วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 269 ถูกตบหน้าอีกครา
นางเถียนเพิ่งจะอาการดีขึ้น นางจึงออกไปนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่บุตรชายพูดกับตนอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวหน้าห้องนอน คิดไปคิดมาก็โกรธจนแทบจะหายใจไม่ทัน
คุณชายหนุ่มถูกใจสาวใช้คนสนิทของพี่สะใภ้ หากแพร่ออกไป ชื่อเสียงคงมิใคร่ดีนัก!
ต่อให้นางจะรักใคร่บุตรชายมากไปกว่านี้ก็มิอาจยอมกระทำเรื่องโง่งมอันน่าอับอายเช่นนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลากำลังจะหาคู่ครองให้กับเจ้ารองกับเจ้าสามเช่นนี้
บุตรสาวเพียงคนเดียวจักต้องแต่งไปอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อน ท่านพี่ถูกลดตำแหน่งต่อมายังไปลุ่มหลงปีศาจจิ้งจอกนั้นอย่างหัวปักหัวปำอีก ยามนี้กลับต้องมารับรู้ว่าบุตรชายที่กำลังจะหมั้นหมายนั้นถูกใจสาวใช้คนสนิทของพี่สะใภ้ตน
เมื่อนางเถียนครุ่นคิดเรื่องอันอลวนอลหม่านเหล่านี้ ความไม่สบายก็ย่างกรายเข้าหา นางรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาทันที
นางนวดคลึงขมับตนไปพลางลอบด่าอยู่ในใจด้วยโทสะ
ตั้งแต่นางเจินเข้าจวนมานั้นไม่มีเรื่องดีเลยจริงๆ นางเห็นสาวใช้มานักต่อนักแต่ก็ไม่มีสาวใช้ตระกูลใดจะงดงามหยาดเยิ้มเช่นสาวใช้ของนางเลย นี่มิใช่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ!
หากเอ่ยถึงอาหลวนแล้วนั้นอย่าว่าแต่สาวใช้ในจวนกั๋วกงเลยต่อให้รวมสาวใช้ทั่วเมืองหลวงเข้าไปด้วย ผู้ที่มีรูปโฉมโดดเด่นกว่านางนั้นนับว่ามีไม่มากนัก ตั้งแต่นางติดตามนางเจินเข้ามาในจวนก็มีแม่สื่อแม่ชักหลายรายเข้ามาขอร้องนางให้ไปพูดกับหลานสะใภ้เพื่อขอนางให้บรรดาชายหนุ่มทั้งหลาย
ที่ผ่านมานางมิเคยรับปากผู้ใดเลยแต่เมื่อคิดถึงรูปโฉมของอาหลวนแล้ว ภายหน้าอาจจะกลายเป็นผู้แทรกกลางระหว่างต้าหลางกับนางเจินก็ได้ แต่คิดว่าบุตรชายตนจะเกิดถูกใจนางรวดเร็วเพียงนี้ ช่างเป็นหายนะที่ร่วงลงจากฟ้าโดยแท้!
นางเถียนเรียกแม่นมเถียนเข้ามาปรึกษาคราหนึ่ง ครั้นถึงเช้าวันต่อมานางก็ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางก็เอ่ยตำหนิว่า “นางเถียน อาการเจ้าเพิ่งดีขึ้น เหตุใดจึงมินอนพักอีกสักหน่อย อากาศหนาวเช่นนี้เจ้ามาทำอันใดที่นี่แต่เช้าตรู่เล่า?”
นางเถียนเอ่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “ทุกคนต่างกำลังวุ่นวายกัน แต่สะใภ้กลับไร้ประโยชน์ ทั้งยังทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นห่วง หากมิทำอันใดเป็นการตอบแทนบ้างก็คงมิอาจกินอยู่หลับนอนอย่างสบายใจได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยอีกสองสามประโยคแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอื่นไป
“เจ้าเจ็ดดูจะสดใสขึ้นมากแล้ว”
ครั้นจังเกอผ่านการดูแลอย่างดีมาสักระยะก็เริ่มแข็งแรงขึ้นจึงได้ตามนางชีมาน้อมทักทายทุกวัน เมื่อนับตามลำดับแล้วทุกคนในจวนจึงเรียกเขาว่าคุณชายเจ็ด
เมื่อเห็นคุณชายหกกับคุณชายเจ็ดยืนจับมือกันอยู่ด้านข้างนางชีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งอก รอยยิ้มบนใบหน้าจึงกว้างมากขึ้นไปอีก “เจ้าหก ย่าได้ยินมาว่าระยะนี้เจ้าคอยดูแลน้องชายอยู่ตลอดใช่หรือไม่?”
