วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 263 สตรีงามล่มเมือง
รอยยิ้มบนหน้าแม่นมแข็งค้างไปทันที พลันคิดถึงวาจาของนางหู นางจึงระบายยิ้มเต็มหน้าอีกครา “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวเป็น…เป็นแม่นมคนสนิทของหูอี๋เหนียง คุณชายร่างกายอ่อนแอกินสิ่งใดมิค่อยได้ อี๋เหนียงทราบว่าท่านเป็นคนมีเมตตาทั้งรักเด็กจึงได้ยอมบากหน้าให้บ่าวมาขอวิธีทำอาหารจากท่านเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวเดินไปนั่งที่โต๊ะข้างหน้าต่างแล้วยกพู่กันขึ้นเขียนวิธีทำอาหาร นางเป่าหมึกให้แห้งแล้วส่งให้อาหลวนที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่หันไปมองแม่นมผู้นั้นสักนิดแต่ปากก็เอ่ยว่า “เป็นข้าเองที่ละเลย อาหลวน เจ้าเอาวิธีทำอาหารนี้ไปให้อาสะใภ้สี่แล้วบอกด้วยว่าหากต่อไปต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้เลย อาสะใภ้มิจำเป็นต้องเกรงใจ”
กล่าวจบจึงหันไปมองแม่นมผู้นั้น “จะให้อี๋เหนียงกังวลใจเรื่องของคุณชายอย่างไรเล่า”
แม่นมปากแข็งค้างไปทันที ตั้งท่าอยู่นานจึงยกกำไลริ้วทองคู่หนึ่งขึ้นมา “นี้เป็นน้ำใจจากอี๋เหนียงเพื่อแสดงคำขอบคุณที่เคยช่วยดูแลคุณชายเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวโบกมือ “แม่นมรีบเก็บไปเถิด เรื่องวันนั้นข้าก็มิได้ลำบากอันใด ตอนนี้จังเกอกลายเป็นน้องชายของสามีข้าแล้วก็เท่ากับเป็นครอบครัวเดียวกัน ไหนเลยจักต้องเอ่ยคำขอบคุณอันใดเทือกนั้น ของพวกนี้ให้หูอี๋เหนียงเก็บไว้เถิด ต่อไปหากจะซื้อเครื่องประดับ เครื่องประทินโฉมต่างๆ ก็คงจำเป็นต้องใช้มัน”
แม่นมโมโหจนแทบหลายหลังล้ม
ต้าไหน่ไหน่ผู้นี้หมายความว่าใดกัน นางกำลังแช่งให้ไท่ไท่มิเป็นที่รักใคร่ของสามีหรือ ถึงจักต้องใช้เงินส่วนตัวในการดำรงชีวิต?
เจินเมี่ยวมิได้ใส่ใจท่าทีประหม่านั้นของแม่นม เพียงส่งสายตาให้ไป่หลิงคราหนึ่ง “ไป่หลิง ยังไม่รีบไปส่งแม่นมอีก หูอี๋เหนียงเพิ่งมาถึงจวนจะให้คนรับใช้อยู่ห่างกายนานๆ ได้อย่างไร”
“เจ้าค่ะ” ไป่หลิงยิ้มพลางเอ่ยรับคำ “แม่นม เชิญตามข้ามาเถิด”
นางเอากำไลริ้วทองคู่นั้นใส่ลงในถุงหนังแล้วยัดใส่อกแม่นม
แม่นมกำลังคิดจะเอ่ยอันใดบางอย่างก็เห็นเจินเมี่ยวลุกขึ้นหมุนกายเดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
แม่นมทั้งอับอายทั้งโมโหแต่ก็มิกล้าเอ่ยอันใดให้มากความอีก ได้แต่กอดกำไลริ้วทองคู่นั้นไว้ด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเดินตามไป่หลิงออกไป
เมื่อเดินพ้นประตูจันทราก็ได้ยินสาวใช้น้อยผู้หนึ่งเอ่ยไล่หลังมาว่า “โถ่ แค่แม่นมของอนุกลับกล้ามาขอพบต้าไหน่ไหน่ มีเกียรติมากมายเท่าใดกัน!”
