วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 266 อาละวาด
“ท่านแม่…” หลัวจือหยาสะดุ้งตกใจคราหนึ่ง นางยกกระโปรงเดินหลบเศษกระเบื้องที่แตกกระจายไปทั่วบริเวณเข้าไปในห้อง
“หยวนเหนียง มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?” นางเถียนเห็นว่าผู้ที่เข้ามาคือบุตรสาวก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา จึงรีบจูงหลัวจือหยานั่งลง แล้วพิจารณาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ครั้นเห็นว่ามีเพียงกระโปรงที่เปื้อนคราบน้ำชาก็ผ่อนลมหายใจโล่งออกมา “ใกล้จะถึงวันตรุษแล้ว ประเดี๋ยวแม่จะเชิญช่างตัดเย็บมาวัดตัวตัดชุดให้เจ้า”
ในจวนแห่งนี้ อาภรณ์ที่หลัวจือหยาใส่เป็นประจำนั้นล้วนมีแต่ใหม่ไม่มีเก่า นางย่อมมิได้ใส่ใจอันใด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเพียงยิ้ม “ขอบพระคุณท่านแม่เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ นั้นของบุตรสาว นางเถียนก็ยิ่งเสียใจ
สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนปิดภาคเรียนแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามกลับไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนเจ้าหาก็ไม่รู้ด้วยเหตุใดระยะนี้จึงชอบไปที่เรือนอวี้หยวนนัก
ส่วนบุตรสาวของอนุผู้นั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเลย ยามนี้มีแค่หยวนเหนียงที่ใส่ใจนางที่สุด
ทว่าบุตรสาวที่รักเอาใจใส่นางผู้นี้ไม่นานก็ต้องแต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันแสนไกล ชั่วชีวิตมิอาจพบหน้า
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นางเถียนก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
ช่วงเวลานี้ช่างยากจะผ่านพ้นไปได้จริงๆ!
สีหน้านางเถียนยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก หลัวจือหยาประคองแขนนางไว้ “ท่านแม่ เขาไปเรือนฝั่งตะวันตกอีกแล้วหรือ?”
นางเถียนขมวดคิ้วขึ้นตามสัญชาตญาณ “หยวนเหนียง นั้นบิดาของเจ้านะ เรียก ‘เขา’ ได้อย่างไร หากเรื่องนี้แพร่ออกไปผู้คนคงขบขันยิ่ง”
“เขายังนับเป็นบิดาผู้ใดได้?” ในแววตาหลัวจือหยาแรงแค้นออกมา แต่ก็เลือนหายไปอยากรวดเร็ว นางแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ในใจของเขาจะเคยคิดถึงบุตรสาวที่ต้องแต่งออกเรือนไปแดนไกลเช่นข้าสักนิดหรือไม่? เกรงว่าใจของเขาคงมีแต่นางปีศาจจิ้งจอกผู้นั้นกระมัง!”
ความผิดหวังและเสียใจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ท่าทีอ่อนโยนนั้นของหลัวจือหยาค่อยๆ เลือนหายไป แววตาเ**้ยมเกรียมขึ้นอย่างที่มิอาจพบเห็นได้ในคุณหนูสูงศักดิ์ทั่วไป
ครั้นได้ยินบุตรสาวถึงเรื่องนี้ นางเถียนก็โกรธเสียจนหัวใจเจ็บปวดไปหมด
ตั้งแต่ตัวภัยพิบัตินั้นเข้าเรือนมา ท่านพี่ก็มิเคยไว้หน้านางเลยแม้แต่น้อย ไปค้างแรมที่นั่นทุกคืนยังพอว่า แม้แต่กลางวันก็ยังห้ามขาตัวเองมิให้วิ่งไปที่นั่นมิได้!
ยามนี้หรือ อย่าว่าแต่ออกนอกจวนเลย แค่ระหว่างทางที่เดินไปเรือนฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าบ่าวไพร่กำลังหัวเราะขบขันนาง!
“ท่านแม่ ท่านย่าก็มิจัดการให้หรือ?”
นางเถียนเอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “ท่านย่าเจ้ายังพูดเป็นเชิงเหน็บว่าข้าทำตนเองด้วยซ้ำ!”