ปกติคุณชายหกก็มักมีท่าทีคล้ายผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่แล้ว เมื่อได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนั้น ใบหน้าก็ยังคงเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม “ท่านแม่เคยบอกว่า พี่ใหญ่ดุจบิดาขอรับ”
ครั้นเมื่อเด็กน้อยเอ่ยวาจาเยี่ยงอย่างเป็นทางการเยี่ยงผู้ใหญ่ ทุกคนภายในห้องก็พลอยอมยิ้มไปตามๆ กัน
ฮูหยินผู้เฒ่านั้นหัวเราะไม่หยุดทีเดียวและยิ่งรู้สึกพอใจในตัวนางชีมากขึ้นไปอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีขลาดกลัวและรูปร่างเล็กผอมของจังเกอก็ยิ่งรู้สึกสงสารจึงอดขมวดคิ้วขึ้นมิได้ นางเรียกให้หลานชายทั้งามและคุณหนูสามหลัวจือเจินเข้ามาหาแล้วส่งสายตาให้หงฝู
หงฝูเข้าใจทันทีจึงไปที่ห้องด้านข้างหยิบเอาไข่ม้วนถั่วแดงที่วางอยู่บนเตายกเข้ามา
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลองชิมดูสิ นี่เป็นสูตรที่ได้มาจากพี่สะใภ้ของพวกเจ้า หลี่ว์จู๋เป็นคนทำเอง”
เจินเมี่ยวชอบทำอาหาร ไม่ว่านางจะทำขนมอันใดล้วนส่งมาที่เรือนอี๋อานเสมอ แต่ก็ใช่ว่าจะมีทุกวัน
เจินเมี่ยวรับรู้ได้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าชอบกินไข่ม้วนถั่วแดงมากที่สุด จึงเขียนสูตรให้หลี่ว์จู๋สาวใช้ในเรือนที่เชี่ยวชาญการทำอาหารที่สุดโดยมิรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปาก
อย่างไรเสียผู้มีฐานะอาวุโสกว่าก็ยากจะให้เอ่ยขอ นางเอกก็คงมิอาจทำขนมมาส่งให้ได้ทุกวัน การสอนสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด
แต่การทำขนมนั้นก็บอกได้เพียงแค่ว่าต้องใส่เกลือ น้ำตาล น้ำเท่าใด ผสมแป้งอย่างไรแต่มีหลายอย่างที่อธิบายออกมาเป็นสูตรมิได้ เมื่อหลี่ว์จู๋ทำออกมารสชาติจึงแตกต่างจากเจินเมี่ยวอยู่นิดหน่อย
แน่นอนว่าสำหรับฮูหยินผู้เฒ่าที่ปกติกินขนมแค่เพียงไม่พี่คำนั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว เพราะหากเปรียบกับขนมที่กินมานับสิบปีพวกนั้น สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นรสชาติที่แปลกใหม่น่าลิ้มลองยิ่งแล้ว
ว่าไปแล้วในบรรดาเด็กน้อยทั้งหลาย คุณชายห้าเป็นคนที่ซุกซนที่สุด แม้นนางเถียนจะมิได้ลงมือกลั่นแกล้งเจินเมี่ยวแต่ก็ห้ามมิให้บุตรชายไปหาเจินเมี่ยว ทั้งมิอาจอธิบายเหตุผลให้ฟังได้ด้วยเกรงว่าหากเด็กน้อยหลุดปากพูดไปคงไม่ดีแน่
คุณชายห้าที่อายุยังน้อยนักย่อมมิเข้าใจความคิดของผู้เป็นมารดาแน่ ครั้นได้ยินว่าขนมนี้มีความเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้ที่ทำอาหารเก่งที่สุดก็ขยับเข้ามาหยิบขนมไข่ม้วนถั่วแดงเป็นคนแรก
“อร่อยมากเลย! ” เมื่อขนมแสนอร่อยเข้าปาก คุณชายสามก็ผลิยิ้มออกมาทันที
