วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 251 ดูตัว
แต่ไหนแต่ไรจื่อซูมักมีสีหน้านิ่งเฉย แม้นจะหน้าร้อนเห่ออยู่บ้างแต่ก็ดูไม่ออก มีเพียงไป๋เสาซึ่งเติบโตมาด้วยกันที่เผยรอยยิ้มล้ำลึก
นางหาโอกาสพูดคุยกับเจินเมี่ยวเพียงลำพังแล้วเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านว่าหลัวเป้า เขาชมชอบพี่จื่อซูหรือไม่เจ้าคะ?”
ความรู้สึกขัดข้องที่หญิงงามที่ตนเลี้ยงไว้ถูกผู้อื่นถ้ำมองนี้คืออันใดกัน?
ไป๋เสาเองก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย นางเอ่ยกุกกัก “บ่าวแค่ฟังเชวี่ยเอ๋อร์เล่า จึงเดาส่งเดช ต้าไหน่ไหน่ท่านอย่าได้โกรธ…”
กล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป แล้วเอ่ยหยั่งเชิงขึ้นว่า “ว่าไปแล้ว พี่จื่อซูก็อายุไม่น้อยแล้ว มากกว่าบ่าวแค่สองปีเท่านั้น”
ราษฎรในต้าโจวนั้นผ่อนปรนกับขนบอันแน่นตึงไปมากแล้ว กรอบประเพณีต่างๆ ล้วนกำหนดขึ้นเพื่อสตรีสูงศักดิ์เท่านั้น บรรดาสตรีต่ำชั้นมิได้มีการตีกรอบผูกมัดมากเท่าใดนักแล้ว
ว่าไปแล้ว สตรีต่ำชั้นเองก็ต้องออกมาทำงานเลี้ยงตนเช่นกัน ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจเรื่องปลีกย่อยเหล่านั้น
สาวใช้อย่างจื่อซู ไป๋เสาหากเกิดชอบพ่อกับบ่าวคนใด ขอเพียงมิทำเรื่องบัดสีบัดเถลิง แต่บอกกล่าวกับเจ้านายตน ปกติแล้วเจ้านายก็ยินดีที่จะช่วยให้พวกเขาสมปรารถนา
“จื่อซูอายุเท่าใดแล้ว?”
“พี่จื่อซูเกิดเดือนหยวน ผ่านวันตรุษนี้ไปก็ครบยี่สิบปีแล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้ที่ถูกอบรมจนฉลาดคล่องแคล่วเช่นพวกนาง มักอยู่รับใช้จนอายุสิบแปดสิบเก้าก็มิใช่เรื่องแปลก
ความจริงไป๋เสามิใช่คนปากมาก แต่เมื่อคิดถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วก็อดขนลุกขนชันขึ้นมามิได้
ข้างกายต้าไหน่ไหน่ควรมีคนที่สามารถรับรู้ข่าวสารของซื่อจื่อไว้บ้าง มิต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น หากต่อไปซื่อจื่อไปมีสตรีอื่นข้างนอก ต้าไหน่ไหน่ก็มิได้นั่งคอยอยู่ที่ดีโดยไม่ทราบเรื่องราวใด
ไป๋เสาตั้งปณิธานว่าจะมิออกเรือน เรื่องที่อยากให้จื่อซูกับคนสนิทของหลัวเทียนเฉิงได้ลงเอยกันนั้นมาจากใจจริงของนาง
“อายไม่น้อยแล้วจริงๆ” ครั้นคิดถึงว่าตนอายุสิบห้าก็แต่งงานแล้ว แต่อีกไม่นานจื่อซูก็จะอายุครบยี่สิบแล้ว นางจึงเริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
แม้นมิคิดให้สาวใช้ออกเรือนตอนอายุสิบสี่สิบห้า แต่ก็มิอาจเก็บนางไว้จนอายุยี่สิบกว่าได้ นั้นคงทำให้ผู้อื่นเสียเวลาเกินไป
“แล้วจื่อซูคิดเห็นเช่นไรเล่า?”