หึ หญิงชรานั้นลำเอียงเกินไปแล้ว แม้นนางจะวู่วามไปบ้างแต่ตนเป็นถึงผู้อาวุโสจะไม่ช่วยจัดการให้จริงๆ หรือ? แต่เมื่ออนุที่มีบุญคุณช่วยชีวิตนายท่านสี่ทั้งยังมีบุตรชายด้วยกันอีกเข้าจวนมา นางกลับให้ท้ายนางหูมากกว่า ครั้นถึงทีนางกลับปล่อยปละไม่สนใจ!
นางเถียนคิดแล้วก็โมโหนัก แต่วาจาของฮูหยินผู้เฒ่าในวันนั้นก็นับว่าเข้าหูนางอยู่บ้าง
แม่นมเถียนเองก็เคยเตือนนางว่าฮูหยินผู้เฒ่าพูดมีเหตุผล นางจิ้งจอกนั้นงดงามเกินคนทั่วไปยิ่ง หากใช้อำนาจไปบังคับผลลัพธ์คงไม่ดีนัก มิสู้ให้ท่านพี่ละเล่นจนเบื่อหน่ายแล้วค่อยว่าอีกที
นางเข้าใจเหตุผลนี้ดี ทว่าทุกคราที่ได้เห็นท่านพี่ผู้แต่ก่อนน้อยนักจะไปหาสาวใช้ทงฝังทำตัวไม่ห่างจากเรือนฝั่งตะวันตกอยู่ทุกเช้าค่ำก็เจ็บปวดดั่งมีมีดมากรีดที่ใจกระนั้น
ถึงตอนนี้นางเถียนจึงรู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมา
หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็จะมิเอามาไว้ใต้หนังตาให้มันถือมีดกรีดใจนางทุกวันเป็นแน่
ตามอุปนิสัยของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว หากอนุนอกเรือนมีบุตรขึ้นมา จวนกั๋วกงจักต้องไม่ยอมรับเด็ดขาด
“ท่านแม่ แล้วท่านเล่า ท่านจะให้สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งนั่งทับศีรษะหรืออย่างไร?” หลัวจือหยาไม่เข้าใจจริงๆ ว่ามารดาที่ดูแลจวนมานับสิบปี บ่าวไพร่ในจวนทุกคนต่างก็เชื่อฟังกลับมิอาจจัดการได้แม้แต่สาวใช้ทงฝังผู้หนึ่ง
นางเถียนถอนหายใจ “ประเดี๋ยวก็วันตรุษแล้ว หรือจักต้องก่อเรื่องจนเป็นที่น่าขบขันขึ้นมาให้ได้? ผ่านไปอีกสักระยะค่อยว่ากันเถิด”
ถึงตอนนี้นางยิ่งรู้สึกว่าตนออกจะวู่วามเกินไปอยู่บ้าง
มีวาจาประโยคหนึ่งที่หญิงชรานั้นพูดถูกยิ่ง
ต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันแต่ก็ต้องดูรายละเอียดปลีกย่อยของมันด้วย มิอาจจัดการตามวิธีเดิมที่เคยทำได้
หากสตรีผู้นั้นที่เรือนฝั่งตะวันตกคือซูเหนียง นางคงมิต้องแม้แต่จะชักสีหน้าก็จัดการได้เสียอยู่หมัด
หากมีซูเหนียงที่เข้าเรือนมาก่อนหน้านี้อยู่ ท่านมีคงไม่กล้าเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนอีกคนแน่
แต่นางก็ไม่ยอมท่าเดียวจนต้องขายซูเหนียงออกไป ครั้นหากเยียนเหนียงเข้ามาอยู่ในจวนอีกแล้วฮูหยินผู้เฒ่ายังช่วยจัดการแทนนางอีก คนทั่วเมืองหลวงคงได้นินทาว่านางเป็นคนใจคอคับแคบขี้อิจฉาเป็นแน่
หลัวจือหยาฟังวาจาเช่นนี้ของนางเถียนแล้วกลับรู้สึกว่ามารดาอ่อนแอเกินไป
นางกัดฟันคราหนึ่งแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดอีกเพียงอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยกับนางเถียนครู่หนึ่งก็กลับ
ครั้นกลับถึงเรือนตนแล้วก็กำชับสาวใช้คนสนิทว่า “ไปเฝ้าสังเกตดูสิว่านายท่านจะออกจากเรือนเมื่อใด แล้วรีบมาบอกข้า”
ยังมิทันถึงยามเที่ยง สาวใช้ผู้นั้นก็มาเอ่ยบอกเสียงแผ่วว่า “คุณหนูใหญ่ นายท่านส่งคนไปแจ้งฮูหยินว่าจะออกไปเยี่ยมสหายเจ้าค่ะ”
หลัวจือหยาลุกขึ้นยืนทันที แล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ทำดีมาก!”
