อากาศสดใส หิมะที่สะท้อนเข้ากับแสงแดดนั้นยิ่งพราวระยับมากขึ้นไปอีก
เรือนรูปทรงธรรมดาหลังหนึ่งในตรอกซิ่งฮวาอันเงียบสงบกลับมีเสียงร้องไห้กระซิกของสตรีผู้หนึ่งลอยมา
นายท่านรองสกุลหลัวนั้นมีผ้าห่มปิดร่างกายไว้ครึ่งหนึ่ง เขามองดูสตรีงดงามที่หันหลังร้องไห้ผู้นั้นแล้ว ในใจก็รู้สึกภาคภูมิและเบิกบานยิ่ง ความพอใจที่ยากจะเอ่ยออกมาได้นั้นทำให้เขามีท่าสุขใจคล้ายมีแสงเปล่งออกมาจากร่างแล้ว เป็นครั้งแรกที่รู้ซึ้งว่าเรื่องเช่นนี้ทำให้คนอยากทำแล้วอยากทำอีกไม่สิ้นสุด
เมื่อครุ่นคิดอีกครากลับรู้สึกว่าวันเวลาที่ผ่านมาล้วนไร้ค่า
แผ่นดิน สาวงาม…มิน่าเล่าจึงมีคนเลือกสาวงามมิเลือกแผ่นดิน
นายท่านรองสกุลหลัวจ้องแผ่นหลังอันนวลเนียนของสตรีผู้นั้น ผมดำขลับยาวถึงเอวของนางนั้นหยักสลวยดุจต้นสาหร่ายคอยเกี่ยวกระหวัดวิญญาณของเขาไว้ ทำให้อดทอดถอนใจออกมามิได้
“เยียนเหนียง…” นายท่านรองสกุลหลัวยื่นมือออกมาวางไว้บนไหล่นาง
เยียนเหนียงพลันหมุนหายกลับมาจ้องนายท่านรองสกุลหลัวด้วยความโกรธ แล้วยกมือขึ้นตบหน้าเขาหนึ่งที
เสียง ‘เพี๊ยะ’ ดังขึ้น เพราะห้องมิได้ใหญ่อันใดจึงคล้ายมีเสียงสะท้อนก้องกลับมา
นายท่านรองสกุลหลัวถูกตบจนมึนงงไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงโมโหขึ้นมา แต่เมื่อกำลังจะบันดาลโทสะ การกระทำของเยียนเหนียงกลับทำให้เขาตกใจยิ่ง
“ข้าเคารพท่านในฐานะคุณชายผู้มีน้ำใจ แต่ผู้ใดจะคิดว่าจะเป็นคนชั่วที่ฉวยโอกาสกับผู้อื่นเช่นนี้!” เยียนเหนียงดึงปิ่นปักออกมาจากมวยผมแล้วหันด้านอันแหลมคมนั้นไปที่ลำคอขาวผ่องของตน
นายท่านรองสกุลหลัวพลันลนลานขึ้นมา “ชีเหนียง เจ้าได้ทำเรื่องเหลวไหล”
เยียนเหนียงเงยหน้าขึ้น บนลำคอขาวผ่องยังมีรอยแดงที่เกิดขึ้นเมื่อคืนอยู่ นางเพียงกดปิ่นนั้นลงไป ผิวเนื้อขาวผ่องก็ฉีกขาด โลหิตแดงก็ไหลซึมออกมา
“กายของถูกท่านล่วงเกินไปแล้ว ท่านคิดว่าข้ายังจะเสียดายชีวิตนี้อยู่อีกหรือ?”
