วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 262 ใฝ่สูง
ครั้นถึงยามราตรี นายท่านสี่สกุลหลัวก็ไปที่เรือนฝั่งตะวันตก
นางหูกำลังแบ่งสมาธิไปดูแลจังเกอที่นอนอยู่บนเตียงทั้งคอยกำชับบ่าวไพร่จัดวางข้าวของให้เข้าที่ไปพลาง นางเหนื่อยล้าจนหน้าซีดเผือด แต่ขณะที่เห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก้าวเท้าเดินเข้ามา แววตาก็เปล่งประกายขึ้น หัวใจที่ถูกแช่แข็งอยู่ในเหมันต์ฤดูพลันกลับมาอบอุ่นอีกครั้ง
“ท่านพี่…” นางหูเดินเข้าไปคว้ามือของนายท่านสี่สกุลหลัวคล้ายเด็กสาวแรกรุ่นก็มิปาน
บ่าวไพร่ทั้งหลายในเรือนฝั่งตะวันตกต่างมาจากเป่าหลิงจึงมิได้ตกใจอันใด
แต่นายท่านสี่สกุลหลัวกลับอดถอนหายใจออกมามิได้
อำเภอห่างไกลความเจริญเช่นเป่าหลิงย่อมมิได้อบรมกิริยาเข้มงวดเช่นเมืองหลวง ทั้งนางหูยังเป็นหญิงที่เกิดในตระกูลวาณิช ถูกเลี้ยงดูอย่างอิสระมาตั้งแต่เยาว์ย่อมไม่รู้สึกว่าที่นางทำนั้นมีอันใดไม่เหมาะสม แต่เขาทราบดี…หากฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าจูงมือถือแขนกันต่อหน้าผู้คนมากมายเพียงนี้ เขาจักต้องถูกตีด้วยไม้เท้าเป็นแน่
ทว่าเมื่อเห็นความอ่อนโยนและยินดีอันจริงใจบนหน้านางหูแล้ว นายท่านสี่สกุลหลัวก็อดใจอ่อนขึ้นมามิได้
อย่างไรก็เป็นเพียงเรือนหลังเล็กๆ นางมิได้มีโอกาสต้อนรับแขกอย่างภรรยาเอกอยู่แล้ว เรื่องความไม่เหมาะสมอันใดนั้นก็มิจำเป็นต้องเคร่งครัดจนมากเกินไปดอก
กับนางหูนั้น นางมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตและเป็นสามีภรรยากันมาหลายปีทั้งยังมีจังเกออีก หากบอกว่านายท่านสี่สกุลหลัวไม่มีความรู้สึกใดเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
แม้นเรื่องราวตรงหน้าจะเกิดความผิดพลาดไปเพราะเหตุบังเอิญเพียงครั้งหนึ่งแต่ก็เป็นสิ่งที่นางหูเลือกเอง ทว่าจากภรรยาเอกเปลี่ยนเป็นอนุ อย่างไรตัวเขาก็รู้สึกผิดและสงสารนางอยู่ลึกๆ น้ำเสียงที่เอ่ยจึงอ่อนลง “เข้าไปดูจังเกอด้านในก่อนเถิด”
คนทั้งสองเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการจังเกอด้วยกัน
“ท่านพ่อ…” เมื่อจังเกอตื่นขึ้นมาเห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็เบิกบานใจยิ่ง
ครั้นมองบุตรชายที่อ่อนแอเพราะโรคภัย นายท่านสี่สกุลหลัวก็รู้สึกเป็นห่วงยิ่ง เขายื่นมือออกไปลูบศีรษะจังเกอ “จังเกอ กินอันใดแล้วหรือไม่?”
จังเกอพลันน้อยอกน้อยใจขึ้นมา “ไม่อร่อย จังเกอกินไม่ลง แต่ท่านแม่ก็ยังบังคับให้กิน…”
นายท่านสี่สกุลหลัวจนใจยิ่ง “จังเกอ ต้องกินอันใดบ้างถึงจะหายดี หายดีแล้วจึงจะออกไปวิ่งเล่นได้ มิใช่นอนอยู่บนเตียงเช่นนี้”
จังเกอพลันตาเป็นประกายขึ้น “ถ้าจังเกอหายดีก็จะได้คัดอักษรเหมือน…” คิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เหมือนพี่หกใช่หรือไม่?”
