเจ็บปวดเจียนตายแต่ใบหน้ากลับยังคงความเย็นชาไว้ได้ ทำให้คนที่เห็นคิดว่าเขาเพียงโมโหอันใดสักอย่างจึงได้แสดงสีหน้าบึ้งตึงเย็นชาเช่นนั้นออกมา
เจินเมี่ยวลอบชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง เห็นกระแสเย็นชาที่แผ่ออกมาจากกายเขาแล้วก็อดขย้ำผ้าเช็ดหน้ามิได้
มิเคยเห็นคนที่ประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้ายเช่นนี้มาก่อน ตอนอยากจะงอนง้อก็ส่งของขวัญมาให้ได้ทุกวัน แค่เห็นหน้าก็แทบจะกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อยมือ แต่ครั้นโกรธเคืองขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลก็แสดงท่าทีดุจคนอยู่ห่างไกลกันนับพันลี้
ฮึ! ต่อให้ทำทีเหมือนอยู่ห่างกันนับพันลี้แต่รถม้าก็กว้างแค่นี้เท่านั้น ผู้ใดกลัวกันเล่า เรามิควรโอนอ่อนให้บุรุษจนเกินไป!
เจินเมี่ยวเองก็มิทราบว่าตนไปอ่านวาจานี้มาจากที่ใดจึงหยิบมาใช้งานจริงเสียหน่อย เมื่อกล่าวเช่นนี้อยู่ในใจเสร็จก็นึกสนุกขึ้นมาจึงอดเม้มริมฝีปากผลิยิ้มออกมามิได้
แม้นสีหน้าของหลัวเทียนเฉิงจะดูเย็นชาแต่ความจริงก็ใช้หางตาชำเลืองมองเจินเมี่ยวอยู่ตลอด เมื่อเห็นนางยิ้มออกมาคล้ายมิเห็นความเจ็บปวดของเขาอยู่ในสายตาเช่นนี้ก็โกรธจนหายใจผิดจังหวะ เส้นเอ็นในร่างกายจึงพลันปวดแปลบขึ้นมา ใบหน้าเหยเก
เวลานี้เองรถม้าก็หยุดลงกะทันหัน เจินเมี่ยวจึงเซถลาไปด้านหน้า
หลัวเทียนเฉิงรีบยื่นมือไปคว้านางไว้ ร่างอันนุ่มนิ่มหอมกรุ่นจึงตกเข้าสู่อ้อมกอดของเขา เพราะเมื่อครู่หายใจผิดจังหวะและถูกกระแทกเช่นนี้อีกทำให้อดส่งเสียงออกมามิได้
เจินเมี่ยวเคยเผชิญความยากลำบากด้วยกันกับเขามาเมื่อคราอยู่ที่เป่ยเหอ จึงทราบดีว่าเขาแข็งแรงเพียงใด ตอนนั้นแม้ขาถูกกิ่งไม้เสียบจนเป็นรูโหว่ก็มิเห็นเขาขมวดคิ้วด้วยซ้ำ แต่ยามนี้ถึงกับร้องออกมา หรือนางกระแทกเขาแรงเกินไป?
เจินเมี่ยวมิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงสีหน้าไม่ดีก็ลืมเรื่องที่ไม่พอใจกันไปเสียสิ้น นางรีบประคองเขาแล้วถามว่า “จิ่นหมิง เป็นอันใด ข้ากระแทกถูกตรงไหนหรือ?”
พูดพลางลูบปอยผมตนแล้วพึมพำว่า “ปิ่นปักผมบนศีรษะข้าคงมิได้แทงถูกท่านกระมัง?”
หลัวเทียนเฉิงกุมบริเวณซี่โครงตนไว้ เดิมคิดจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่เมื่อเห็นเจินเมี่ยวคลำผมตนอย่างลนลาน ทั้งท่าทีร้อนรนนั้นอีก เขาจึงรีบกลืนวาจาที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นลงไปทันที ในใจก็กล่าวว่าเด็กน้อยที่รู้จักร้องไห้ถึงมีน้ำนมให้ดื่ม เขาทำเป็นแข็งแกร่งผู้อื่นกลับไม่สนใจ แต่ยามนี้กลับร้อนใจจนแทบทนไม่ไหว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็แค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ
ที่แท้เจี่ยงเฉินผู้นั้นก็รู้ว่าจะทรมานสตรีได้อย่างไร คงรู้ว่าเจี๋ยวเจี่ยวของเขานั้นเป็นคนใจอ่อนจึงได้แสดงท่าทีอ่อนแอเช่นนั้นออกมา
ฮึ! แสดงให้ใครดูกันเล่า คิดว่าเขาทำไม่เป็นหรืออย่างไร!