ไป๋เสาส่ายหน้า “บ่าวก็มิเคยถามพี่จื่อซู เพียงแต่วันนี้ได้ยินว่าเช่นนั้นจึงคิดว่าหลัวเป้าน่าจะมีใจให้พี่จื่อซู จึงได้เรียนให้ต้าไหน่ไหน่ทราบไว้เสียก่อนเจ้าค่ะ”
“เช่นนี้เองหรือ…” เจินเมี่ยวคิดครู่หนึ่ง “ข้าไปถามความเห็นของจื่อซูก่อนค่อยว่าอีกที”
รอกระทั่งไปน้อมทักทายที่เรือนอี๋อานเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวค่อยกินข้าวเช้า เมื่อเห็นจื่อซูเดินถือดอกเหมยเข้ามาเสียบไว้ในแจกันแทนดอกเก่า นางจัดแจงจนสวยงามแล้ววางไว้เช่นเดิม ฉับพลันภายในกลิ่นหอมของดอกเหมยก็กำจายไปทั่วห้อง
เจินเมี่ยวเห็นแล้วอบอุ่นในใจขึ้นมาเล็กน้อย
ตั้งแต่วันนั้นที่นางเอาดอกเหมยที่หลัวเทียนเฉิงนำมาให้ปักใส่แจกัน จื่อซูผู้ใส่ใจในทุกรายละเอียดก็คล้ายรู้สึกว่าเมื่อมองดอกเหมยแล้วนางจะอารมณ์ดีขึ้น จึงรีบนำดอกเหมยสดใหม่มาเปลี่ยนให้นางทุกวัน
ความใส่ใจนี้ เจินเมี่ยวมีหรือจะไม่เข้าใจ
เมื่อคนทั้งหลายออกไปแล้ว เจินเมี่ยวถึงถอนหายใจยาวออกมา “จื่อซู เจ้าดูแลเก่งเพียงนี้ ข้าไหนเลยจะตัดใจให้ท่านออกเรือนได้”
จื่อซูชะงักไปครู่หนึ่ง “ต้าไหน่ไหน่ ท่านเย้าข้าเล่นอีกแล้ว”
เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “มิใช่ล้อเล่น จื่อซู ปีนี้ท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว หากมิหมั้นหมายแต่งงานเสียที รอจนถึงวันตรุษก็ยี่สิบปีแล้ว หากรอต่อไปก็ได้แต่รอเป็นอนุผู้อื่นว่าหรือไม่?”
จื่อซูยิ่งมิเอ่ยสิ่งใดอีก
นางอายุไม่น้อยแล้วจริงๆ แต่ก็มิได้รีบร้อนแต่งงาน แต่ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องแต่งงาน ต้าไหน่ไหน่อยากให้นางแต่ง นางก็ไม่รู้จะต่อต้านไปไย
อีกอย่าง ยามนี้อาหลวนก็นับวันยิ่งรอบคอบ ต่อไปหากรับหน้าที่แทนนางคงไม่มีปัญหา เจี้ยงจูก็ถูกอบรมอย่างดี ยามนี้ต้าไหน่ไหน่ขาดแต่เพียงสาวใช้ที่สามารถให้ข่าวสารเรื่องนอกจวนเท่านั้น
เจินเมี่ยวยิ้ม หางตาหยักโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว “หลัวเป้าผู้นั้น เป็นอย่างไรหรือ?”
จื่อซูที่เป็นคนนิ่งขรึมมาตลอดพลันเกิดอาการประหม่าขึ้นมา นางเอ่ยเสียงต่ำว่า “พบกันเพียงครั้ง บ่าวก็มิทราบว่าเขาเป็นเช่นนี้กันแน่?”
เจินเมี่ยวก็เข้าใจในทันที
จื่อซูมิได้ต่อต้านเรื่องแต่งงาน แค่มิได้ถึงขั้นชมชอบหลัวเป้าผู้นั้น แต่ก็น่าจะมิได้เดียดฉันท์อันใด
เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร นางหันกลับไปกำชับเชวี่ยเอ๋อร์สองสามคำ
วันต่อไปเชวี่ยเอ๋อร์ก็ไปที่ประตูหลังนั้นอย่างเบิกบานซึ่งหลัวเป้าได้ยืนรออยู่ที่นั่นแล้วตามคาด
ครานี้เขาเอามาสองห่อ ห่อหนึ่งใหญ่ หอหนึ่งเล็ก
เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์จึงส่งให้พลางกล่าวว่า “ขาหมูพะโล้ของร้านสกุลจาง”
“เหตุใดจึงมีสองห่อเล่า?”