ท่าทีอันเด็ดเดี่ยว โลหิตที่ไหลรินนั้นกลับก่อเกิดเป็นความงดงามอย่างน่าประหลาด ทำให้นายท่านรองสกุลหลัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมา
สตรีผู้นี้ช่างใจเด็ดยิ่งจนทำให้เขาเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมาอย่างยากจะเอ่ย
แค่เพียงคิดว่าสักวันสตรีเช่นนี้จะยอมเชื่อฟังเขา ให้เขาทำทุกอย่างได้ตามแต่ใจ นายท่านรองสกุลหลัวก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นขึ้นมา
เขากลับพลิกมมือขึ้นมาตบตนเอง
เยียนเหนียงอึ้งงันไป มือนางผ่อนแรงลงครู่หนึ่ง
นายท่านรองสกุลหลัวจึงฉวยโอกาสนี้จับมือนางไว้ แย่งเอาปิ่นนั้นโยนทิ้งไปที่พื้นแล้วโผกอดนางไว้แน่น
“เยียนเหนียง เยียนเหนียง ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธ หากเจ้าเสียใจก็มาลงกับข้า แต่อย่าทำร้ายตัวเองเลย ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า ก็ชอบเจ้าแล้ว เมื่อวานข้าจึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบเช่นนั้น…”
ร่างกายอันแข็งเกร็งของเยียนเหนียงพลันอ่อนยวบลง นางกัดฟันเอ่ยว่า “ท่านไม่ควร ไม่ควรที่จะรังแกข้าในขณะที่สามีข้าเพิ่งจะจากไปเช่นนี้…”
เมื่อวานนายท่านรองสกุลหลัวมิได้กลับไปร่วมแม้งานเลี้ยงฉลองของจวน เพราะคนที่ส่งไปสืบข่าวได้ความมาว่าวาณิชที่เลี้ยงดูเยียนเหนียงนั้นดื่มสุราแล้วทะเลาะวิวาทจนถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย
นายท่านรองสกุลหลัวอยากจะหัวเราะออกมาเสียงดังๆ ต่อให้วาณิชผู้นั้นมิตาย เขาก็คิดจะลงมืออยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะประหยัดแรงถึงเพียงนี้
ตอนนั้นจึงตัดสินใจมาที่ตรอกซิ่งฮวาอย่างมิอาจทนรอไหว
เมื่อทราบข่าวการจากไปของวาณิชผู้นั้น เยียนเหนียงก็เสียใจอย่างยิ่ง นายท่านรองสกุลชีรีบเข้ามาปลอบใจ และฉวยโอกาสตอนที่นางยังอ่อนแอบังคับขืนใจนางจนสำเร็จ ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องเอ่ยว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่
“เยียนเหนียง เจ้าวางใจ ต่อไปข้าจะดีต่อเจ้าให้มาก”
เยียนเหนียงแค่นยิ้มเย็น “ข้าติดตามสามีข้า เพราะเขามีบุญคุณต่อข้า หรือท่านคิดว่าข้าเป็นสตรีแพศยาที่นอนกับชาได้ก็ได้?”
“เยียนเหนียง ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ยามนี้เจ้าเหลือตัวคนเดียวแล้ว สตรีตัวคนเดียวจะอยู่อย่างไร เจ้าคิดให้ดีก็จะเข้าใจ ข้าชอบเจ้าจริงๆ เจ้าติดตามข้าเถิด หากเจ้าอยากได้สิ่งใด ข้าก็ให้ได้ทุกอย่าง”
หากเยียนเหนียงอย่างไรก็ไม่ยอม เขาก็ย่อมต้องเล่นไม้แข็ง แต่นั่นคงมิใคร่จะดีสักเท่าใด
“ให้ข้าได้ทุกอย่าง?”