เขายังจำท่าทีงามสง่ายามที่เด็กน้อยซึ่งโตกว่าเขาเพียงสองปีพูดว่าตนคัดอักษรได้หลายตัวแล้วได้ดี ท่าทีงามสง่านั้นเหมือนท่านพ่อไม่มีผิด
นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งไปเล็กน้อย ตามด้วยใบหน้าที่แสดงความยินดีอย่างแท้จริง น้ำเสียงก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น “จังเกอก็อยากเรียนคัดอักษรกับพี่หกหรือ?”
“อยาก” จังเกอพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด
จิตใจของเด็กนั้นไร้เดียงสายิ่ง คำตอบที่เอ่ยย่อมต้องออกมาจากใจจริง
นายท่านสี่สกุลหลัวแทบจะถอนหายใจโล่งอกออกมาทันที
ดูท่าในอนาคตบุตรชายทั้งสองคงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย
หากเป็นเพียงบุตรอนุธรรมดาๆ เขาย่อมมิได้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเขาเพียงนี้ แต่จังเกอมิเหมือนกัน เขาไม่เคยรู้เลยว่าบุตรของอนุเป็นเช่นใด แต่หลังจากอยู่จวนกั๋วกง โดยเฉพาะการถูกเลี้ยงดูโดยนางหูที่กลายเป็นอนุไปแล้วนั้นย่อมจะทำให้เขารับรู้อย่างชัดเจนว่าตนไม่เหมือนกับเจ้าหก
เขากลัวจังเกอจะไม่เข้าใจ จะโกรธแค้น จะทำเรื่องเลวร้าย และทำร้ายตนทำร้ายคนอื่นในที่สุด
ช่วงขณะนี้เองนายท่านสี่สกุลหลัวจึงได้เปลี่ยนใจ เมื่อเดินเข้าไปในห้องฝั่งตะวันออกก็เอ่ยหยั่งเชิงทันที “เหมยเหนียง ในเมื่อจังเกอถูกยกให้เป็นบุตรของฮูหยินแล้วก็ให้เขาไปอยู่กับเจ้าหกดีหรือไม่?”
“ท่านพี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?” นางหูหน้าซีดขาวไปทันที
แต่นายท่านสี่สกุลหลัวกลับเข้าใจความคิดของนางหูจึงได้แต่ถอนหายใจยาวอยู่ในอก บอกไม่ถูกว่าผิดหวังหรือรู้สึกเยาะหยันกันแน่ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เหมยเหนียง เจ้าคิดให้ดีเสียก่อนว่าจะอบรมเลี้ยงดูจังเกอเช่นไรค่อยตัดสินใจได้หรือไม่?”
นางหูใช้เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือตนจึงสามารถสงวนท่าทีเอาไว้ได้
ใช่ ก่อนหน้านี้นางฉลาดเก่งกาจอย่างที่สุด เพราะเรื่องในเรือนท่านพี่ล้วนต้องอาศัยนาง แต่นางเองก็เข้าใจว่าตอนนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว หากยังคงใช้ชีวิตตามแต่ใหญ่อย่างที่ผ่านมาก็เท่ากับผลักท่านพี่ไปให้กับสตรีผู้นั้น
“ท่านพี่ ท่านก็รู้ว่าจังเกอสุขภาพอ่อนแอมาตลอด หากต้องห่างข้าไปคงไม่ได้แน่ ข้า…ข้ามีเพียงจังเกอเท่านั้น”
“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว”
นางหูเงยหน้าขึ้น ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านพี่ ท่าน ท่านคงตำหนิว่าข้าไม่รู้ความใช่หรือไม่?”