“คิกๆ ผู้อื่นมิได้มีเกียรติใดนักแค่แก่ชราและหน้าหนามากต่างหาก!”
เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา “พอแล้ว พวกเจ้าเป็นสาวใช้ในเรือนต้าไหน่ไหน่ อย่าได้เลียนอย่างสาวใช้ตระกูลเล็กๆ ที่ปากคอเราะรายมิอาจพาไปเชิดหน้าชูตาที่ใดได้!”
สาวใช้น้อยทั้งหลายรีบเอ่ยขออภัยกันพัลวัน “พี่ไป่หลิงยกโทษให้ด้วยเจ้าค่ะ พวกเรามิกล้าอีกแล้ว”
แม่นมเดินซัดเซจนแทบล้มคว่ำลงตรงหน้าประตูจันทราแต่กลับอับอายจนไม่กล้าหันกลับไปมองได้แต่วิ่งหนีไปอย่างทุลักทุเล
สาวใช้น้อยผู้หนึ่งกลับอดหัวเราะคิกคักออกมามิได้ “พี่สาวทั้งหลาย ท่านเห็นหรือไม่ แม่นมผู้นั้นวิ่งเร็วดุจบินได้ เท้าใหญ่ยิ่ง…”
“ว่างกันมาใช่หรือไม่ รีบไปกวาดหิมะเดี๋ยวนี้!” ไป่หลิงเอ่ยตำหนิขึ้น สาวใช้น้อยทั้งหลายต่างรีบสลายกลุ่มทันที
ไป่หลิงเข้าไปในเรือนเพื่อรายงานเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวกำลังกินยาที่จี้เหนียงจื่อจัดไว้ให้อยู่ เมื่อได้ฟังก็วางถ้วยยาลงแล้วเอ่ยว่า “หักเบี้ยหวัดประจำเดือนของสาวใช้ที่เฝ้าหน้าประตูหนึ่งเดือนให้พวกนางหลาบจำว่าต่อไปจะให้ผู้ใดเข้ามาต้องถามให้แน่ชัดเสียก่อน”
นางอาจจะมิเจนจัดเรื่องรบราในเรือนแต่กลับเข้าใจดีว่ามีเพียงต่างคนต่างอยู่อย่างสงบจึงจะมิเกิดความวุ่นวาย
เจินเมี่ยวยกถ้วยยาขึ้นดื่มอีก นางดื่มหมดไม่นานไปหลิงก็เข้ามารายงานอีกว่า “ต้าไหน่ไหน่ ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งให้ท่านไปที่เรือนเจ้าค่ะ”
เรียกตนไปในยามนี้ช่างแปลกนัก เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่งแต่กลับแสดงสีหน้านิ่งเฉย เมื่อสาวใช้ช่วยตนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ไปที่เรือนอี๋อาน
เมื่อเข้าไปในก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วต่ำของสตรี เจินเมี่ยวกวาดตามองไปอย่างรวดเร็วก็เห็นนายท่านรองสกุลหลัวยืนก้มหน้า นางเถียนนั่งร่ำไห้อยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่า สตรีชุดเขียวนั่งคุกเข่าหันหลังให้นางอยู่
ครั้นเมื่อเห็นเจินเมี่ยวเข้ามา นางเถียนก็หยุดร้องไห้ทันทีแล้วหันมองฮูหยินผู้เฒ่าด้วยแววตาขุ่นเคืองอย่างยากจะปิดบัง
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยหน้าตึงว่า “พวกเจ้าอย่าได้ตำหนิที่ข้าเรียกหลานสะใภ้มา จวนแห่งนี้ไม่ช้าไม่นานก็ต้องไปอยู่ในมือนาง หากมิฟังให้มากดูให้มาก ต่อไปก็จะเลอะเลือนเหมือนกับพวกเจ้าที่เอาแต่สร้างความวุ่นวายให้ข้า”
นายท่านรองสกุลหลัวคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังพลั่ก “ลูกผิดไปแล้ว!”
