วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 270 หน้าระบมไปหมดแล้ว
“แม่นมเถียน?” เจินเมี่ยวครุ่นคิด “ใช่แม่นมเถียนที่ข้าเผลอทำนางกระดูกหักเมื่อคราไปพบข้าที่เรือนชิงเฟิงหรือไม่?”
รอยยิ้มของนางเถียนพลันแข็งค้างไป แล้วพยักหน้ารับคำ
เจินเมี่ยวรีบส่ายหน้าทันที “จากที่อาสะใภ้รองกล่าวมา ฝ่ายชายนั้นมีคุณสมบัติที่ดียิ่ง แต่การแต่งงานสำคัญที่วาสนา ทว่าแม่นมเถียนไปหาข้าครั้งแรกก็ถูกทับจนกระดูกหักลุกไม่ได้เป็นเดือนๆ ข้าจึงรู้สึกว่ามันเป็นนิมิตหมายที่มิใคร่จะดีนัก”
นางเถียนบิดเบ้มุมปากตนโดยแรง
แม่นมของนางถูกทับจนกระดูกหักเพราะผู้ใดกัน ยังกล้ามาพูดเรื่องนิมิตหมายอีกหรือ!
“ท่านย่า ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
เจินเมี่ยวเพิ่งอายุสิบห้า เล่ห์กลใดก็มิใคร่มีมากนัก ดวงตาจึงใสบริสุทธิ์ยิ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วสบายตายิ่ง จึงพยักหน้าคล้อยตาม “หลานสะใภ้พูดมีเหตุผล”
คนเราเมื่ออายุมากแล้วส่วนมาก็ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยิ่งคนที่พูดคือหลานสะใภ้ที่ตนชมชอบไม่น้อยด้วยอีก
นางเถียนกล้ำกลืนโทสะตนลงไปแล้วคลี่ยิ้มออกมา “เพราะเป็นหลานของแม่นม ข้าจึงรู้มีความเอนเอียงอยู่บ้าง ความจริงผู้ที่มาร้องไห้ข้าช่วยสู่ขออาหลวนนั้นมีอยู่หลายคนทีเดียว”
นางเถียนจึงเอ่ยขึ้นอีกหลายตระกูล หากมิใช่หลานชายของพ่อบ้านผู้ดูแลจวน ก็เป็นหลานของเถ้าแก่ร้านค้า หรือไม่ก็หลานชายของหัวหน้าชุมชน แต่ไม่ว่าอย่างไรบุรุษทุกคนที่กล่าวมาก็นับว่ามีคุณสมบัติที่ดีจริงสำหรับสตรีผู้หนึ่งที่มีชาติกำเนิดเป็นเพียงสาวใช้
เจินเมี่ยวคอยสังเกตท่าทีจริงใจที่แสดงออกเต็มหน้าของนางเถียน ในใจก็เริ่มหวาดระแวง
จู่ๆ ก็มาดูแลเอาใจใส่ แต่นางเป็นสาวใช้ของตน ผู้อื่นจะมาห่วงใยอันใดหนักหนา!
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าฟังบุรุษที่เอ่ยมาทั้งหมดแล้วก็เริ่มสนใจ จึงเอ่ยเย้าว่า “หลานสะใภ้ สาวใช้คนสนิทของเจ้าหลายคนก็อายุไม่น้อยแล้ว ถึงเวลาต้องหาคู่ครองให้แล้วกระมัง”
หากเก็บสาวใช้ไว้ข้างกายนานเกินไปเกรงว่าจะเหิมเกริมปีนขึ้นเตียงคุณชายลับหลังนายตนก็เป็นได้
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงรูปโฉมของอาหลวนแล้วก็พาลหวาดหวั่นขึ้นมา
สาวใช้ผู้นั้นงดงามจริงๆ เก็บไว้นานเกินไปย่อมมิใช่เรื่องดีแน่
บางทีอาหลวนอาจจะเป็นสาวใช้ที่จวนเจี้ยนอานปั๋วเตรียมไว้เพื่อทำหน้าที่สาวใช้ทงฝังก็เป็นได้ เพียงรอให้นางเจินตั้งครรภ์เสียก่อนเท่านั้น
เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าฮูหยินผู้เฒ่าคิดมากเกินไปแล้วจึงเอ่ยเพียงว่า “สาวใช้ทั้งสองนั้นข้าล้วนจัดแจงไว้หมดแล้ว รอให้จื่อซูออกเรือนไป อาหลวนก็จะขึ้นมารับหน้าที่แทนนาง อย่างไรก็คงต้องอยู่อีกสักสองสามปี”
พูดแล้วก็หันไปยิ้มให้นางเถียน “แต่ชิงเกอนั้นแม้นนางจะอายุยังน้อย แต่เกรงว่าหากชักช้าอาจจะหาผู้ที่เหมาะสมกับนางมิได้ หากอาสะใภ้รองมีผู้ที่ดูเหมาะสมก็แนะนำให้ข้าสักหน่อยเป็นไร?”