หลัวเป้าพลันหูแดงขึ้นมาอีก “ห่อหนึ่งให้ต้าไหน่ไหน่ อีกห่อให้พวกพี่สาว”
“เป็นไปมิได้กระมัง ซื่อจื่อซื้อให้พวกเราด้วยหรือ?” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยความประหลาดใจจ
หลัวเป้าเอ่ยงึมงำว่า “ห่อที่ให้พวกพี่สาว ข้าซื้อเอง…”
มิใช่เขาอยากได้หน้า เพียงแต่หากมีข่าวลือว่าซื่อจื่อซื้อขาหมูพะโล้ให้บรรดาสาวใช้แพร่ออกไป ซื่อจื่อคงต้องถลกหนังเขาแน่
“ที่แท้พี่หลัวเป้าเป็นคนซื้อเองหรือ เอาล่ะ ท่านตามข้ามา” เชวี่ยเอ๋อร์หมุนกายเดินไปด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
“เอ๊ะ?” หน้าหลัวเป้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับมาเอ่ยว่า “ต้าไหน่ไหน่อยากขอบคุณท่านด้วยตัวเองอย่างไรเล่า”
หลัวเป้าพลันงุนงงไป “ต้าไหน่ไหน่อยากพบข้า?”
“ใช่ เร็วเข้า ต้าไหน่ไหน่รออยู่ที่ศาลาพัก” เชวี่ยเอ๋อร์หมุนกายเดินไปต่อ
หลัวเป้ารีบเดินตามไปทันที แต่ในใจกระจ่างแจ้งแล้ว
เขาเป็นองครักษ์ที่หลัวเทียนเฉิงเลือกใช้งาน ย่อมมิใช่คนโง่ เพียงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที
ต้าไหน่ไหน่อยากจะดูตัวเขาแทนสาวใช้นั้นเอง!
มิเช่นนั้น ต้าไหน่ไหน่มีฐานะใดเล่า จำเป็นต้องมาขอบคุณองครักษ์เช่นเขาด้วยตัวเองหรือ?
เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว หัวใจของหลัวเป้าก็เต้นระส่ำขึ้นมา เหงื่อไหลซึมตามมือเท้า กระทั่งเห็นคนที่นั่งอยู่ในศาลาพักอยู่ไกลลิบนั้นแล้วขาก็ยิ่งก้าวไม่ออก
เจินเมี่ยวรออยู่ที่ศาลาพัก แม้นรอบตัวจะมีเตาอุ่น ทั้งที่รองนั่งแสนหนา แต่ยังรู้สึกหนาวอย่างประหลาด แต่เพื่อจะได้เห็นคนผู้นั้นกับตา จึงทำได้เพียงเลือกรออยู่ที่นี่เท่านั้น
อาหลวนที่สวมชุดสีฟ้าทั้งร่างยืนอยู่ข้างกายเจินเมี่ยวทั้งยังใส่ต่างหูไข่มุกปะการังแดงคู่หนึ่ง ขับเน้นใบหน้าให้ยิ่งงดงาม ความงดงามนั้นเกือบเทียบเท่าได้กับเจ้านายนางแล้ว
กระทั่งเชวี่ยเอ๋อร์พาหลัวเป้าเข้าไปในศาลาพัก เจินเมี่ยวก็เผยยิ้มออกมาก่อน
เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปมองด้วยความสงสัยแล้วผลิยิ้มตาม
หลัวเป้าคงตื่นเต้นเกินไปจนถึงกับแกว่งเท้าและขาออกไปพร้อมกัน มือถือขาหมูพะโล้สองห่อนั้นพลางคุกเข่าลงข้างหนึ่งภายใต้เสียงหัวเราะของผู้คน “หลัวเป้าคารวะต้าไหน่ไหน่”
เจินเมี่ยวจ้องมองเขาอยู่นานแต่ก็เห็นเพียงผมบนศีรษะเขา จึงอดเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมามิได้ว่า “ลุกขึ้นพูดคุยกันเถิด”
หลัวเป้ายืนขึ้น แต่ก็ยังมิกล้าเงยหน้าขึ้น
“หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
หลัวเป้ายิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีก “ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้น้อยควรทำขอรับ” พูดพลางยื่นขาหมูพะโล้สองห่อนั้นให้ “ยังคงร้อนอยู่ ซื่อจื่อบอกว่าให้ท่านรีบกินขอรับ”
“วันนี้มีสองห่อเชียวหรือ” เจินเมี่ยวส่งสัญญาณให้เชวี่ยเอ๋อร์ไปรับมา