“ไม่ เหมยเหนียง ข้าแค่หวังว่าเจ้าจะไม่เสียใจในภายหลังเท่านั้น” นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มบางเบาคราหนึ่ง
เสียใจภายหลัง…นางจะเสียใจภายหลังได้อย่างไร หากบุตรชายที่ตนเลี้ยงดูมาอย่างยากลำบากมีไปรักสตรีอื่นมากกว่าต่างหาก นางจึงจะเสียใจภายหลัง?
นางหูหลุบม่านตาลงปิดบังอารมณ์อันซับซ้อนนั้นของตน แล้วเอ่ยตัดพ้อเสียงอ่อนว่า “ท่านพี่ เรามิได้เจอกันนานมากแล้ว เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านมิคิดถึงข้ากับจังเกอเลยเล่า?”
นายท่านสี่สกุลหลัวถอนหายใจ “เปล่าเสียหน่อย ข้าเองก็คิดถึงพวกเจ้าเช่นกัน”
“แต่ท่าน…” นางหูกัดริมฝีปากตนไว้ “เพิ่งจะไปรับพวกเรามาตอนนี้เอง…”
นายท่านสี่สกุลหลัวจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เรื่องในเรือน ย่อมต้องให้ท่านแม่เป็นผู้ตัดสินใจ”
ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านย่าของจังเกอเองหรอกหรือ!
นางหูกัดริมฝีปากตน นางลอบด่าภรรยาแก่นั้นมาตลอดในระหว่างที่เฝ้าคอยอย่างร้อนใจอยู่ที่เป่าหลิง แววตาที่มองนายท่านสี่สกุลหลัวกลับยิ่งเพิ่มความน้อยใจมากยิ่งขึ้น
คิดไม่ถึงว่านายท่านสี่สกุลหลัวกลับเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “ต่อไปหากเป็นเรื่องในเรือน เจ้าก็ต้องเชื่อฟังฮูหยิน”
นางหูหยิกตนไว้โดยแรงอีกคราจึงสามารถหยุดยั้งมิให้เอ่ยโต้เถียงออกไป แล้วหันกายเดินออกไปยกน้ำเข้ามาให้นายท่านสี่ล้างหน้าบ้วนปาก ทั้งสองจึงเข้านอนพร้อมกัน
เจินเมี่ยวเห็นนางหูที่นางชีเป็นผู้พามาน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าวันถัดมา แต่ไม่เห็นจังเกอ
ฮูหยินผู้เฒ่าถามขึ้น นางหูจึงอธิบายว่า “จังเกอสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อวานดื่มยาไป วันนี้ยังนอนพักอยู่จึงมิได้พาเขามาด้วย หวังว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ถือโทษ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหน้านางหูคราหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยกำชับกับนางชีว่า “ในเมื่อจังเกอร่างกายอ่อนแอ เจ้าก็ต้องใส่ใจให้มาก หากต้องการเชิญท่านหมอผู้เชี่ยวชาญก็ให้มาหาแม่นมหยาง”
“ขอบพระคุณฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางชีย่อกายลงเล็กน้อย
นางหูพลันอึ้งไป ใบหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปมองนางหูแล้วเอ่ยว่า “หูอี๋เหนียงเองก็ดูแลนายท่านสี่และจังเกอมานานหลายปี ลำบากไม่น้อย ต่อไปหากมีเรื่องใดไม่สะดวกสบายก็บอกกับฮูหยินสี่ได้”
กล่าวจบก็ยกชาขึ้นดื่ม
นางหูอึ้งงันทันที
คิดไม่ถึงว่าจะให้นางโขกศีรษะคราหนึ่งแล้วก็กลับเรือน!