นางมองสาวใช้ที่อยู่ทั่วห้องรอบหนึ่งแล้วชี้ไปที่คนทั้งสี่ “พวกเจ้าตามข้าไปเรือนฝั่งตะวันตก!”
“คุณหนูใหญ่!” สาวใช้ที่ติดตามหน้าซีดเผือดไปทันที
คนอื่นๆ ต่างหันไปสบตากัน
หลัวจือหยาเม้มริมฝีปากแน่น แค่นเสียงเย็นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนเป็นคนของจวนแห่งนี้ ตามข้าไปคงลำบากใจ แต่วาจาไม่น่าฟังคือต่อจากนี้ต่างหาก ผู้ใดไม่ตามข้าไปก็มิเป็นไร ทว่าหากปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องนี้ก็อย่ากล่าวหาว่าข้าไร้น้ำใจแล้วกัน!”
กล่าวจบก็หันไปมองสี่คนนั้นแล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสี่ล้วนเป็นนางกำนัลจากวังหลวง ปีหน้าก็ต้องตามข้าไปดินแดนหมานเหว่ยแล้ว หากนับถือข้าเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้าก็ตามข้ามา หากไม่ เช่นนั้นข้าก็จะหาโอกาสทูลต่อหวงโฮ่วว่าบ่าวไพร่ที่ใช้การไม่ได้ข้าคงมิบังอาจรับไว้”
แม้นหลัวจือหยาที่แต่งออกไปดินแดนหมานเหว่ยอันไกลโพ้นจะมิได้ดูสำคัญเท่ากับองค์หญิง แต่ก็มิใช่ไม่สำคัญเลย
อย่างไรเสียองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็เป็นพี่น้องที่รักใคร่กันยิ่ง องค์ชายรองเองก็มีอำนาจไม่น้อยในดินแดนหมานเหว่ย ก่อนที่หลัวจือหยาจะออกเรือนย่อมต้องมีโอกาสได้เข้าวังเพื่อรับคำแนะนำอันควรปฏิบัติ
กล่าวคำเหล่านี้จบ หลัวจือหยาก็หมุนกายเดินจากไปทันที
นางกำนัลทั้งสี่มองสบตากัน ทว่าแม่นมหน้าตาดุดันผู้หนึ่งกลับตัดสินใจก่อนผู้ใด นางเดินตามหลัวจือหยาไปแล้วแวะหยิบไม้คบเพลิงที่เรือนปีกข้างด้วย
แม่นมอีกผู้หนึ่งเห็นเช่นนั้นก็ทำตาม
ส่วนนางกำนัลหน้าละอ่อนสองคนกลับมิได้หยิบอันใดไป
หลัวจือหยาชำเลืองกลับมามองคราหนึ่ง นางยิ้มแล้วเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
นางจักต้องอาละวาดให้สะใจที่สุดก่อนที่มารดาจะทราบ มารดาจะได้มิมาขัดขวางนาง!
เยียนเหนียเป็นแค่สาวใช้ทงฝังธรรมดาแต่กลับถูกทะนุถนอมรักใคร่อย่างที่สุด ไม่เพียงมีสาวใช้คอยติดตามดูแลแต่ยังมีสาวใช้ร่างบึกไว้ใช้แรงงานอีกสองคน
เรือนฝั่งตะวันตกเก็บกวาดเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง สาวใช้ร่างบึกสองคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่หน้าประตู
“โธ่ ข้าอยู่ในจวนมาจนอายุปูนนี้แล้ว เห็นนายท่านรองมาตั้งแต่เป็นหนุ่มหน้าหยกกระทั่งถึงยามนี้ แต่มิเคยเห็นนายท่านรองรักใคร่ถนอมหญิงใดเท่านี้มาก่อน”
“ข้าก็ว่าเช่นนั้น นายท่านรองผู้นี้ รักถนอมยิ่ง ใส่ปากไว้ก็กลัวจะลาย ถือไว้ในมือก็กลัวจะทำร่วง ทั้งที่ยังไม่มีบุตรด้วยซ้ำ หากต่อไปมีคุณชายน้อยๆ จักต้องได้เลื่อนเป็นอนุแน่”
สาวใช้ร่างบึกที่เอ่ยพูดก่อนหน้ากลับเผยยิ้มล้ำลึกขึ้นคราหนึ่ง
มีคุณชายหรือ?