เชวี่ยเอ๋อร์รีบสอดขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ ห่อหนึ่งซื่อจื่อให้ท่าน อีกห่อพี่หลัวเป้าซื้อมาให้พวกพี่สาวเจ้าค่ะ”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป ใบหน้าของหลัวเป้าก็แดงก่ำขึ้นมาทันที เขาได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่นอย่างไม่ทราบจะทำฉันใด
มุมปากของเจินเมี่ยวหยักโค้งขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เชวี่ยเอ๋อร์ก็รีบเอาอาหารไปส่งที่เรือนชิงเฟิง แบ่งส่วนของพวกเจ้าไปกินกันก่อนเถิด”
เชวี่ยเอ๋อร์รับคำอย่างเบิกบานใจ เมื่อรับขาพะโล้สองห่อนั้นมาก็ไปในทันที แต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็หันมาถามว่า “พี่หลัวเป้า ท่านซื้อห่อใดมาหรือ?”
“ใหญ่…ห่อใหญ่” หลัวเป้ากลัดกลุ้มจนอยากจะวิ่งชนกำแพงแล้ว
หากรู้ว่าต้องมาพบต้าไหน่ไหน่ เขาจะซื้อขาหมูพะโล้นี่หรือ ช่างน่าขายหน้าเสียจริง!
รอเชวี่ยเอ๋อร์ไปไกลแล้ว เจินเมี่ยวจึงกวาดตามองอาหลวนคราหนึ่ง “อาหลวน รินน้ำชาให้องครักษ์หลัวแก้หนาวเร็ว”
อาหลวนถือถ้วยชาเข้าไปหา นิ้วมือขาวผ่องเรียวยาวยื่นออกไป “องครักษ์หลัว เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่มน่าฟัง ต่างหูปะการังนั้นแกว่งไกวกระทบกับใบหน้างามดุจหยกนั้นไปมาตามอากัปกิริยาที่เคลื่อนไหว หลัวเป้าเพียงมองคราหนึ่งก็มิกล้ามองอีก เขาหลุบตาลงกล่าวขอบคุณแต่กลับมิยื่นมือรับ
อาหลวนเห็นเช่นนั้นจึงวางชาไว้ที่โต๊ะหินด้านข้าง แล้วถอยออกมา
เจินเมี่ยวกลับพอใจยิ่ง
ด้วยรูปโฉมของอาหลวน ทั้งวันนี้ยังตั้งใจแต่งองค์มาเป็นพิเศษ คนที่เห็นนางคราแรกแต่ยังสงวนท่าทีได้เช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย
“ซื่อจื่ออยู่ที่ศาลาว่าการ กินอิ่มนอนหลับดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยถึงหลัวเทียนเฉิง ท่าทีประหม่าทั้งหลายก็พลันหายไป เขาเอ่ยตอบนางอย่างละเอียดและชัดถ้อยชัดคำ
เจินเมี่ยวเห็นท่าทางการพูดจา กริยาต่างๆ ของเขาแล้วไม่เลวเลย นางจึงลอบพยักหน้า แต่มิได้ถามอันใดเกี่ยวกับตัวเขาเลยแม้แต่น้อย
เรื่องนี้ค่อยไปถามหลัวเทียนเฉิงในคราวหลังก็ได้ มิจำเป็นต้องทำให้ดูโจ่งแจ้งปานนั้น หากเรื่องการผูกวาสนานี้ไม่สำเร็จ ภายหน้าก็มิได้ดูหน้าย่ำแย่อันใด
เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว เจินเมี่ยวก็ยกชาขึ้นดื่ม “อาหลวนไปส่งองครักษ์หลัวหน่อยเถิด”
หลัวเป้าน้อมคารวะคราหนึ่ง แล้วเดินตามอาหลวนออกไปจากศาลาพัก
เจินเมี่ยวมองอยู่ใกล้ๆ ก็เห็นว่าหลัวเป้ารักษาระยะห่างกับอาหลวนไว้เป็นอย่างดี
นางรออยู่เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาได้ อาหลวนก็กลับมาพอดี
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
อาหลวนเอ่ยว่า “ตั้งแต่เดินออกไปจนถึงที่หมาย เขามิได้เอ่ยพูดคุยกับบ่าวก่อนเลยสักคำเจ้าค่ะ เพียงเอ่ยลาตามมารยาท สายตาก็มิได้เมียงมองส่งเดช”
“เท่านี้ก็น้อยนักจะพบเห็นแล้ว” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี
อาหลวนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ต้าไหน่ไหน่ ท่านกล่าวอันใดกันเจ้าคะ!”
