วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 261 ต่างทุกข์
“อืม” นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้ามาแล้วถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ส่งให้สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าจะไปดูจังเกอเสียหน่อย”
นางหูมองนายท่านสี่สกุลหลัวอย่างอึ้งงัน
เขาคือสามีของนาง หลังจากโกนหนวดเคราออกแล้วก็หล่อเหลาสง่างามเช่นคราแรกที่พบกันไม่มีผิด แต่พวกเขามิได้พบหน้ากันนานแล้ว เหตุใดเขาจึงมิได้มีท่าทีตื่นเต้นดีใจเลยเล่า?
นางหูมองไปที่นางชีทันที
เป็นเพราะนางหรือ? ท่านพี่มีใจรักต่อสตรีผู้นี้มากกว่างั้นหรือ?
คุณชายหกยืนอยู่ในมุมหนึ่ง เขาเม้มริมฝีปากแน่นมองด้านหลังของนายท่านสี่สกุลหลัวไม่วางตา เวลานี้เขามิได้มีท่าทีดุจพี่ชายคนโตเหมือนยามอยู่ต่อหน้าจังเกอแล้ว แต่กลับคืนสู่ท่าทีเงียบขรึมไร้วาจาดั่งเช่นที่ผ่านมา
คิดไม่ถึงว่านายท่านสี่สกุลหลัวจะหันหลังกลับมา มุมปากห้อยแขวนด้วยรอยยิ้มจางๆ แฝงความอ่อนโยน “เจ้าหก มาหาพ่อเร็ว เราไปดูอาการจังเกอด้วยกันเถิด”
นายท่านสี่สกุลหลัวเดินเข้าไปยกคุณชายหกขึ้นอุ้ม แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกัน”
เพียงผ้าม่านแกว่งไกว สองพ่อลูกนั้นก็หายวับไปทันที ภายในห้องจึงเหลือเพียงนางชีและนางหู
หลังจากนั้นไม่นาน นายท่านสี่สกุลหลัวก็จูงมือคุณชายหกออกมา นั่งรอท่านหมอเฝิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้ามิบ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ใด
รออยู่ครู่หนึ่งท่านหมอเฝิงจึงเดินออกมา เมื่อเห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็รีบทำความเคารพ แล้วยื่นเทียบยาส่งให้
“เหตุใดเขาจึงท้องเดินกระทั่งหมดสติไปเล่า?”
ท่านหมอเฝิงมีท่าทีลำบากใจ
“ท่านหมอพูดมาได้เลย”
ท่านหมอเฝิงชำเลืองมองนางชีและนางหู ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ฮูหยินบอกว่าคุณชายดื่มน้ำผึ้งไป แต่เด็กอายุเท่านี้ แม้นร่างกายจะอ่อนแอก็มิถึงกับดื่มน้ำผึ้งไม่กี่อึกก็ท้องเดินจนหมดสติได้ ดูอาการแล้ว คล้ายว่าจะดื่มอันใดบางอย่างที่ทำให้ท้องเดิน…”
เอ่ยยังมิทันจบดีก็ได้ยินเสียงเคร้งดังขึ้น นางหูทำถ้วยชาที่วางอยู่ข้างมือล้มคว่ำ น้ำชาที่เย็นชืดไปแล้วนั้นค่อยๆ ไหลนองบนโต๊ะและซึมเปียกเข้าไปในแขนเสื้อนาง
นางกลับมิไยดี วิ่งเข้าไปหานายท่านสี่สกุลหลัวด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ท่านพี่ จังเกอมิได้กินอันใดเป็นเรื่องเป็นราวมาตลอดทาง ท่านก็รู้ว่าเขากินข้าวมิได้ มีแค่เมื่อครู่ที่ดื่มน้ำผึ้งเข้าไป…”
นางหูรู้สึกสับสนในอารมณ์อย่างยิ่ง
นางไม่ทราบว่าหมอเฝิงนั้นฝีมือการแพทย์ไม่ดีหรือเพราะเหตุผลใดกันแน่ ไยวาจานั้นของเขาถึงได้เอ่ยออกมาอย่างที่ใจนางอยากให้เป็นได้?