ชิงเกอ?
ในหัวของนางเถียนพลันปรากฏภาพของสาวใช้ร่างอ้วนที่ความสูงกับความกว้างมีขนาดเท่าๆ กันแล้วก็พาลจะเป็นลม
เจินเมี่ยวตบมือตนคราหนึ่ง “ใช่แล้ว อาสะใภ้รอง หลานชายของแม่นมที่ท่านเอ่ยขึ้นก่อนใครนั้นก็ไม่เลวเลย แม้นชิงเกอจะสวยน้อยกว่าอาหลวนเล็กน้อย แต่หลานของแม่นมเถียนเป็นถึงบัณฑิตคงเข้าใจหลักเหตุผลการแต่งภรรยาย่อมต้องเลือกผู้มีจรรยา มิใช่ลุ่มหลงความงามเป็นแน่”
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมองตนด้วยดวงตาเป็นประกาย นางเถียนก็ยิ่งรู้สึกหน้ามืดหนักขึ้นไปอีก
ไม่ยอมให้อาหลวนแต่งออกไปยังพอทำเนาแต่ถึงกับฉวยโอกาสเร่ขายสาวใช้ร่างอ้วนนั้นอีกหรือ?
นางเคยเห็นคนไร้ยางอายแต่ก็มิเคยเห็นที่ไร้ยางอายถึงเพียงนี้!
นางยังกล้าบอกว่าชิงเกอสวยน้อยกว่าอาหลวนเล็กน้อย นั้นเรียกว่าเล็กน้อยหรือ! ห๊ะ?
“อาสะใภ้รอง ท่านไปเจรจากับแม่นมเถียนดูสักหน่อยเถิด” เจินเมี่ยวยิ้มอย่างเขินอาย
“เรื่องนี้…” นางเถียนถึงกับพูดไม่ออก
หากตอบปฏิเสธไปเช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าหลานชายของแม่นมเถียนมองเพียงรูปลักษณ์ นางเจินย่อมพูดได้ว่านางมิอาจวางใจให้อาหลวนแต่งไปกับคนที่เห็นแก่รูปโฉมเป็นสำคัญ
หากตอบรับหรือ ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
สาวใช้นั้นอวบอ้วนยังไม่พอแต่ยังมีกำลังมากยิ่ง หากพลั้งมือทำสิ่งใดไปคงได้เกิดเหตุผมหงอกส่งผมดำเป็นแน่ อย่างไรเสียแม่นมเถียนก็เป็นแม่นมของนาง!
“ชิงเกอ…ชิงเกออายุน้อยไปสักหน่อย…”
“อาหลวนก็โตกว่าชิงเกอแค่ปีสองปีเท่านั้น ช่างเถิด ข้ามิได้เร่งรีบอันใด ท่านว่าใช่หรือไม่ อาสะใภ้รอง?”
เหอะๆ ผู้ใดกล้าคิดจะมาขออาหลวน นางก็จะยกชิงเกอให้ก่อน!