ตอนที่นางอยู่ในอำเภอเป่าหลิงก็ได้คบค้ากับภรรยาของพ่อค้าวาณิชมาไม่น้อย บางคนที่สามีไม่พึงใจภรรยาเอกแล้วยอมให้อนุออกมาต้อนรับแขกแทนก็มิใช่ไม่มี
ทว่านายท่านที่อยู่เต็มจวนนี้ นอกจากนางเจินที่เคยไปจวนสกุลหู นางก็ไม่รู้จักแม้เพียงคน แต่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะแนะนำนางด้วยซ้ำก็ไล่นางกลับเสียแล้ว
นางหูพลันรู้สึกว่าของขวัญที่นางเตรียมมาโดยเฉพาะ เพื่อมอบให้กับคุณหนูคุณชายทั้งหลายในการพบหน้ากันครั้งแรกนั้นเป็นเรื่องน่าขบขันสิ้นดี ภายในห้องที่มีถ่ายร้อนอยู่ใต้ดิน อบอุ่นดุจวสันต์ฤดู แต่นางกลับคล้ายยืนอยู่ในถ้ำน้ำแข็งก็มิปาน
กระทั่งกลับไปถึงเรือนฝั่งตะวันตก นางหูจึงร้องไห้ระบายความในใจออกมากับแม่นมคนสนิทอย่างสุดทน “แม่นม ข้าโง่จริงๆ ข้ารู้ว่าเป็นอนุนั้นยาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะยากเพียงนี้!”
แม่นมเห็นนางหูมาตั้งแต่เยาว์ ทราบดีว่านางถูกเลี้ยงมาอย่างบุรุษ แม้นจะพบเจอกับความลำบากเท่าใดก็มิเคยร่ำไห้เพียงนี้มาก่อน เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยอย่างห่วงใยว่า “ไท่ไท่ เรากลับเป่าหลิงดีหรือไม่เจ้าคะ ยามนี้ตระกูลหูได้ทำการค้ากับราชวงศ์แล้ว คุณชายรองก็นับวันเติบใหญ่ ภายหน้าท่านต้องมีชีวิตที่ดีแน่เจ้าค่ะ”
คุณชายรองที่แม่นมพูดถึงก็คือฉีเกอน้องชายคนเล็กของนางหู เขาเพิ่งจะอายุสิบปี ร่ำเรียนอยู่ที่เป่าหลิงและดูแลกิจการไปด้วย
“กลับหรือ? ไม่ได้! กลับไปแล้วจังเจอจะทำฉันใด?” นางหูเอ่ยเสียงสูงว่า “แม่นม ท่านเห็นหรือไม่ จังเกอมาที่นี่ก็มีหมอผู้เชี่ยวชาญมารักษาทันที หากอยู่เมืองเล็กๆ ที่กันดารเช่นนั้นจะไปมีอนาคตอันใดเล่า?”
กล่าวถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ “แม้แต่ฉีเกอ รอให้ข้าเข้าที่เข้าทางแล้วก็จะรับเขามาร่ำเรียนในเมืองหลวงเช่นกัน ได้ยินว่าสำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนมีแต่ผู้มีความสามารถ ลูกหลานขุนนางต่างร่ำเรียนที่นี่”
แม่นมได้ฟังก็ดีใจยกใหญ่ “อาจารย์ต่างบอกว่าคุณชายรองฉลาดยิ่ง คิดว่าหากได้มาร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวงกั๋วจื่อเจี้ยนคงไม่มีใครเทียบได้แน่เจ้าค่ะ”
“ดังนั้นต่อให้ยากเย็นเพียงใด ข้าก็จะต้องทนให้ได้ แม่นม วันนี้สืบความมาได้อย่างไรบ้าง?”
นางหูมีเงิน แค่ใช้เงินเปิดทางมีบ่าวไพร่คนใดจะไม่ยอมเปิดปากบ้าง แม่นมจึงรายงานเรื่องสำคัญที่สอบถามมาจากการหว่านเงินไปทั่วนั้นทันที “ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ดูแลจวนนี้มาหลายปีแล้ว แต่นายท่านทั้งหลายต่างกตัญญูยิ่ง หากเอ่ยปากสิ่งใดก็ล้วนปฏิบัติตามทั้งสิ้น ปกติแล้วในจวนจะมีฮูหยินทั้งสามและต้าไหน่ไหน่ช่วยกันดูแล ฮูหยินรองสกุลเถียนดูแลจวนมาก่อนนับสิบปี ตามหลักแล้วย่อมต้องรู้เรื่องภายในจวนมากกว่าฮูหยินอีกสองคนอยู่ไม่น้อย แต่หากกล่าวถึงนายหญิงที่แท้จริงของจวนกั๋วกงย่อมต้องเป็นต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ”
“นางเจินผู้นั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ” แม่นมมองซ้ายมองขวา แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “นายท่านและฮูหยินใหญ่เสียชีวิตไปนานแล้ว บุตรชายเพียงคนเดียวจึงรับตำแหน่งผู้สืบทอดไป นางเจินเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดทั้งยังเป็นเซี่ยนจู่ที่องค์จักรพรรดิเป็นผู้แต่งตั้งด้วยพระองค์เองอีกด้วย!”