ณ เรือนซินหยวน นางเถียนจิบชาไปอึกหนึ่งก็หัวเราะกับสาวใช้ตนพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อทราบว่าคุณชายที่มาใหม่ของบ้านสี่ล้มป่วย หากจะไม่แสดงน้ำใจอันใดคงไม่ดี เจ้าเอาของบำรุงที่ห้องเก็บของไปมอบให้ด้วยเล่า”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วจึงเดินออกไป
นางเถียนเอ่ยกับแม่นมเถียนที่พักรักษาตัวจนหายดีแล้วว่า “หมอเฝิงผู้นั้น เข้าใจความหมายของข้าดีใช่หรือไม่?”
“ฮูหยินวางใจ บ่าวเน้นย้ำกับเขาไปแล้วว่าฮูหยินต้องการให้ตรวจดูคุณชายผู้มาใหม่อย่างดีที่สุด หมอเฝิงย่อมต้องเข้าใจแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” นางเถียนหยักยิ้มคราหนึ่ง
จวนกั๋วกงแห่งนี้สงบสุขมานานเกินไปแล้ว นางเจินกำลังเป็นที่โปรดปราน นางจึงต้องหลีกเลี่ยงการปะทะชั่วคราว แต่หากสองบ้านนั้นยังสงบต่อไปเช่นนี้ เมื่อใดที่นางเจินยืนได้อย่างมั่นคง นางที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลจวนมานับกว่าปีก็จำต้องถอนตัวออกไปกลายเป็นเพียงผู้ช่วยตัดเย็บชุดเจ้าสาวให้ผู้อื่นโดยมิได้อันใดเลย!
แม่นมเถียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฮูหยิน ตามหลักแล้วบ่าวมิควรปากมากเช่นนี้ แต่หากไม่พูดก็กลัวว่าภายหน้าท่านจะต้องเสียเปรียบเจ้าค่ะ”
นางเถียนมองแม่นมเถียนตาขวาง “แม่นม มีอันใดที่พูดกับข้ามิได้บ้างเล่า?”
“ฮูหยิน ท่านคิดว่าระยะนี้นายท่านยุ่งเกินไปหรือไม่เจ้าคะ? แม่นบ่าวมิใคร่รู้เรื่องนอกจวน แต่ที่ทราบนั้นนายท่านมิเคยยุ่งเพียงนี้มาก่อน”
นางเถียนฟังแล้วใจหายวาบ
เรื่องในราชสำนักนางก็มิได้สืบถามให้มากความ แต่ผู้ใดต่างก็กล่าวว่าศาลหงหลูนั้นเป็นที่แสนสบาย แล้วเหตุใดท่านพี่จึงได้ยุ่งกว่าตอนอยู่ในกองทัพอีกเล่า
นางเถียนรู้ดีว่าตั้งแต่เกิดเรื่องซูเหนียง ความรู้สึกของพวกเขาสามีภรรยาก็นับวันจืดจาง หลายเดือนมานี้ ท่านพี่มิเคยมาค้างแรมกับนางเลยสักครา
ควรต้องทราบว่านางเพิ่งจะอายุสามสิบกว่าเท่านั้น แล้วท่านพี่ก็ยังไม่ถึงสี่สิบด้วยซ้ำ
นางเถียนตบโต๊ะโดยแรง “แม่นม เขาจักต้องมีสตรีเลี้ยงไว้นอกจวนแน่!”
“ฮูหยิน บางทีบ่าวอาจคิดมากไป หากมันเกิดกระทบกับความรักของท่านกับนายท่าน เช่นนั้นบ่าวคงผิดมหันต์แล้ว”
“ไม่ แม่นม…พอท่านเอ่ยเช่นนี้ข้าเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ตั้งแต่วันที่ท่านพี่มิได้กลับมาร่วมงานเลี้ยงฉลองในจวน หากกลับมาก็แค่ไปน้อมทักทายฮูหยินผู้เฒ่าแล้วรีบร้อนออกจากจวนทุกครั้ง ตำแหน่งขุนนางเล็กๆ เท่าเม็ดงาจะยุ่งกว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเชียวหรือ? อีกอย่าง เขามีหรือจะกินเจได้นานเพียงนี้? ข้าเข้าใจแล้ว เขาจักต้องได้สตรีผู้นั้นมาครอบครองในคืนวันเลี้ยงฉลองเป็นแน่ รสชาติเนื้อคงอร่อยจนอยากจะกินแล้วกินอีกกระมัง เจ้าคนสารเลว!”