“มิ…มิเป็นไร…” หลัวเทียนเฉิงปากเอ่ยเช่นนี้แต่ใบหน้ากลับขมวดเกร็งไปหมด เขาค่อยเดินลมปราณทำเลือดบนหน้าค่อยๆ เหือดหายไปจนขาวราวกับกระดาษก็มิปาน เหงื่อเย็นต่างไหลซึมออกมาไม่หยุด
เจินเมี่ยวเห็นเช่นนั้นก็ลืมแม้กระทั่งความสงสัยใดๆ ไปเสียสิ้น นางประคองเขาไว้อย่างระมัดระวังด้วยท่าทีร้อนใจ “เจ็บมากหรือไม่? กระแทกโดนตรงใดหรือ ให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”
นางพูดพลางแหวกเสื้อเขาออกดู หลัวเทียนเฉิงใช้มือกุมซี่โครงไว้ข้างหนึ่ง เมื่อเห็นเช่นนั้นก็กัดฟันใช้พลังลมปราณอัดเข้าไปที่ซี่โครงตน ครั้นเจินเมี่ยวแหวกเสื้อออกดูก็ปรากฏรอยเขียวช้ำตรงบริเวณนั้นขึ้นมาทันที
เจินเมี่ยวซูดปากคราหนึ่ง นางยื่นมือออกไปคิดจะนวดให้เขาแต่เกิดกลัวว่าเขาจะเจ็บจึงได้แต่นิ่งไปไม่ทราบว่าจะทำเช่นไร นางพึมพำว่า “รอยนี้เป็นเพราะข้าชนท่านหรือ? หรือศีรษะข้าจะทำจากเหล็ก?”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็กลัวมีพิรุธจึงได้แต่อดกลั้นไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเห็นท่าทีเป็นห่วงกังวลของนาง ความเจ็บปวดที่มีมาแต่แรกนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความหวานล้ำทันที
สตรีที่อยู่ในใจนั่งชิดใกล้เขาเพียงนี้ นางกำลังก้มหน้าต่ำตรวจดูบาดแผลทำให้มองเห็นลำคอขาวอมชมพูนั้นได้ถนัดตา ปอยผมซุกซนคลอเคลียอยู่ข้างใบหูขับให้ใบหูขาวผ่องขึ้นมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นช่างทำให้ใจคนเต้นไม่เป็นส่ำอย่างยากจะควบคุม
หลัวเทียนเฉิงพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา กระทั่งขบใบหูเล็กๆ ขาวผ่องของนางเอาไว้อย่างอดไม่ได้
เจินเมี่ยวสั่นสะท้านไปทั่วร่างคล้ายถูกกระแสไฟแล่นเข้าชนและนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
เวลานี้เองเสียงคนขับรถม้าก็ดังขึ้นพอดี “ซื่อจื่อ ท่านทั้งสองไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เมื่อครู่มีคนวิ่งตัดหน้า รถม้าจึงต้องหยุดกะทันหัน”
หลัวเทียนเฉิงผ่อนลมหายใจออกมา มุมปากหยักยกขึ้น “มิเป็นไร ควบต่อไปเถิด ประเดี๋ยวให้เลี้ยวซ้ายส่งข้าที่ศาลาว่าการก่อน แล้วค่อยพาต้าไหน่ไหน่กลับจวน”
คนขับรถม้าจึงเริ่มควบม้าอีกครา ยามนี้เจินเมี่ยวนั่งเรียบร้อยแล้ว นางจัดการเอาปอยผมที่หลุดลุ่ยนั้นทัดไว้ที่หลังหูแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นถึงเพียงนี้แล้วยังจะไปศาลาว่าการอีกหรือ กลับไปพักสักหน่อยก่อนเถิด ข้าว่าซี่โครงท่านถูกกระแทกแรงไม่เบาเลย กลับไปเอาผ้าร้อนประคบเสียหน่อยจะได้หายเร็วขึ้น”
หลัวเทียนเฉิงตั้งใจเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแข็งแรงยิ่ง มิเป็นอันใดดอก ที่ศาลาว่าการยังมีเรื่องอีกมากให้ทำ”
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “หลัวเทียนเฉิง ข้าเพิ่งจะรู้ว่าท่านใจน้อยถึงเพียงนี้ แค่วาจาประโยคเดียวก็จำไม่ลืมเลยเชียว”
“ไม่ใช่เสียหน่อย ข้ามีงานจริงๆ อีกอย่างข้าก็มิใช่กระดาษไร้คุณภาพ กระแทกแค่นี้มิเป็นอันใดดอก” แม้นเขาจะพูดเช่นนี้ทว่าบนหน้าผากกลับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มไปหมด
เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นมากมายนี้นั้นเกิดจากพลังลมปราณของคนเจ้าเล่ห์ นางจึงเอ่ยตำหนิว่า “มิต้องมาทำเป็นเก่ง!”
หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยว ท่าทีคล้ายกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวดไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้าเป็นห่วงข้า ข้าตามเจ้ากลับจวนก็ได้”
พูดพลางใช้ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเจินเมี่ยวนิ่ง
เจินเมี่ยวถูกสายตาร้อนแรงของเขาจ้องก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาจึงเม้มริมฝีปากไว้มิเอ่ยสิ่งใด
“ข้าว่าข้ากลับศาลาว่าการดีกว่า เจ็บแค่นี้ไม่นับเป็นอันใดได้ ประเดี๋ยวกลับไปก็อาบน้ำเย็นสักถังแล้วนวดสักหน่อยก็หายแล้ว”
“จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”
หลัวเทียนเฉิงรั้งร่างนางเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยเสียงแผ่วอย่างเอาแต่ใจว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องบอกว่าเป็นห่วงข้า ข้าก็จะตามเจ้ากลับจวน”
เจินเมี่ยวกลัวว่าเขาจะไม่รักถนอมสุขภาพตนจริงๆ จึงเอ่ยเสียงแผ่วทั้งหน้าแดงก่ำว่า “ข้าเป็นห่วง พอใจแล้วหรือไม่?”