“ห๊ะ!” สตีสกุลหูซูดปากคราหนึ่ง รู้สึกเหลือเชื่อยู่บ้าง “เหตุใดจึงกลายเป็นเซี่ยนจู่เล่า? มิเห็นท่านพี่พูดเลยว่านางเจินเป็นราชนิกุลเลย”
“นางกลับมาจากเป่ยเหอครานี้ พระชายาหย่งอ๋องก็รับนางเป็นบุตรบุญธรรมเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ เป็นเรื่องจริง…”
เป็นคนเช่นกันแต่วาสนากลับต่างกันนัก!
ความริษยาพาดผ่านไปบนใบหน้านางหู
แม่นมจึงเอ่ยเตือนขึ้นว่า “ไท่ไท่ ในเมื่อต้าไหน่ไหน่เคยไปจวนสกุลหูก็แสดงว่านางมีวาสนากับท่าน ทั้งยังทำอาหารให้จังเกอกินอีกมิใช่หรือ ดูท่าคงเป็นคนจิตใจดีที่รักเด็กไม่น้อย”
นางหูพลันคิดขึ้นได้จึงเอ่ยว่า “แม่นม ข้าเพิ่งมาถึงคงไม่สะดวกเดินไปไหนมาไหน เจ้าช่วยไปแทนข้าสักหน่อยเถิด เอากำไลริ้วทองคู่นั้นไปให้ต้าไหน่ไหน่ บอกว่าจังเกอจดจำความดีของนางไม่ลืมเลือน และขอวิธีทำอาหารที่นางทำคราก่อนด้วย”
ขอวิธีทำอาหารนั้นย่อมเป็นเพียงข้ออ้างในการไปหาเท่านั้น ความจริงการตีสนิทกับเซี่ยนจู่ท่านนี้ให้ได้ต่างหากจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นางหูคิดแล้วก็หัวเราะออกมา พลางกำชับว่า “ต้าไหน่ไหน่ผู้นั้นยิ้มแย้มจิตใจดี แม่นม หากนางมีท่าทีเย็นชา เจ้าก็ขอร้องนางให้มากสักหน่อยย่อมต้องสำเร็จแน่”
เจินเมี่ยวกำลังพับจดหมายที่จะส่งไปให้เจินเหยียน แล้วสั่งให้ชิงไต้นำจดหมายและของบำรุงไปส่งที่จวนรองเสนาบดี ครั้นได้ยินว่ามีแม่นมจากเรือนอวี้หยวนมาขอพบจึงให้พาคนเข้ามา
“บ่าวคารวะต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “แม่นมลุกขึ้นเถิด ไม่ทราบว่ามาที่นี่มีเรื่องใดหรือ?”
อาสะใภ้สี่นั้นปกติเป็นคนรักสงบและเรียบง่ายจึงมิเคยส่งคนมาที่เรือนชิงเฟิงเลยสักครา
แม่นมผู้นั้นจึงเอ่ยถึงเจตนาที่ตนมา
เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง “ที่แท้ก็มิใช่คนของอาสะใภ้สี่หรอกหรือ!”
ผู้ใดไม่รู้จักถามให้แน่ชัดก็ปล่อยคนเข้ามา ประเดี๋ยวนางจะหักเบี้ยหวัดประจำเดือนเสียให้เข็ด!