นางเถียนโกรธที่บุตรชายไม่เชื่อฟังทำให้เจินเมี่ยวได้หน้า ทว่าผู้คนอยู่มากมายเช่นนี้นางย่อมมิอาจทำอันใดได้ จึงทำเพียงถลึงตาใส่คุณชายห้า
ผู้ใดจะทราบว่าเด็กน้อยจะตาไวเพียงนั้น เมื่อคุณชายสามเห็นเข้าก็เอ่ยถามอย่างน้อยใจว่า “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงถลึงตาใส่ข้า?”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดมองไปด้วยสายตาไม่พอใจ นางเถียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “น้องชายสองคนของเจ้ายังมิทันกินด้วยซ้ำเจ้าก็หยิบกินก่อนแล้ว”
คุณชายห้ายิ่งรู้สึกน้อยใจมากขึ้นไปอีกแต่ก็มิรู้จะเอ่ยสิ่งใด
เวลานี้เองคุณชายหกก็เดินเข้าไปหยิบไข่ม้วนถั่วแดงขึ้นมากินอย่างเป็นธรรมชาติ
หลานชายผู้นี้มีท่าทีสุขุมมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อนางเถียนเอ่ยเช่นนั้นขึ้นมาเขาควรนิ่งเฉยและไม่กระทำสิ่งใด ฮูหยินผู้เฒ่าพลันหวาดหวั่นใจขึ้นมา
หรือเพราะบิดากลับมาแล้ว เด็กผู้ได้รับความรักเอ็นดูอย่างมากมายจึงเริ่มผยองขึ้นมา?
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงผลิยิ้มพลางเอ่ยถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าหก เจ้าไม่กลัวมารดาเจ้าถลึงตาให้หรือ?”
เพราะเป็นเพียงคำเย้าเล่น นางเถียนจึงมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงกลับลอบยิ้มเฝ้ารอว่าคุณชายหกจะตอบเช่นไร
คุณชายหกกลืนขนมลงคอไปหมดแล้วจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากค่อยเอ่ยตอบอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ไม่มีทางถลึงตาให้หลานแน่นอน ขนมนั้นท่านย่าเป็นผู้มอบให้ ของที่ผู้อาวุโสให้ผู้น้อยมิอาจปฏิเสธ”
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับตกตะลึงไป แล้วมองคุณชายหกอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลานชายที่อายุเพียงเท่านี้จะเอ่ยเช่นนั้นออกมาได้
แต่เพราะนั้นเป็นวาจาของเด็กน้อยจึงสามารถตอบหน้านางเถียนโดยแรงได้ สีหน้าของนางในยามนั้นย่ำแย่ยิ่ง นางต้องใช้พลังอย่างยิ่งยวดในการควบคุมท่าทีตนเอาไว้แต่ในใจกลับโกรธจนแทบจะขาดใจตายแล้ว
เมื่อคุณชายหกเอ่ยเช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าเขาฉลาดล้ำยิ่งกว่าคุณชายห้าที่นิ่งเงียบเป็นใบ้ไปแล้วเมื่อครู่นี้ยิ่ง ทั้งยังบอกว่ามารดาเขาไม่มีทางถลึงตาใส่เขาแน่ ผู้ใดก็ทราบว่าเมื่อครู่นางถลึงตาใส่คุณชายห้า เช่นนี้ยิ่งทำให้เห็นชัดว่านางอบรมบุตรไม่ดีเท่านางชีใช่หรือไม่!
นางเถียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงนั้นแล้วก็อดกัดฟันกรอดมิได้
นางรู้อยู่แล้วว่าหากเรื่องใดเกี่ยวพันกับคนอัปรีย์เช่นนั้นย่อมไม่มีเรื่องดีแน่!