นายท่านรองสกุลหลัวรีบพยักหน้ารับ
เยียนเหนียงเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้น หากท่านรับปากข้าสามเรื่อง ข้าจะยอมติดตามท่าน”
“เจ้าว่ามา”
“ข้อหนึ่ง ข้าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว มิคิดจะไปอยู่กับภรรยาเอกให้นางดูแคลน”
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา” นายท่านรองสกุลหลัวเผยสีหน้ายินดีออกมา
เดิมเขาก็มิคิดจะพาเยียนเหนียงเข้าจวนอยู่แล้ว มิเพียงแค่เรื่องของฮูหยินผู้เฒ่าและนางเถียน มากกว่าไปกว่านั้นคือซีเหนียงก็ต้องรู้ว่าซูเหนียงมิได้อยู่ในจวนอย่างมีความสุขแต่ถูกขายทิ้งไปแล้ว เกรงว่าตอนนั้นเขาจะกล่อมนางอยู่นานทีเดียว
ลอบเลี้ยงไว้เป็นอนุนอกเรือนนั้นลดความวุ่นวายต่างๆ ได้ดีแท้ คำขอร้องนี้เขาไหนเลยจะมิรับปาก
“ข้อสอง ท่านต้องทวงความยุติธรรมให้สามีข้า!” เยียนเหนียงหน้าขรึมขึ้นมาทันที “ท่านคิดให้ดีค่อยตอบ”
นายท่านรองสกุลหลัวอึ้งงันไป แล้วจึงพยักหน้า “ข้าจะพยายาม”
เป๋ยก่วงไม่เหมือนเมืองหลวงที่ไปหนใดก็มีแต่ขุนนางขั้นห้าขั้นหก ขอเพียงมิใช่บุตรขุนนาง เขาช่วยเหลือเท่านี้มินับเป็นอันใดได้ แต่หากยุ่งยากล่ะก็ หึๆ…เยียนเหนียงก็มิได้ไปดูด้วยตนเองเสียหน่อย อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะเอ่ยเช่นไรแล้ว
“แล้วข้อสามเล่า?”
“ข้อสาม ข้ายังคิดไม่ออก รอคิดออกก่อนค่อยว่า” ท่าทีของเยียนเหนียงดูผ่อนปรนลง
นายท่านรองสกุลหลัวอดคว้ามือนางมาจับมิได้
เยียนเหนียงชักมือกลับ แล้วเอาเสื้อผ้าโยนใส่เขา “ท่านรีบกลับไปเถิด”
นายท่านรองสกุลหลัวยังอยากจะกอดสักนิดหอมสักหน่อย แต่กลับถูกเยียนเหนียงปฏิเสธเสียงแข็ง
“หากท่านชอบข้าด้วยใจจริง ก็ให้ข้าได้ไว้ทุกข์สักเจ็ดวันเถิด แม้นข้าจะมิได้มีฐานะอันใดไปไว้ทุกข์ให้เขา แต่มันก็มาจากใจบริสุทธิ์ที่แท้จริง”
นายท่านรองสกุลหลัวจึงเดินออกไปด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์
อาจเพราะคนเรามีความดิบซ่อนอยู่ในตัว เยียนเหนียงยิ่งไม่เหมือนกับบรรดาอนุน้องเรือนที่อ่อนช้อยว่าง่ายดุจบุปผา นายท่านรองสกุลหลัวก็ยิ่งอดมาหานางที่ตรอกซิ่งฮวามิได้ ต่อให้ไปแล้วทำได้เพียงดื่มชาก็ยังรู้สึกดีกว่ากลับไปเห็นหน้าเ**่ยวๆ ของนางเถียน
ในใจของนายท่านรองสกุลหลัวมีกระทั่งความยำเกรงต่อนางอยู่หลายส่วน เป็นความยำเกรงที่นอกจากภรรยาเอกแล้วก็มิเคยมีสตรีใดเคยได้รับ เรื่องนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็มิทันได้ขบคิดให้ละเอียด
ส่วนเจินเมี่ยวนั้นแม้นจะมิได้พบหน้ากับหลัวเทียนเฉิงเลย แต่กลับได้รับของที่เขาส่งคนนำมาให้ทุกวัน
บางคราก็เป็นหุ่นดินปั้นอันประณีต บางคราเป็นขนมจากร้านอู่เว่ยไจ มีครั้งหนึ่งที่เขาส่งกระทะมาให้นางด้วย