เจินเมี่ยวยิ้มแต่ไม่เอ่ยอันใด
นางจำได้ว่าคุณชายเซียวแห่งจวนหย่วนเวยโหวพบอาหลวน หลัวเป้าเห็นอาหลวนยังสงวนท่าทีอยู่ได้ หากเขามิเป็นคนเคร่งครัดในธรรมเนียม ก็ต้องเป็นคนที่ฉลาดมาก
ไม่ว่าจะเป็นข้อใดล้วนเหมาะสมจะเป็นคู่ของจื่อซูทั้งสิ้น
“ต้าไหน่ไหน่จะบอกกับซื่อจื่อหรือไม่เจ้าคะ?” อาหลวนอดเอ่ยถามไม่ได้
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “หากเขาชอบจื่อซูจริงก็ย่อมต้องเอ่ยกับซื่อจื่อเอง ถึงตอนนั้นก็ให้ซื่อจื่อมาเอ่ยกับข้าจึงจะถูก”
สาวใช้ของนางล้วนเป็นหญิงงาม แต่งออกไปแม้เพียงสักคนนางก็เจ็บปวดใจอยู่ไม่น้อย แล้วนางจักต้องรีบร้อนอันใดไปเล่า
อีกอย่างนางก็อยากจะดูว่าระหว่างจื่อซูกับอาหลวน หลัวเป้าได้ล้วนได้พบทั้งคู่แล้ว เขายังจะยืนยันจะเลือกจื่อซูอยู่หรือไม่ หรือว่าจะเปลี่ยนใจกันแน่?
เจินเมี่ยวมิได้พบกับหลัวเทียนเฉิงกระทั่งถึงเช้าวันที่ต้องไปจวนหย่งอ๋อง หลัวเทียนเฉิงถึงได้รีบร้อนกลับมา
เวลาเพียงสั้นๆ เขากลับผ่ายผอมลงไปมาก เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจยิ่งจึงอดถามไม่ได้ “ยุ่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มอ่อนล้า “ผ่านไปอีกสักพักก็ดีขึ้นแล้ว”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นนอกจากจะมีฉากหน้าเป็นศาลาว่าการแล้วยังมีองครักษ์ลับอีกด้วย และองครักษ์ลับนั้นก็อยู่ในมือเขานั้นเอง
ระยะนี้ต้องคอยจัดการในหลายๆ ด้าน บางเรื่องมิสะดวกให้ผู้คนรับรู้ก็ได้แต่ส่งองครักษ์ลับไปปฏิบัติหน้าที่ ทั้งเขายังต้องการจัดการองครักษ์ลับของจวนกั๋วกงด้วยอีก ระดับความยุ่งยากจึงเพิ่มขึ้นอย่างยากจะนึกถึงได้
คนทั้งสองขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปจวนหย่งอ๋อง บางทีอาจเพราะเหนื่อยเกินไป หลัวเทียนเฉิงจึงเผลอหลับไปอย่างรวดเร็ว
เจินเมี่ยวแหวกม่านออกช้าๆ มองดูบรรยากาศบนถนน พลันเห็นเด็กน้อยผู้หนึ่งกระโจนเข้ามาตรงหน้ารถม้าอย่างรวดเร็ว