หากมิใช่เพราะนางเขียนสูตรขนมนั้นให้กับฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็คงไม่มีขนมแปลกใหม่มาเอาใจเด็กน้อย นางก็คงไม่ต้องขายหน้าเช่นนี้
ขณะที่นางเถียนกำลังพยายามกดข่มโทสะตนไว้ คิดไม่ถึงว่าคุณชายเจ็ดกลับทำให้นางต้องประหลาดใจ
คุณชายเจ็ดเพียงกัดกินไปคำหนึ่งก็คายออกมา “ไม่อร่อย!”
ทุกคนภายในห้องพลันตกตะลึงไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหุบยิ้มไวกว่าผู้ใด แล้วมองคุณชายเจ็ดด้วยท่าทีนิ่งขรึม
แม้นคุณชายเจ็ดจะอายุยังน้อยก็สามารถรับรู้ได้ว่าบรรยากาศที่แปลกไปทำให้เขาเริ่มลนลาน แต่ในเรื่องอาหารการกิน เขามิอาจกินสิ่งที่ไม่ชอบได้จริงๆ จึงขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันใด แล้ววิ่งไปยืนตรงหน้าเจินเมี่ยว เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับนางด้วยหยาดน้ำตานอง “ไม่อร่อยเหมือนหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงที่พี่สะใภ้ทำ!”
แม้นนางจะนั่งอยู่ดีๆ ก็ยังพลอยโดนไปด้วยใช่หรือไม่?
สายตาของคนทั้งหลายที่หันมองมาที่นางล้วนมีแววล้ำลึกซ่อนอยู่
นางเถียนพลันเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อนใครว่า “ที่แท้หลานสะใภ้ก็เคยทำหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงให้เจ้าเจ็ดกินด้วย มีทั้งกุหลาบมีทั้งมันม่วง แล้วหน้าตาของหมานโถวนั้นเป็นเช่นไรกันแน่? แม้แต่ข้าก็ยังอยากรู้ มิน่าเจ้าเจ็ดถึงฝังใจเพียงนั้น”
นางซ่งนั่งนิ่งไม่พูดจาดั่งไม่มีเรื่องใดเกี่ยวกับตนก็มิปาน
ทว่านางชีกลับเริ่มสับสนขึ้นมาในใจเล็กน้อย
ครั้งนั้นเจินเมี่ยวได้ส่งสูตรขนมที่หูอี๋เหนียงขอเพื่อจังเกอมาให้นางที่เรือน เป็นการแสดงท่าอันชัดเจนยิ่ง แต่เมื่อเห็นท่าทีของจังเกอแล้วก็เป็นไปได้ว่าหลานสะใภ้อาจจะเอ็นดูจังเกอเป็นพิเศษ
ควรต้องทราบว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเรานั้นย่อมต้องดูที่วาสนา
หากผู้อื่นดีต่อจังเกอนางก็คงมิสนใจ แต่นางเจินไม่เหมือนผู้อื่น นางไม่เพียงแต่เป็นฮูหยินใหญ่ของจวนกั๋วกงในอนาคต แต่ยังมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเซี่ยนจู่อีกด้วย หากนางเอ็นดูจังเกอเป็นพิเศษ เช่นนั้นภายหน้าบุตรของนางก็ยากจะมีที่ยืนแล้ว
แม้นปกติแล้วนางชีจะนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง แต่เมื่อสิ่งใดเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของบุตร ในฐานะมารดาก็อดคิดมากมิได้
คุณชายเจ็ดช่างเลือกกินนัก ทั้งยังเอาแต่ใจ เจินเมี่ยวมิชอบเด็กเช่นนี้ที่สุด ทว่ายามนี้เมื่อเห็นดวงหน้าน้ำตาคลอเบ้านี้แล้วก็คล้ายสุนัขตัวน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกจึงมิอาจทนรับความหวาดกลัวใดๆ ได้ ก็เอ่ยวาจาตำหนิไม่ออกแม้เพียงคำ กระทั่งรู้สึกสงสารเด็กน้อยขึ้นมาอีกหลายส่วน