“ก็จริง…” นางเถียนฝืนเอ่ยออกมาได้เพียงไม่กี่คำ
หัวข้อสนทนานี้จึงเป็นอันตกไป
กระทั่งกลับถึงเรือน นางเถียนต้องนั่งหอบหายใจอยู่หลายคราจึงเรียกแม่นมเถียนมาพบ
เมื่อได้ยินว่าเจินเมี่ยวเกือบจะยัดเยียดชิงเกอมาเป็นหลานสะใภ้ตน แม่นมเถียนก็ตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก
หลานชายผู้นั้นของนางแม้นบอกว่าเรียนตำรามาหลายเล่ม แต่ความจริงนั้นมีแต่คนเอาอกเอาใจหากแต่งชิงเกอให้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็คงไม่ยอมแน่
คนทั้งสองปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง แม่นมเถียนก็ออกจากห้องไป
ว่าไปแล้วก็แปลกนัก ตั้งแต่วันที่นางเถียนเอ่ยปากทาบทามอาหลวนก็คล้ายดวงเนื้อคู่ของนางมีการเคลื่อนไหวขึ้นมาแล้วกระนั้น เพราะมีคนไม่น้อยทยอยกันเข้ามาทาบทามอาหลวน บางคนถึงกับไปขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าด้วยซ้ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่าเจินเมี่ยวคิดจะเก็บอาหลวนไว้อีกสองสามปี อย่างไรก็เป็นสาวใช้ของหลานสะใภ้ นางเป็นเพียงย่ามิอาจตัดสินใจแทนได้จึงได้ปฏิเสธไป
ในจวนเอก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาเรื่อยๆ
วันนี้อาหลวนและไป่หลิงเดินกลับเรือนมาด้วยกัน ในขณะที่เดินผ่านพุ่มดอกไม้ก็ได้ยินเสียงซุบซิบของสาวใช้น้อยสองคน
“ได้ข่าวหรือไม่ อาหลวนเรือนชิงเฟิงผู้นั้นต้าไหน่ไหน่เตรียมไว้สำหรับซื่อจื่อ”
“จริงหรือ นั้นมิใช่สาวใช้คนสนิทของต้าไหน่ไหน่หรอกหรือ?”
“เจ้าโง่หรือไร ก็เพราะเป็นสาวใช้คนสนิทอย่างไรเล่า รอให้ต้าไหน่ไหน่ตั้งครรภ์ค่อยยกให้ซื่อจื่อ อย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้ซื่อจื่อไปเรือนฝั่งตะวันตกนัก”
“พี่สาวท่านช่างรอบรู้นัก คริๆ”
สาวใช้ที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้ากลับพ่นวาจาออกมาว่า “รอบรู้อันใด ข่าวนี้มันแพร่สะพัดไปทั่วจวนแล้วมิใช่หรือ? วันนั้นข้ายังเห็นสาวใช้ทงฝังที่ชื่อเฉินอวี๋มาแอบร้องไห้อยู่ที่นี่ด้วย”
อาหลวนนิ่งฟัง สีหน้าขาวเผือด
ไป่หลิงกุมมือนางแล้ว แล้วเอียงคางชี้ไปด้านข้าง
ที่นั่นมีคนสวนที่กำลังใช้กรรไกรอันใหญ่ตัดแต่งกิ่งไม้อยู่
อาหลวนเห็นแล้วก็สงบอารมณ์ตนไว้
ไป่หลิงจูงมือนางกลับไปที่เรือนแล้วเอ่ยปลอบว่า “อาหลวน เจ้าอย่าได้เอามาใส่ใจเลย คนพวกนั้นก็พูดเหลวไหลไปเรื่อย”
“พวกนางกำลังจะโยนข้าเข้ากองไฟอยู่รอมร่อแล้ว!” อาหลวนกัดฟันพูด
“ไป เราไปพูดกับต้าไหน่ไหน่เดี๋ยวนี้เลย”
อาหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
นางเองก็ไม่แน่ใจว่าหลังจากที่ต้าไหน่ไหน่ได้ฟังวาจาเหล่านี้แล้วจะคิดเช่นไร อาจจะระแวงในตัวนางก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น นางยังมีความหมายใดอีกต่อไปเล่า
อาหลวนรู้สึกโกรธแค้นในรูปโฉมของตนอีกครั้งที่ทำให้นางต้องลำบากเช่นนี้
ครั้นไป่หลิงเล่าข่าวลือที่เกี่ยวกับอาหลวนจบ เจินเมี่ยวกลับยิ้มออกมา นางเรียกสาวใช้ที่มีขั้นตำแหน่งเข้ามาในห้อง นอกจากสาวใช้ที่ติดตามตนออกเรือนมาแล้วยังมีอวิ๋นหลิ่วและอวิ๋นเยี่ยนอีกสองคน
เจินเมี่ยวมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คิดว่าทุกคนคงทราบข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วจวนในระยะนี้หมดแล้ว วันนี้ข้าจึงขออธิบายตามตรงว่า สาวใช้ที่ติดตามข้ามาจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว ภายหน้าข้าย่อมจัดการเรื่องคู่หมายให้ ไม่มีสาวใช้คนใดที่ข้าคิดจะเตรียมไว้เป็นสาวใช้ทงฝังแม้เพียงสักคน ส่วนผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ซื่อจื่ออยู่แล้ว หากคิดจะเป็นสาวใช้ทงฝังข้าก็จะไม่กีดกันพวกเจ้า ขอเพียงซื่อจื่อพอใจเท่านั้น”
ครั้นวาจานี้ถูกเล่าออกไป คำวิจารณ์เกี่ยวกับอาหลวนก็ลดน้อยลงทันที
แต่เมื่อหลัวเทียนเฉิงกลับมาก็เอ่ยถามเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าได้ยินว่า ขอเพียงข้าพอใจ เจ้าก็ไม่ถือสาหากสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติข้าจะกลายมาเป็นสาวใช้ทงฝัง?”