“ฮูหยิน อย่าเพิ่งโมโหไปเลยเจ้าค่ะ”
“จะมิให้ข้าโมโหได้อย่างไร เขาทำตัวดีมาตลอด เหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปดั่งเป็นคนละคนเช่นนี้…เลี้ยงอนุนอกเรือนคนแล้วคนเล่า!”
แม่นมเถียนลอบถอนหายใจอยู่ในอก
เมื่อเป็นเรื่องของตนย่อมมองไม่ออก ฮูหยินเป็นเช่นนั้นแล เดิมนายท่านก็มิใช่บุรุษรักสงบ จะบอกว่าจู่ๆ ก็เริ่มเลี้ยงอนุไว้นอกเรือนได้อย่างไร แค่ก่อนหน้านี้ปิดบังไว้อย่างแนบเนียนจึงมิถูกจับได้ต่างหากเล่า
“ฮูหยิน ท่านลืมเรื่องซูเหนียงแล้วหรือเจ้าคะ?”
นางเถียนหน้าขรึมไป
ตอนนั้นนางแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างรุนแรง แม้นฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นผู้ขายนางออกไป ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยากลับจืดจางลงอย่างเห็นได้ชัด ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ
“แม่นมส่งคนไปเฝ้าที่ศาลาว่าการของท่านพี่ ลากตัวนางปีศาจจิ้งจอกนั้นออกมาให้จงได้!” นางเถียนถอนหายใจออกมาโดยแรง “เอาไว้ข้างกายคอยจับตาดู ดีกว่าปล่อยให้เหิมเกริมอยู่ข้างนอก!”
“ฮูหยินวางใจ บ่าวทราบว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ”
ครั้นหลี่ว์เจวียนสาวใช้ที่นางเถียนไปถึงเรือนอวี้หยวนก็ถูกขวางไว้หน้าประตูเสียก่อน นางจึงได้ยินเพียงเสียงที่แฝงด้วยโทสะของนายท่านสี่ดังลอยมาจากด้านใน
“กินของที่กระตุ้นให้ท้องเดิน? ท่านหมอเฝิงตรวจพบสิ่งใดหรือ?”
“คือ…มันเป็นเพียงการวินิจฉัยเท่านั้น แต่นายท่านสี่วางใจได้ เมื่อคุณชายได้กินยาระงับอาการท้องเดินก็คงจะดีขึ้นแล้ว”
นายท่านสี่สกุลหลัวเม้มริมฝีปากบางตน เอ่ยอย่างไร้โทสะแต่แฝงท่าทีข่มขู่ “ท่านหมอเฝิงคิดว่าสาเหตุที่จังเกอท้องเดินมิได้มาจากการดื่มน้ำผึ้ง แต่กลับวินิจฉัยว่าดื่มสิ่งที่กระตุ้นให้เกิดอาการท้องเดิน เช่นนั้นหมายความว่าในน้ำผึ้งมีสิ่งอื่นปนเปื้อนอยู่กระนั้นหรือ?”