ผู้ใหญ่ทั้งหลายค่อยๆ เลือกเส้นทางของตนมาทีละขั้นกระทั่งมาถึงสถานการณ์ที่ยากจะแก้ไขได้ในวันนี้ แต่เด็กน้อยนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
เจินเมี่ยวยิ้มให้กับคุณชายเจ็ดแล้วเอ่ยว่า “อาสะใภ้รองมิเคยเห็นหมานโถวกุหลาบรสมันม่วง รอกลับเรือนแล้วหลานสะใภ้จะทำมาให้ทุกคนลองชิม”
หลังจากนั้นจึงหันไปกะพริบตาปริบๆ ให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างซุกซน “ท่านย่า ท่านคงไม่ทราบว่าตอนนั้นท่านพี่หลอกว่าตนเป็นผู้อื่นเพื่อเข้าไปในเรือนของท่านอาสี่ หลานสะใภ้กลัวว่าจะถูกไล่ออกมาจึงได้ทำขนมเอาใจจังเกอ ดั่งคำที่ว่าหากทำดีต่อผู้อื่น ผู้อื่นย่อมทำดีตอบแทนอย่างไรเล่า”
“เจ้านี้ช่างร้ายนัก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยว่าด้วยรอยยิ้ม พูดจบก็หันไปมองนางชี “นางชี ในเมื่อเจ้าเจ็ดอยู่ในความดูแลของเจ้า สิ่งใดควรต้องอบรมก็ต้องอบรม เขาอายุยังน้อยมีสิ่งใดไม่เหมาะสมก็ค่อยๆ บอกค่อยสอนไปก็พอแล้ว”
“เจ้าค่ะ” นางชีเอ่ยรับคำ
ทว่าคุณชายหกพลันเอ่ยขึ้นว่า “ท่านย่า น้องเจ็ดมิได้อยู่กับข้า ทุกครั้งข้าเป็นคนไปหาเขาที่เรือนฝั่งตะวันตกเองขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที แต่เพราะมีหลานๆ อยู่ด้วยจึงมิอาจเอ่ยสิ่งใด เพียงหันไปบอกเจินเมี่ยวว่า “หลานสะใภ้ เจ้าบอกว่าจะทำหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงมิใช่หรือ รีบพาน้องๆ ไปดูเจ้าทำเถิด พวกเขาจะได้มิงอแงอีก”
“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวรับคำแล้วลุกขึ้นพาเด็กๆ เดินออกไป
นางเถียนจ้องเจินเมี่ยวที่เดินออกไปอย่างรวดเร็วนั้นแล้วก็ปวดใจขึ้นมาอีก
วันนี้นางฝืนพาร่างอันอ่อนแอของตนมาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้าตรู่ก็เพื่อหาโอกาสพูดเรื่องอาหลวน
แต่นางมิทันได้มีโอกาสพูดด้วยซ้ำ เจินเมี่ยวก็ไปเสียแล้ว ทั้งยังถูกวาจาของเด็กน้อยตบจนหน้าชาอีก คงเป็นดั่งคำที่ว่าคนโชคร้ายแม้นดื่มน้ำยังติดฟันกระมัง?
กระทั่งฮูหยินผู้เฒ่าพูดขึ้น นางเถียนจึงละสายตาจากเจินเมี่ยวด้วยความเสียดาย
“นางชี กล่าวเช่นนี้หมายความเจ้าเจ็ดอยู่กับหูอี๋เหนียงงั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ” นางชีก้มหน้ารับคำเสียงต่ำ
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยโทสะว่า “เหลวไหล ในเมื่อเจ้าเจ็ดถูกจดรายนามให้เป็นบุตรเจ้าก็เท่ากับเป็นบุตรของภรรยาเอกครึ่งหนึ่ง มิให้เจ้าอบรมเลี้ยงดูแต่ให้อยู่กับอนุ เช่นนี้มิเท่ากับขัดขวางอนาคตของเด็กหรอกหรือ?”
นางชีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นเอ่ยตามตรงว่า “เป็นความต้องการของท่านพี่เจ้าค่ะ”
ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องนี้แล้ว ย่อมต้องสืบได้แน่ว่าเหตุใดคุณชายเจ็ดจึงไปอยู่กับหูอี๋เหนียง นางจึงมิจำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้ เพื่อนายท่านสี่จะได้มิต้องตำหนินางในภายหลัง
นางเพียงรับเอาความผิดไว้กับตัวเสีย นายท่านสี่ก็ย่อมต้องรู้สึกผิดเป็นแน่ แต่นางชีมิอยากทำเช่นนั้น
การใช้เล่ห์กลกับสามีตนเพียงเพราะอนุผู้หนึ่งทำให้นางรู้สึกน่าสมเพชและไร้ความจำเป็นยิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็รู้สึกแปลกใจในความตรงไปตรงมาของนางชีเช่นกัน นางอึ้งงันไปครู่หนึ่งจึงบอกให้ทุกคนแยกย้าย
อีกไม่นานก็จะถึงวันตรุษแล้ว ศาลาว่าการต่างๆ ล้วนปิดทำการ นายท่านสี่สกุลหลัวเองก็กลับมาจากห้าค่ายแล้ว เพียงแต่ยังต้องไปเยี่ยมเยือนสหายหลายคนจึงออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว
ครั้นเขากลับมาถึงจวนก็ถูกเรียกตัวไปพบที่เรือนอี๋อาน ฮูหยินผู้เฒ่าด่าว่านายท่านสี่สกุลหลัวเสียยับเยินจนเขาหน้าแดงก่ำไปหมด
“กลับถึงเรือน เจ้าต้องย้ายเจ้าเจ็ดไปไว้ที่เรือนนางชีทันทีรู้หรือไม่!”
แม้นนายท่านสี่จะรู้สึกอับอายและขุ่นเคืองแต่น้ำเสียงที่เอ่ยกลับแน่วแน่ยิ่ง “ท่านแม่ ลูกมิอาจผิดคำพูดขอรับ”
“ผิดคำพูด?” ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วสูง “เจ้ารับปากเรื่องเหลวไหลเช่นนี้กับอนุผู้หนึ่ง เจ้าเคยคิดถึงนางชีบ้างหรือไม่?”
“ท่านแม่ แต่ข้าติดค้างหูอี๋เหนียง”
“แล้วนางชีเล่า?”
นายท่านสี่สกุลหลัวหน้าแดงเห่อคล้ายรู้สึกเขินอายขึ้นมา แต่หากมิตอบมารดาคงไม่ยอมเป็นแน่ จึงจำเป็นต้องเอ่ยความจริงออกมา “นางชีเป็นภรรยาข้า ข้าย่อมมิต้องตอบแทนอันใดนาง ทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่กับนางไปชั่วชีวิตเท่านั้น”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงวางใจลงได้ รู้สึกปีติไม่น้อย “ขอเพียงเจ้ามิกระทำการเลอะเลือนก็พอแล้ว”
ครั้นนายท่านสี่กลับถึงเรือนอวี้หยวนก็มองไปยังเรือนฝั่งตะวันตก พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา เขาถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในห้องนางชี
ความจริงนางชีเองก็กำลังเฝ้ารอให้นายท่านสี่กลับมาเสียที
นางรู้สึกใจหวิวและสับสน นางกำลังคิดว่าหากท่านพี่เข้ามาแล้วเอ่ยตำหนินางทันทีตั้งแต่ประโยคแรก นางควรจะพูดเช่นไร แต่กลับคิดไม่ออก
นายท่านสี่กุมมือนางชีไว้มิได้เอ่ยอันใดถึงการกระทำที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าของนางแม้เพียงคำ เพียงพูดว่า “ซีเหนียงข้าทำให้เจ้าต้องเป็นทุกข์แท้ๆ”
นางชีน้ำตาคลอเอ่อ ในที่สุดหัวใจที่มิกล้าลอยขึ้นฟ้าทั้งมิกล้าร่วงลงดินนั้นก็รู้เสียทีว่ามันควรจะไปอยู่ที่ใด
ที่จริงแล้วนางต้องการใช้เรื่องในครานี้ดูจิตใจที่แท้จริงของนายท่านสี่นั้นเอง! การเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก
เจินเมี่ยวนึ่งหมานโถวกุหลาบรสมันม่วงเสร็จแล้วก็ส่งไปให้ทุกเรือนได้ชิม
หากเป็นหลัวจือหยา หลัวจือฮุ่ยที่อายุไล่เลี่ยกันนั้นส่งสาวใช้น้อยสักคนไปก็พอแล้ว แต่หากไปส่งให้ผู้อาวุโสก็ต้องเป็นสาวใช้ที่ถูกฝึกมาอย่างดี ช่างบังเอิญเหลือเกินที่สาวใช้ผู้ไปเรือนซินหยวนคืออาหลวน
ครั้นนางเถียนเห็นอาหลวน อารมณ์ก็เริ่มจะขุ่นเคืองขึ้นมาจึงได้แต่ลอบด่าอยู่ในใจ
ตัวอัปรีย์นี้คงมิคิดใฝ่สูงเกินศักดิ์กระมัง?