เจินเมี่ยวผลิยิ้ม “ข้าบอกว่าจะไม่กีดกัดพวกนางมิได้หมายความว่าข้าไม่ถือสา”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอย่างไรเล่า?” หลัวเทียนเฉิงมึนงงเล็กน้อย เขารู้สึกยิ่งว่าคำกล่าวที่ว่า ‘จิตใจสตรียากแท้หยั่งถึง’ นั้นมีเหตุผลยิ่ง
เจินเมี่ยวแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “เฉินอวี๋ ลั่วเยี่ยน ปี้เย่ว์ ซิ่วฮวาที่มีมาก่อนหน้านี้นั้นก็แล้วไปเถิด ผู้ใดให้ท่านเรียกใช้พวกนางก่อนที่ข้าจะมาที่นี่กันเล่า แต่หากคิดมีสาวใช้ทงฝังเพิ่มอีกก็อย่าโทษข้าที่จะไม่ละเว้นขาข้างที่สามของท่านแล้วกัน!”
ห๊ะ?
หลัวเทียนเฉิงกะพริบตาปริบๆ รู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นสายตาของเจินเมี่ยวร่วงตกลงไปยังที่แห่งหนึ่งก็เข้าใจความหมายของคำว่าขาข้างที่สามขึ้นมาทันที
ชั่วขณะนั้นหลัวเทียนเฉิงรู้สึกเสียวแปลบที่ขาข้างที่สามอันไร้ความผิดนั้นขึ้นมา เขาอดเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่นขึ้นมามิได้ว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าสู้สาวใช้ที่คิดจะปีนขึ้นเตียงเหล่านั้นไม่ได้เลยหรือ เจ้าไม่กีดกันพวกนางแต่กลับจะตีขะ…ขาข้างนั้นของข้า?”
พูดพลางหุบขาชิดเข้าด้วยกันโดยไม่รู้ตัว
คนที่มีชีวิตน่าสงสารเช่นเขา คงมีไม่มากแน่!
เจินเมี่ยวถอนหายใจ “ข้าไม่อยากพูดวาจาที่ขัดใจตนเช่น ‘เหตุใดสตรีต้องมารังแกพวกเดียวกัน อันใดเทือกนั้น’ สตรีที่จ้องจะแย่งสามีข้า ข้าย่อมไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้แม้เพียงสักนิด แต่ต้นเหตุแห่งหายนะก็คือท่าน หากท่านรักษาตนให้ดี ย่อมไม่มีผู้ใดต้องเดือดร้อน หากท่านทำไม่ได้ ข้าก็ต้องเหนื่อยไปคอยกีดกันสตรีอื่น”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกร้องไห้มิออกหัวเราะมิได้ “เจ้าไปเอาตรรกะเพี้ยนๆ นี้มาจากที่ใด?”
“หัวใจไม่ผิดเพี้ยนก็พอแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงรั้งเจินเมี่ยวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แล้วประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากนางพลางเอ่ยเสียงต่ำว่า “ช่างเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ”
แต่เขาก็ยังคงชอบอยู่ดี!