หึๆ ตั้งแต่แม่นางท่านนี้เข้าจวนมา นางก็ได้รับคำสั่งให้ใส่ยาคุมกำเนิดผสมลงไปในน้ำแกงบำรุงร่างกายอยู่ทุกวัน
นายท่านรองหลีกเลี่ยงไม่ใช้สาวใช้ที่ฮูหยินรองเลือกแต่กลับไม่รู้ว่านางเป็นคนของฮูหยินผู้เฒ่า
อย่าเห็นว่านางเป็นเพียงบ่าวไพร่ผู้หนึ่ง ไม่รู้จักอักษรแม้สักตัวแต่นางกลับเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าได้เป็นอย่างดี
ผู้มีศักดิ์เป็นย่า ไหนเลยจะไม่อยากมีลูกหลานเพิ่มพูน แต่ผู้ใดจะมีบุตรก็ได้แต่ต้องมิใช่สตรีผู้นี้
สตรีที่งดงามจนแทบล่มเมืองได้เช่นนี้ หากให้กำเนิดคุณชายน้อยขึ้นมาสักคนนั้นย่อมง่ายต่อการชักนำหายนะมาสู่จวนได้จริงๆ นั้นแล
นางรู้ดีแก่ใจว่าสตรีผู้นี้คงมิอาจให้กำเนิดบุตรได้ไปตลอดชีวิต แต่ปากกลับเอ่ยคล้อยตามสาวใช้ผู้นั้น “ข้าก็คิดเช่นนั้น หากแม่นางท่านนี้มีบุตรชายขึ้นมา นายท่านคงต้องรักใคร่ทะนุถนอมยิ่งเป็นแน่”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นก็เห็นหลัวจือหยาเดินอาดๆ เข้ามา สาวใช้สองคนจึงอดมองอย่างตกตะลึงมิได้
ช่วงเวลาที่มัวอึ้งงันอยู่นั้น หลัวจือหยาก็เดินมาถึงตรงหน้าแล้ว นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เยียนเหนียงอยู่ข้างในหรือไม่?”
“อยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าพูดขึ้นก่อน
“หึ พวกเราเข้าไปกัน” หลัวจือเดินอ้อมสาวใช้สองคนเข้าไปด้านใน
สาวใช้อีกผู้หนึ่งเริ่มลนลาน จึงรีบเข้าไปขวางพลางเอ่ยว่า “คุณหนูใหญ่ ท่านจะ…”
“บังอาจ!” ข้าแค่มาเยี่ยมเยียนเหนียง เจ้ากล้ามาขวางหรือ? หลัวจือหยาเอ่ยถามเสียงกร้าว
สาวใช้สกุลหลี่เห็นที่เกรี้ยวกราดเช่นนั้นของหลัวจือหยาก็ไม่กล้าขวางอีก
นางเถียนดูแลจวนมานับสิบปี คุณหนูใหญ่ท่านนี้เป็นบุตรของฮูหยินในจวนกั๋วกง หากบอกว่าไม่มีอำนาจให้บ่าวไพร่ยำเกรงสักนิดนั้นคงเป็นไปไม่ได้
หลัวจือหยาพาคนของนางเดินเข้าไป
ส่วนสาวใช้สกุลซุนที่เอ่ยตอบในตอนแรกนั้นกลับคิดจะขวางไว้อีก แต่ถูกแม่นมที่ติดตาม หลัวจือหยามาผลักออกไปเสียก่อน
เสียงเอะอะโวยวายดังเพียงนี้จึงทำให้คนภายในห้องตกใจ สาวใช้น้อยผู้นี้ที่ยืนอยู่หน้าห้อง ร้องเอ็ดขึ้นว่า “เสียงดังอันใด รบกวนเวลาพักผ่อนของอี๋เหนียงรู้หรือไม่”
ครั้นเห็นว่าเป็นหลัวจือหยาก็ตกใจจนถึงกับเอ่ยตะกุกตะกัก “คุณ..คุณหนูใหญ่”
หลัวจือหยาแค่นยิ้มเย็น “อี๋เหนียง เหตุใดข้าจึงไม่รู้ว่าบ้านรองยังมีอนุอีกคนเล่า?”