ใช้แล้วหากมิใช่เพราะตัวอัปรีย์นี้ยั่วยวน บุตรชายของนางจะเกิดความคิดเช่นนั้นได้อย่างไร ทั้งที่เขามิเคยใส่ใจกับเรื่องระหว่างชายหญิงพรรค์นั้นเลย
กระทั่งถึงวันถัดมา หลังจากที่ทุกคนเข้ามาน้อมทักทายเรียบร้อยแล้ว นางเถียนก็แสร้งพูดกับเจินเมี่ยวต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าว่า “หลานสะใภ้ เมื่อวานที่เจ้าส่งสาวใช้ที่ชื่ออาหลวนไปส่งขนมที่เรือนข้านั้นช่างงดงามอย่างที่สาวใช้คนในเรือนข้าก็มิอาจเทียบได้เลยจริงๆ แม่นมเถียน แม่นมของข้าขอให้ข้ามาเจรจาขออาหลวนให้แต่งงานกับหลานชายของนาง”
นางเถียนได้จัดการยกเลิกการเป็นทาสให้กับบุตรของแม่นมเรียบร้อยแล้วทั้งยังให้พวกเขาทั้งบ้านย้ายไปอยู่ในเรือนอันเป็นสินทรัพย์ก่อนแต่งงานของนางอีกด้วย หลานชายคนโตของแม่นมอายุยี่สิบกว่าแล้ว แม้มิได้เป็นซิ่วไฉแต่ก็เป็นถงเซิง[1] ซึ่งสอบผ่านทั้งระดับอำเภอและระดับจังหวัด
แม้นมิได้มีพรสวรรค์ด้านการศึกษานักจึงมิคิดสอบอีกแล้ว แต่จะมีทาสที่ใดจะสามารถพลิกชีวิตตนเองได้ถึงเพียงนี้เล่า
ผู้ใดต่างทราบว่านางเถียนนั้นดีต่อหลัวเทียนเฉิงยิ่ง เมื่อฝ่ายชายมีคุณสมบัติพร้อมถึงเพียงนี้ นางผู้เป็นอาสะใภ้เอ่ยปากทาบทามสาวใช้ผู้หนึ่งด้วยตนเองเช่นนี้ หากเจินเมี่ยวปฏิเสธก็ออกจะดูไร้เยื่อใยไปสักหน่อยแล้ว
นางเถียนเอ่ยถามต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเพราะต้องการจะดูว่าเจินเมี่ยวจะตอบเช่นไร
อย่างไรเสียหากเจินเมี่ยวไม่รับปาก จนเกิดสถานการณ์ย่ำแย่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางก็มีวิธีอื่นเตรียมไว้แล้ว
——
[1] ถงเซิง บัณฑิตรุ่นเยาว์คือบัณฑิตที่สอบผ่านระดับอำเภอและระดับจังหวัดในระบบการสอบเคอจวี่ (จอหงวน) เมื่อได้เป็นถงเซิงก็มีโอกาสสอบในสนามสอบอื่นๆ หากสอบผ่านก็จะถูกเรียกว่าซิ่วไฉ