ส่วนนางเถียนกลับกำลังร้อนใจดุจไฟเผา
นางแอบปล่อยข่าวออกไปทำให้คนที่คิดจะมาทาบทามอาหลวนเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ ข่าวลือที่ว่าอาหลวนถูกเก็บไว้เพื่อเตรียมเป็นสาวใช้ทงฝังก็ย่อมต้องแพร่ออกไปเป็นธรรมดา
นางคิดอาศัยโอกาสนี้ทำให้เจินเมี่ยวระแวงแล้วไล่อาหลวนออกไปนั้นเป็นเหตุผลที่หนึ่ง
ยุยงให้อาหลวนเกิดความคิดที่จะเป็นสาวใช้ทงฝังขึ้นมาจริงๆ หากนางกลายเป็นคนของต้าหลังแล้ว บุตรนางก็ย่อมต้องยอมจำนน นั้นเป็นเหตุผลที่สอง
เจินเมี่ยวเอ่ยออกมาด้วยตนเองว่าจะให้อาหลวนเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่ง เมื่อมีข่าวลือเช่นนี้ออกมาก็ไม่แน่ว่าสาวใช้ของเจินเมี่ยวที่คิดแย่งตำแหน่งอยู่อาจจะลอบขัดขาอาหลวนก็เป็นได้ นั้นเป็นเหตุผลที่สาม
สาวใช้ทงฝังทั้งสามคนในเรือนชิงเฟิงเห็นอาหลวนที่งดงามจนทำให้คนเกลียดชังแล้วกระทำการบางอย่างขึ้น นั้นเป็นเหตุผลที่สี่
แผนของนางแม้นเรียบง่ายแต่กลับขว้างหินครั้งเดียวได้นกสี่ตัว
ต่อให้มิเป็นไปตามที่คาดหมดทุกข้อ แต่หากมีสักข้อที่เป็นจริงขึ้นมาก็ย่อมต้องสร้างความยุ่งยากให้กับนางเจินไม่น้อย แต่คิดไม่ถึงว่านางจะกระทำการว่องไวตรงไปตรงมาเช่นนี้ เมื่อได้ยินข่าวลือก็รีบเผยเจตจำนงว่าจักต้องให้สาวใช้ตนได้ออกเรือนทุกคน ทำให้สิ่งที่ตนทำลงไปนั้นสูญเปล่าทันที
นางเถียนโกรธเคืองแต่ทำอันใดไม่ได้ ทั้งหลัวว่าบุตรตนจะอดรนทนไม่ไหวจนเกิดข่าวลือว่าคุณชายในจวนถูกใจสาวใช้ของพี่สะใภ้ตน เช่นนั้นเกียรติยศของบ้านรองคงไม่เหลือแล้ว
เมื่อมีเรื่องกังวลอัดแน่นอยู่ในใจมากมายเช่นนี้ สุขภาพที่เพิ่งจะดีขึ้นของนางเถียนก็ทรุดลงอีก นางนั่งพิงพนักเก้าอี้ตัวยาวอย่างไร้เรี่ยวแรง มีคนผลัดกันมาเยี่ยมไม่ขาดสาย
“ฮูหยิน เยียนเหนียงกับหลี่ว์เอ๋อร์มาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
สาวใช้ทงฝังหลายคนของนายท่านรองต่างก็ถูกไล่ออกไปหมดแล้วหลังจากเริ่มมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ยามนี้จึงเหลือเพียงสองคนเท่านั้น
ผู้หนึ่งคือหลี่ว์เอ๋อร์ที่คอยรับใช้นางเถียนแต่ต่อมากลักลอบปีนขึ้นเตียงนายท่านรอง ส่วนอีกผู้หนึ่งคือเยียนเหนียง
“ให้พวกนางเข้ามา”
เมื่อคนทั้งสองเข้ามานางเถียนก็สั่งให้ประคองนางกินยา
เยียนเหนียงยกถ้วยยาขึ้นโดยไม่เอ่ยสิ่งใด นางใช้ช้อนตักยาป้อนใส่ปากนางเถียน แต่นางกลับพ่นออกมาทันที แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “ร้อนเกินไป!”
เยียนเหนียงจึงตักอีกช้อนแล้วค่อยๆ เป่าให้เย็น
นางเถียนลอบแค่นหัวเราะอยู่ในใจ
ต่อให้ท่านพี่จะดูแลดั่งสมบัติล้ำค่าแล้วอย่างไร หากนางคิดจะทรมานสาวใช้ทงฝังสักคนย่อมต้องมีหนทางมากมาย
สายตาที่จ้องมองเยียนเหนียงของหลัวจือหยาสาดประกายเย็นเยียบขึ้นวูบหนึ่ง
เวลานี้เองสาวใช้ก็มารายงานว่าคุณชายรองและคุณชายสามมา
เมื่อคุณชายสามเดินเข้าประตูมา สายตาก็เปล่งประกายขึ้นทันที เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านแม่ ที่แท้สาวใช้ที่งามที่สุดก็เป็นคนของท่านนี่เอง ท่านยกนางให้ลูกเถิดขอรับ”