“เอ่อ ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ข้าน้อยเพียงวินิจฉัยไปตามเหตุผลเท่านั้น” ท่านหมอเฝิงรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลออกมาเต็มแผ่นหลังตนแล้ว…ช่างเย็นยะเยือกนัก
นายท่านสี่สกุลหลัวแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าท่านหมอเฝิงจะวินิจฉัยไปตามหลักผลจริงๆ”
เวลานี้เองสาวใช้ผู้หนึ่งก็แหวกม่านเดินเข้ามา “นายท่าน ฮูหยิน ท่านหมอที่ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญมาตรวจอาการคุณชายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เร็วเพียงนี้เชียว” นางชีอึ้งไปเล็กน้อย ครั้นเห็นนายท่านสี่มีสีหน้างุนงงจึงเอ่ยอธิบายว่า “เมื่อครู่ข้าส่งให้หันหรุ่ยไปเรียนฮูหยินผู้เฒ่าว่าอยากให้เชิญท่านหมอที่เชี่ยวชาญโรคเด็กมาตรวจจังเกอ แต่คิดไม่ถึงว่าจะรวดเร็วเพียงนี้”
สาวใช้ผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินกับฮูหยินผู้เฒ่าใจตรงกันพอดีเจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินว่าคุณชายน้อยร่างกายอ่อนแอ จึงได้เชิญท่านหมอมาตรวจดูสักหน่อย”
นางชีได้ยินเช่นนี้ก็เม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วยิ้มออกมา “ฮูหยินผู้เฒ่าช่างรอบคอบนัก”
เมื่อท่านหมอที่เชิญมาตรวจจังเกอก็เอ่ยสอบถาม ครั้นทราบว่าดื่มน้ำผึ้งก็ส่ายหน้าทันที “อาการป่วยของคุณชายน้อยนั้นมาจากน้ำผึ้งนั้นแล”
คนทั้งห้องพลันเงียบไปทันใด ท่านหมอเฝิงที่อยู่ตรงนั้นมาตลอดจึงอดเอ่ยถามมิได้ว่า “น้ำผึ้ง? เป็นไปไม่ได้ น้ำผึ้งสามารถล้างพิษ ทำให้ชุ่มคอ ผู้คนทั้งหลายดื่มน้ำผึ้งก็ล้วนปกติดี”
หมอท่านนั้นเพียงชำเลืองมองหมอเฝิงคราหนึ่งแล้วหันไปเอ่ยอธิบายกับนายท่านสี่สกุลหลัวว่า “เดิมน้ำผึ้งนั้นมีฤทธิ์ช่วยชะลออาการท้องเดิน แต่จากที่ข้าน้อยรักษามานานปีกลับพบว่าเด็กเล็กนั้นมิควรดื่มน้ำผึ้ง หากดื่มมากเกินไป เด็กบางคนก็อาจเกิดล้มป่วยหรือเป็นโรคได้เลยทีเดียว!”
“ห๊ะ?” ครานี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกใจอย่างที่สุด
หลักการเช่นนี้ช่างทำให้คนฟังขนลุกเกรียวไปหมด
“นี่ก็เป็นเพียงสิ่งที่ข้าน้อยวินิจฉัยจากประสบการณ์ตนคนเดียวเท่านั้น แต่ดูจากอาการของคุณชายน้อยแล้ว น่าจะเป็นเช่นที่ข้าน้อยกล่าวมา ส่วนที่ว่าดื่มสิ่งปนเปื้อนจนท้องเดินนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะด้วยร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ หากกินสิ่งที่กระตุ้นให้ท้องเดินลงไปเกรงว่าตอนนี้คงย่ำแย่ไม่เหลือสภาพแล้ว”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยกำชับว่า “ต่อไปท่านต้องดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณชายน้อยเป็นพิเศษแล้ว ประเดี๋ยวข้าน้อยจะเขียนวิธีใช้อาหารรักษาให้ คุณชายอายุยังน้อยอย่างไรก็ควรใช้อาหารรักษาเป็นหลักจะดีกว่า”