นางเถียนคุกเข่าลงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก “สะใภ้ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าคว้าโต๊ะตัวเล็กที่วางอยู่บนเตียงคั่งขึ้นโยนใส่นายท่านรองสกุลหลัว
นายท่านรองสกุลหลัวมิกล้าหลบ โต๊ะเล็กตัวนั้นลอยเฉียดหน้าผากเขาไป เหลี่ยมโต๊ะกรีดเอาโลหิตเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากเขา
โต๊ะตัวเล็กนั้นร่วงตกลงไปบนพื้นหินเกิดเสียงดังลั่นแต่มิได้แตกกระจาย มันกลิ้งตกไปอยู่ข้างเท้าของเจินเมี่ยวพอดี
นายท่านรองสกุลหลัวถึงกับนั่งลงบนพื้นอย่างเพิ่งนึกหวาดกลัวย้อนหลัง
เจินเมี่ยวก้มหน้ามองโต๊ะที่กำลังหมุนติ้วๆ อยู่นั้นแล้วหันไปมองนายท่านรองสกุลหลัวที่หน้าซีดเผือดทั้งมีรอยแผลบนหน้า สายตาที่มองฮูหยินผู้เฒ่านั้นมีเพียงความนับถือ
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างโยนแม่นนักทำเอานายท่านรองสกุลหลัวจนใจจนสิ้นเรี่ยวแรงล้มไม่เป็นท่าแต่ก็มิได้ตีจนคนตาย
ทำได้งดงามยิ่ง!
ตั้งแต่ทราบความลับของหลัวเทียนเฉิง นางก็หมดสิ้นความรู้สึกดีๆ ต่อสองสามีภรรยานี้ไปโดยปริยาย
นางจึงมิได้ขอร้องอันใด เมื่อคนที่เกลียดมิเบิกบานใจ นางก็ย่อมต้องเบิกบานใจ
เจินเมี่ยวเดินผ่านโต๊ะตัวเล็กนั้นไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินไปถึงฮูหยินผู้เฒ่านางก็นั่งลงเอ่ยว่า “ท่านย่า ท่านอย่าวู่วามไปเลย มีเรื่องใดก็ค่อยๆ พูดกันเถิด”
คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับใจเย็นลงจริงๆ สายตาที่มองนายท่านรองสกุลหลัวเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เจ้ารอง ข้าเข้าใจมาตลอดว่าเจ้าเป็นคนสุขุม หลังจากที่พี่ใหญ่เจ้าจากไป หลายปีมานี้ตระกูลเราก็ได้เจ้าคอยค้ำจุน แต่เจ้าดูตัวเจ้ายามนี้ เจ้าทำตัวเป็นแบบอย่างเช่นใดให้กับชนรุ่นหลังหรือ? เลี้ยงอนุนอกเรือนคนแล้วคนเรา ต้องการทำให้จวนกั๋วกงเรามีสายเลือดอื่นปะปนเข้ามาหรือ? หากภายหน้าท้องของอนุนอกเรือนเจ้าโตขึ้น จวนกั๋วกงเราจะยอมรับหรือไม่ยอมรับดีเล่า?”
ขึ้นชื่อว่าอนุนอกเรือนนั้นฐานะต่ำต้อยยิ่ง เพราะพวกนางมิใช่อนุในเรือนที่แยกจากบ่าวไพร่ชายอย่างชัดเจน แต่อยู่ในเรือนพักอย่างชาวบ้านทั่วไป บุรุษก็มิได้ไปหาทุกวัน หากพูดหยาบหน่อยก็คือผู้ใดจะกล้ารับรองว่าบุตรในครรภ์จะเป็นของบุรุษผู้นั้นจริงๆ เล่า?