สาวใช้ผู้นั้นตกใจหน้าเหลอหลา
เยียนเหนียงมิได้มีตำแหน่งอันใด ความหากเปรียบกันแล้วสาวใช้ทงฝังก็มีฐานะสูงกว่าสาวใช้ทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เห็นมาตลอดว่านายท่านรองรักใคร่ถนอมนางยิ่ง ทุกคนต่างก็ทราบกันดีจึงเรียกนางว่าอี๋เหนียงเพื่อเป็นการประจบเอาใจไว้ก่อน
มิเช่นนั้นคงไม่มีทางเรียกว่าอี๋เหนียงแน่
หลัวจือหยาเดินผ่านสาวใช้น้อยนั้นเข้าไปด้านใน
มีสตรีชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ห้องด้านนอก นางย่อกายทำความเคารพคราหนึ่ง “คารวะคุณหนูใหญ่”
นางก้มหน้างุด น้ำเสียงถ่อมตน ท่าทีนบน้อม แต่แผ่นหลังกลับตรงดุจพู่กันประหนึ่งต้นเหมยเกิดในหุบเขาสูงเมื่อลักษณะเฉพาะของดอกเหมยเข้าไปก็ดูงดงามขึ้นอีกหลายส่วน
ความงามนั้นแม้แต่หลัวจือหยาที่เป็นดรุณีน้อยยังคล้ายต้องมนต์สะกด กระทั่งอดมองอยู่หลายครามิได้
แต่ไม่นานนางก็ได้สติคืนมา มิรอให้เยียนเหนียงเอ่ยปากอีกก็โบกสะบัดมือขึ้น “พังให้หมด!”
บิดาช่างรู้จักรักถนอมคนนัก การตกแต่งภายในห้องนี้นั้นมิด้อยไปกว่าห้องนางสักเท่าใดเลย
ไม่สิ แจกันดอกเหมยที่วางอยู่ข้างหน้าต่างนั้น นางเคยเห็นมันถูกวางอยู่ในห้องตำราของบิดา นางเห็นครั้งแรกก็ชอบทันที แต่บิดาก็มิเคยเอ่ยว่ายกมันให้นาง
สตรีผู้นี้ งดงามจนน่ากลัว หากนางมิระบายแค้นแทนมารดาก่อนออกเรือน ต่อไปคงไม่มีโอกาสอีก อย่างไรเสียเมื่อมีคนใช้คำว่า ‘อี๋เหนียง’ วันนี้ก็นับว่ามีเหตุผลในการลงมือแล้ว!
เสียงเพล้งพล้างดังขึ้นคราหนึ่ง ทุกอย่างภายในห้องระเนระนาดไปหมด
เยียนเหนียงเพียงเม้มปากยืนนิ่งมิเอ่ยวาจา
นางเถียนทราบข่าวก็รีบนำคนมาทันที “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เดิมก็ทุบพังข้าวของจนเกือบหมดแล้ว เมื่อหลัวจือหยาร้องไห้หยุดก็ชำเลืองมองเยียนเหนียงคราหนึ่ง แล้วเอ่ยกับนางเถียนว่า “ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไร?”
“เจ้าลูกคนนี้ ช่างทำตัวเหลวไหลจริงๆ รอบิดาเจ้ากลับมาจักต้องทำโทษเจ้าอย่างหนักเป็นแน่ ไป ตามแม่ไปรับผิดกับฮูหยินผู้เฒ่า”
นางเถียนปลอบใจเยียนเหนียงสองสามคำก็กำชับให้คนมาเก็บกวาดเรือนฝั่งตะวันตกแล้วพาหลัวจือหยาไปที่เรือนอี๋อาน