ครั้นเมื่อท่านหมอจากไป หมอเฝิงก็รีบเดินเข้าไปรับผิดแล้วขอตัวกลับโดยมิรอให้นายท่านสี่กล่าวสิ่งใดด้วยซ้ำ ยามนี้เองหลี่ว์เจวียนสาวใช้ที่นางเถียนส่งจึงเข้าไปส่งของบำรุงแก่นางชี
นายท่านสี่สกุลหลัวจ้องเบื้องหลังของหลี่ว์เจวียนที่เดินจากไป แววตาล้ำลึกนั้นทอประกายวาบขึ้น
ที่พักของหูอี๋เหนียงนั้นนางชีได้สั่งให้จัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ยามนี้จังเกอก็ปลอดภัยแล้ว นางชีจึงสั่งให้คนพานางหูและบ่าวไพร่ที่ถือสัมภาระเหล่านั้นไปยังเรือนฝั่งตะวันตก
ภายในห้องจึงเหลือนายท่านสี่สกุลหลัวและนางชีเพียงสองคนเท่านั้น
“ซีเหนียง ต่อไปหากในเรือนเรามีผู้ใดไม่สบายอีก็เรียนท่านแม่ให้เชิญท่านหมอข้างนอกมาตรวจดูเถิด ไม่ต้องใช้ท่านหมอเฝิงแล้ว”
“เรื่องที่เด็กกินน้ำผึ้งมากไปอาจจะป่วยได้นั้น ข้าก็มิเคยได้ยินเลย ท่านหมอเฝิงไม่ทราบก็ไม่แปลกสักนิด”
นายท่านสี่สกุลหลัวส่ายหน้า “คนเราต่างมีความเห็นแก่ตัว เหตุผลที่จะปกป้องตนเอง หรือผลประโยชน์ที่ต้องการ หมอเฝิงพูดว่าจังเกอกินของที่ทำให้ท้องเดินเข้าไปทั้งที่ไม่ทราบแน่ชัดถึงเหตุผล คล้ายกลัวว่าใต้หล้านี้จะสงบสุขเกินไปกระนั้น มันช่างดูขัดกับฐานะของเขาเหลือเกิน”
แววตานายท่านสี่สกุลหลัวสาดประกายเย็นเยือกวูบหนึ่ง เรื่องที่มันผิดปกติย่อมต้องมีสาเหตุ เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า สาเหตุที่ทำให้หมอเฝิงเป็นเช่นนี้คืออันใด!
“แต่หากปวดหัวตัวร้อนเป็นบางครา จะไปรบกวนท่านแม่ทุกครั้งก็มิใคร่เหมาะสมนัก”
“เรื่องนี้ไม่ยาก เราก็ไปเชิญท่านหมอมาเอง แค่บอกแก่พี่สะใภ้รองก่อนทุกครั้งก็พอ ส่วนเงินค่ารักษาเราจ่ายเองได้”
นางชีพยักหน้าแล้วเอ่ยถามอีกว่า “ในเมื่อจังเกอได้ชื่อว่าเป็นบุตรข้า ต่อไปจะให้เขาอยู่กับเจ้าหกหรืออยู่กับอี๋เหนียงเล่า?”
นายท่านสี่สกุลหลัวลังเลครู่หนึ่ง “ข้าขอถามนางก่อนแล้วกัน” พูดพลางกุมมือนางชีไว้ แล้วเอ่ยไปตามตรงว่า “ซีเหนียง สถานการณ์ของนางนั้นออกจะพิเศษสักหน่อย ข้ามิอาจจะปฏิบัติกับนางเสมือนเป็นอนุคนหนึ่งได้ เจ้า…”
บุตรอนุที่ถูกเลี้ยงโดยภรรยาเอกกับถูกเลี้ยงโดยอนุนั้นย่อมมีฐานะ ความรู้ มารยาท กระทั่งกลุ่มคนที่เขาจะเข้าไปคบค้าทำความรู้จักต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่เขายอมที่จะให้นางหูได้มีโอกาสเลือกเสียก่อน
“ท่านพี่ ข้าเข้าใจ” นางชีค่อยๆ แนบซบลงกับอกของนายท่านสี่สกุลหลัว
หากไม่มีนางหู นางคงต้องแยกจากสามีเป็นสตรีหม้ายที่ความรู้สึกตายด้านไปชั่วชีวิต แม้แต่ความขมขื่นในยามนี้ก็ล้วนเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
สถานการณ์ในตอนนี้หรือ นางทุกข์ แล้วเขามีไม่ทุกข์หรือไร ว่าไปแล้ว ชีวิตคนเราก็ต้องมีแปดเก้าส่วนที่ไม่สมหวัง
เสียงถอนหายใจนั้นแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
นายท่านสี่สกุลหลัวสั่นสะท้านไปทั่วร่าง มือที่จับมือนางชีไว้นั้นกลับกระชับแน่นยิ่งขึ้น