บุตรที่อนุนอกเรือนตั้งครรภ์นั้นเป็นของบุรุษอื่นแต่ต่อมาถูกรับไปเลี้ยงเป็นคุณชายสุดท้ายกับก่อให้เกิดเรื่องน่าขบขันก็มิใช่ไม่เคยมี
“ลูก ลูกผิดไปแล้วขอรับ” นายท่านรองสกุลหลัวมองไปที่สตรีชุดเขียวที่นั่งคุกเข่าหลังตรงผู้นั้นคราหนึ่งแล้วกัดฟันเอ่ยว่า “ลูกอายุปูนนี้กลัวว่าลูกหลานจะขบขันจึงได้ให้นางเป็นอนุนอกเรือน ท่านแม่ ท่านโปรดรับปากให้ลูกรับเยียนเหนียงมาอยู่ในเรือน แต่นี้ต่อไปลูกจักมิไปทำตัวเหลวไหลนอกจวนอีก”
เจินเมี่ยวมองตามสายตาของนายท่านรองสกุลหลัวไป เมื่อมองสตรีชุดเขียวอย่างละเอียดแล้วนั้นก็ลอบถอนหายใจออกมามิได้
สตรีงามล้ำดุจบุปผาในลำธารใสที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเช่นนี้นางมิเคยพบเจอเลยสักครา!
หากนำไปเปรียบกับไท่เฟยก็เป็นความงามที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นางไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ นายท่านรองสกุลหลัวสามารถทำลายนางงามเช่นนี้ได้ รูปโฉมงดงามเพียงนี้จะเข้าวังไปเป็นพระสนมยังได้เลย
ควรต้องทราบว่าอู๋กุ้ยเฟยที่เป็นที่โปรดปรานในยามนี้ก็เป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น มิแปลกที่นายท่านรองสกุลหลัวจะแบกใบหน้าชราของตนเอ่ยปากปกป้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้แต่ลอบด่าว่าอัปรีย์อยู่ในใจ
ความงามเช่นนี้นั้นเป็นดั่งหายนะโดยแท้ ทว่าเมื่อท่าทีเจ้ารองแล้วก็เห็นชัดว่ารักนางจริงๆ หากขายทิ้งไปเช่นอนุนอกเรือนคนก่อน เกรงว่าคงแลกมากซึ่งบาดแผลในความสัมพันธ์ของแม่ลูกและความบาดหมางของสามีภรรยาแล้ว
ขวางไว้มิสู้ปล่อยไป
ฮูหยินผู้เฒ่ายกมือขึ้นคราหนึ่ง “หงฝูพาเยียนเหนียงไปส่งที่เรือนซินหยวนก่อน”
นายท่านรองมีสีหน้ายินดียิ่ง “ขอบพระคุณท่านแม่ยิ่งที่ช่วยให้ลูกสมหวัง”
“เจ้ารอง!” ฮูหยินผู้เฒ่าเคาะไม้เท้าตนโดยแรง แล้วเอ่ยเสียงดุดันว่า “แต่ให้เป็นแค่สาวใช้ทงฝัง ช่วยให้สมหวังอันใดกัน หากเจ้ายังพูดจากเหลวไหลอีก ข้าจะตีเจ้าให้ขาหักเดี๋ยวนี้!”
นายท่านรองสกุลหลัวเอ่ยรับคำตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยทุกประการ แต่จิตใจกลับลอยตามเยียนเหนียงไปไกลแล้ว
นางเถียนกัดริมฝีปากตนแน่นกระทั่งรับรู้ได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจึงสามารถสงวนท่าทีตนไว้ได้
นางรู้ดีว่าท่านพี่คงจะลุ่มหลงสตรีนอกเรือนนั้นเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงว่าจะงดงามหยาดเยิ้มเพียงนี้
สวรรค์คงรังเกียจที่ก่อนหน้านี้นางมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายมาหลายสิบปีจึงได้ส่งปีศาจนั้นมาทรมานนาง!
ครานี้จักต้องจับตาดูสตรีผู้นั้นไม่วางตา คอยดูว่านางก่อเรื่องอันใดขึ้นมาได้อีกบ้าง
“เอาล่ะ เจ้ารอง เจ้าก็ออกไปเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด
กระทั่งนายท่านรองสกุลหลัวจากไปแล้ว ดวงตาที่ปิดไว้ครึ่งหนึ่งนั้นก็ลืมขึ้นมองไปที่นางเถียน “นางเถียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนทำพลาดที่ตรงใด?”