ก้นกระทะเรียบแบน ขนาดเท่าฝ่ามือบุรุษ เจินเมี่ยวชอบอย่างยิ่ง นางจึงหยิบมาใช้ทอดไข่ไปหายฟอง ทั้งยังทอดเนื้อกวางอีกชิ้นหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว จื่อซูจึงสั่งให้เชวี่ยเอ๋อร์ไปที่ประตูหลังทั้งกำชับว่า “ได้ของแล้วก็รีบกลับมา อย่าเอาแต่ห่วงเล่น”
เรือนชิงเฟิงเป็นเรือนพักของคุณชายผู้สืบทอดแห่งจวนกั๋วกงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จึงมิออกแบบมาไม่เหมือนเรือนอื่นๆ ที่ด้านหลังเรือนเต้าจั้วนั้นมีกำแพงแคบๆ อยู่ ที่นั่นมีประตูเล็กๆ ที่สามารถทะลุไปด้านนอกได้ ปกติจะมีคนคอยเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอด นับเป็นรูปแบบเรือนที่มีความเฉพาะตนอย่างหนึ่ง
เหตุใดจื่อซูจึงได้เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้ ว่าไปแล้วก็ช่างบังเอิญนัก
วันนั้นจื่อซูเพิ่งจะกลับมาจากซื้อข้าวของก็บังเอิญเห็นชิงเกอกำลังเท้าเอวจ้องถลึงบุรุษหนุ่มที่แต่งกายอย่างองครักษ์ผู้หนึ่งด้วยความโกรธ
นางสอบถามอย่างละเอียดจึงทราบว่าบุรุษผู้นั้นเป็นองครักษ์ส่วนตัวของซื่อจื่อ นามว่าหลัวเป้า เขาได้รับคำสั่งจากซื่อจื่อให้นำของมามอบแก่ต้าไหน่ไหน่
นางจึงสอบถามชิงเกอเพิ่มเติม เมื่อทราบเช่นนั้นก็แทบจะรักษาท่าทีตนเอาไว้ไม่ได้
สาวใช้ผู้นี้ถึงกับแค้นเคืองที่ซื่อจื่อรังแกต้าไหน่ไหน่ นางจึงมิรับของที่หลัวเป้านำมาให้ เดิมของเหล่านี้ควรเป็นหน้าที่ของปั้นซย่าที่ต้องนำมาให้แต่เพราะชิงเกอต่อยเขาเสียจนย่ำแย่ เขาจึงมิกล้ามาอีก
จื่อซูจึงมิกล้าส่งชิงเกอไปรับของ ได้แต่สั่งให้เชวี่ยเอ๋อร์ที่ตามนางไปซื้อของในวันนั้นไปรับแทน
เชวี่ยเอ๋อร์กระโดดโลดเต้นออกไปก็พบบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าประตู ในมือถือกล่องไม้สลักใส่ขนมอยู่ใบหนึ่ง
เชวี่ยเอ๋อร์รีบวิ่งเข้าไปหา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “พี่หลัวเป้า วันนี้มาเช้าจริง?”
เมื่อหลัวเป้าเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ก็อดมองไปข้างหลังนางคราหนึ่งมิได้ ครั้นเห็นว่าไม่มีผู้ใดตามา ความผิดหวังก็วูบผ่านนัยน์ตาเขาไป แล้วยื่นกล่องขนมนั้นให้พลางยิ้ม “ซื่อจื่อบอกว่าขนมที่ออกจากเตาใหม่ๆ นั้นอร่อยยิ่ง ให้รีบเอามาให้ต้าไหน่ไหน่”
เชวี่ยเอ๋อร์รับกล่องไม้นั้น แต่มิได้เอ่ยอันใดให้มากความ
นางยังจำเรื่องที่ซื่อจื่อมิกลับมาเยี่ยมต้าไหน่ไหน่ได้แม่น นางจะมิยอมให้ซื่อจื่อคิดว่าการที่เขาส่งสิ่งของมาให้นั้น ต้าไหน่ไหน่จะดีใจ
เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ถือเอากล่องไม้แล้วเดินจากไป หลัวเป้าก็อดร้องเรียกขึ้นมามิได้
เชวี่ยเอ๋อร์หันกลับไปถามด้วยความสงสัย “พี่หลัวเป้ามีเรื่องใดหรือ?”
บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ ถูกถามเช่นนี้กลับหูแดงขึ้นมา โชคดีที่เชวี่ยเอ๋อร์อายุยังน้อยจึงมิได้พบความผิดปกติใด เพียงจ้องมองเขาด้วยความสงสัย
หลัวเป้ารวบรวมความกล้าเอ่ยถามว่า “เหตุใดจึงมิเห็นพี่สาวที่มาวันนั้นเล่า?”
เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไปแล้วก็พลันหน้าแดงขึ้นมาในทันใด มือเท้าก็มิรู้จะวางไว้ที่ใด เห็นชัดว่าขานั้นเตรียมจะวิ่งออกไปแล้ว แต่เท้ากลับคล้ายมีรากงอก ขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ
“พี่สาว…วันนั้น?” เชวี่ยเอ๋อร์กะพริบตาปริบ แล้วจึงเอ่ยว่า “อ้อ ท่านหมายถึงพี่จื่อซูหรือ?”
จื่อซู? ชื่อของนางช่างไพเราะจริงๆ…หลัวเป้าหัวเราะแหะๆ อย่างโง่งม
เชวี่ยเอ๋อร์กลอกตาไปมา “พี่จื่อซูเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของต้าไหน่ไหน่ จะให้นางมาที่นี่ด้วยเหตุใด? วันนั้นแค่บังเอิญพบเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี”
เมื่อเห็นหลัวเป้ายังคงยิ้มอย่างโง่งม แม่นางน้อยจึงหมดความอดทน นางขยับเท้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่พูดกับท่านแล้ว ข้าจะเอาขนมไปให้ต้าไหน่ไหน่”
ตอนที่เชวี่ยเอ๋อร์ไปถึง จื่อซูกำลังยกน้ำผึ้งมาให้เจินเมี่ยวดื่ม ไป๋เสาก็กำลังเลือกเครื่องประดับ
เมื่อเห็นเชวี่ยเอ๋อร์ยกกล่องใส่ขนมเข้ามา เจินเมี่ยวก็วางถ้วยลงแล้วโบกมือเรียก “มา ข้าดูสิว่าวันนี้มีขนมอะไร”
แม้นยามนางคิดถึงคนผู้นั้นก็ยังโกรธจนต้องเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่นางก็ไม่มีทางลงกับของขวัญ โดยเฉพาะของขวัญที่เป็นของกิน
อืม…ความโกรธกับการรับของขวัญนั้นเป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
เจินเมี่ยวมิอาจปฏิเสธได้ว่าทุกคราที่นางรับของขวัญมาก็จะอดนึกถึงกลิ่นหอมของดอกเหมยที่วางอยู่ข้างหมอนในเช้าวันนั้นมิได้ ใจของนางก็รู้สึกดีขึ้นมาอีกสักหน่อย
“เอ๊ะ นี่มันขนมดอกกุ้ยแป้งรากบัวของโรงเตี๊ยมเล็กเย่ว์ไหลมิใช่หรือ ยามนี้ต้องต่อแถวอยู่นานเลยเชียวถึงจะซื้อมาได้” เชวี่ยเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
เจินเมี่ยวหยิบมากินชิ้นหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ก็มิได้ให้เขาไปซื้อเสียหน่อย”
แล้วให้จื่อซู ไป๋เสาและเชวี่ยเอ๋อร์คนละชิ้น
เชวี่ยเอ๋อร์เดินมารับแล้วเอ่ยว่า “ย่อมต้องเป็นพี่หลัวเป้าซื้อมาอย่างแน่นอน”
พูดแล้วก็หลุดขำออกมา “ใช่แล้ว ต้าไหน่ไหน่ วันนี้พี่หลัวเป้ายังถามด้วยว่าเหตุใดจึงมิเห็นพี่จื่อซู คิกๆ ท่านว่าเขาโง่หรือไม่ ไหนเลยต้องให้สาวคนสนิทของท่านวิ่งไปรับของ…”
“เชวี่ยเอ๋อร์!” จื่อซูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พลันรู้สึกขนมในมือร้อนจนลวกมือขึ้นมาทันใด ใบหน้าที่น้อยนักจะแสดงความรู้สึกออกมากลับเห่อร้อนขึ้นมาโดยพลัน
MANGA DISCUSSION