นางเถียนก้มหน้าต่ำ เมื่อต้องเอ่ยวาจาต่อหน้าเจินเมี่ยวเช่นนี้ใบหน้านางก็ร้อนเป็นไฟขึ้นมา “สะใภ้มิควรวิวาทกันจนเดือดร้อนถึงฮูหยินผู้เฒ่า แค่อนุนอกเรือนผู้หนึ่ง รับกลับมาดูแลไว้ในเรือนก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เดิมนางก็คิดเช่นนั้นแต่เมื่อเห็นรูปโฉมของสตรีผู้นั้นนางกลับไร้หนทางที่จะสงบใจได้อีกต่อไป
ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง เอ่ยแผ่วเบาจนมิอาจได้ยินว่า “โง่!”
นางเถียนอยู่ไกลจึงได้ยินไม่ถนัด แต่เจินเมี่ยวยานั่งคุกเข่าคอยบีบนวดให้ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ด้านข้างกลับได้ยินชัดถนัดหูยิ่ง
“นางเถียน ซูเหนียงนั้นรูปโฉมธรรมดา อุปนิสัยอ่อนโยน แต่เจ้ากลับมิยอมรับ วิวาทกันอยู่กลางถนนจนเจ้ารองต้องถูกลดตำแหน่ง ซูเหนียงก็แท้งและถูกขายไปแล้ว ยามนี้มีเยียนเหนียงที่งามจนก่อหายนะได้ เจ้ากลับไปพานางกลับมาด้วยเหตุใด?”
นางเถียนทำปากขมุบขมิบขึ้นคราหนึ่ง
“หากเจ้ามีสติสักหน่อย พบเจอสตรีงามเช่นเยียนเหนียงเจ้าก็ควรแสร้งทำเป็นไม่รู้ อนุนอกเรือนดั่งจอกแหนไร้ราก ภายหน้าพบเจอผู้มั่งมีแล้วเกิดติดตามเขาไป เจ้ารองจะทำอันใดได้?”
วาจานี้ดุจน้ำเย็นราดลงบนศีรษะปลุกให้นางเถียนตื่นขึ้น นางจึงอดหงุดหงิดใจอย่างที่สุดมิได้
ใช่แล้ว หากนางเก็บโทสะตนไว้แล้ว แล้วผ่านไปอีกสักพักค่อยวางแผนให้ผู้มั่งคั่งสักคนไปพบกับเยียนเหนียง เช่นนี้ทุกคนก็ได้สมใจปรารถนาแล้ว!
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้า ข้า…” นางพลันเสียใจและแค้นใจขึ้นมาในเวลาเดียวกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นยิ้มเสียงเย็น “ตอนนี้เจ้าเอานางเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว ยังหวังจะให้ไล่นางออกไปเช่นซูเหนียงอีกหรือ? เช่นนั้นก็มิต้องพูดถึงอื่นใด ความรักของพวกเจ้าสามีภรรยาคงได้สิ้นสุดลงแน่ พวกเจ้าต่างอายุมากกันแล้ว ข้าคร้านจะใส่ใจ แต่อย่างไรก็ยังมีหลานชายข้าอีกสองคน”
นางเถียนนั่งลงอย่างอ่อนแรง
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจ “เจ้าเป็นผู้ดูแลเรือน ประเดี๋ยวเจ้ารอง เจ้าสามก็ต้องแต่งภรรยามีบุตร เจ้ามิจำเป็นต้องคอยแต่จ้องสาวใช้ทงฝังประหนึ่งไก่ชน รอให้ผ่านช่วงข้าวใหม่ปลามันผ่านไป คนก็อยู่ในเรือนของเจ้าหนีไปไหนมิได้ เขาก็จะค่อยๆ เบื่อไปเอง”
อย่างไรก็มิใช่หนุ่มน้อยอายุสิบกว่าแล้ว เขาจะเอาแต่ลุ่มหลงสาวใช้ทงฝังผู้หนึ่งไม่เสื่อมคลายเลยเชียวหรือ?
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือคราหนึ่งเป็นสัญญาณให้นางเถียนออกไปได้