วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 249 ท้องฟ้าแจ่มใส
หลัวเทียนเฉิงเริ่มเล่าตั้งแต่ห่อลูกกวาดในวัยเยาว์กระทั่งพบว่าภรรยาตนมีชายอื่น ทว่าเรื่องการแก่งแย่งในราชสำนัก กลิ่นคาวเลือดในสงคราม รวมถึงจุดจบอันอเนจอนาถนั้นเขากลับมิได้เอ่ยถึง
เรื่องพวกนี้ค่อนข้างหนักหนา เขาแบกรับมันไว้คนเดียวก็พอ และนอกจากนางแล้ว อย่างอื่นล้วนมิใช่ปัญหา
บุคคลที่ร่างกายอาบด้วยโลหิตฟื้นคืนกลับมา เขาเพียงขลาดกลัวกับความรักและความอบอุ่นนั้น ส่วนบาดแผลอื่นๆ ของเขาที่ไม่ว่าจะเกิดจากคนหรือเรื่องราว เขาก็เพียงเงยหน้าขึ้นหัวเราะเท่านั้น
เทียนนั้นได้มอดดับไปนานแล้ว ภายในห้องมีเพียงความมืด
เจินเมี่ยวดีใจยิ่งที่ความมืดได้ช่วยปกปิดอารมณ์ทั้งหมดของนาง คราแรกเมื่อนางทราบนั้นก็ตกใจจนต้องกระโดดผลุงออกมา
ความฝันอันใด เห็นชัดว่าเขาย้อนเวลากลับมาเป็นตนเองอีกครา!
ฮึ การฟื้นคืนชีพนั้นดีกว่าการทะลุห้วงเวลายิ่ง นางทะลุห้วงเวลามาถึงก็ต้องสงบเสงี่ยมตนมิให้คนรู้ แต่เขาย้อนเวลามาถึงก็คิดจะแก้แค้นเสียแล้ว
ความรู้สึกไม่ยุติธรรมสาดซัดเข้ามาครู่หนึ่ง ทั้งรู้สึกว่าโชคชะตาช่างเล่นตลกนักที่จับคนทั้งสองมาอยู่ด้วยกัน
วาจาที่เขากล่าวมาหากเป็นผู้อื่นคงมิกล้าคาดเดาเรื่องราวเช่นนี้ แต่คนที่เขาเล่าให้ฟังเป็นนางอย่างไรเล่า
ชั่วขณะนั้น เจินเมี่ยวก็รู้สึกเห็นใจหลัวเทียนเฉิงขึ้นมา
ความรู้สึกที่ว่าข้ารู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของท่าน แต่ท่านกลับไม่รู้ว่าข้ารู้ ทั้งยังไม่รู้ว่าข้าเองก็มีความลับนั้นมันช่างสะใจเสียจริง!
“เจี๋ยวเจี่ยว?” ในความเงียบสงบนี้นั้นได้ยินเพียงเสียงหายใจอันแผ่วเบาของทั้งสองฝ่ายที่คล้ายเกี่ยวกระหวัดคลอเคลียกันอยู่ น้ำเสียงอันประหม่านั้นของเขากลับยิ่งชัดเจนยิ่ง
เจินเมี่ยวจึงลุกขึ้นยืน เดินไปยังหน้าฐานวางเทียนแล้วจุดเล่มใหม่ขึ้น ภายในห้องพลันสว่างขึ้นมาทันที
หลัวเทียนเฉิงเห็นใบหน้าของนางชัดยิ่งจึงพบว่ามุมปากของนางนั้นมีรอยยิ้มจางๆ เคลือบอยู่ ในใจกลับรู้สึกขมขื่นขึ้นมา เขายิ้มเยาะหยันตนแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้ารู้สึกว่ามันดูเหลวไหลมากใช่หรือไม่ ที่ข้าทำชั่วช้าต่อเจ้าก็เพราะแค่เพียงความฝันนั้น?”
อย่างไรเขาก็มิอาจเอ่ยสารภาพออกมาตามตรงได้ การพูดมันออกมาในรูปแบบความฝันก็นับว่ามากที่สุดแล้ว
หรือบนโลกใบนี้ก็มีเพียงเจินเมี่ยวที่เข้าใจความรู้สึกของเขา อย่างไรนางเองก็เคยประสบพบกับความเป็นความตายมาก่อน
มิอาจเอ่ยบอกตามตรงได้นั้นไม่เป็นไร แค่รู้สาเหตุก็พอแล้ว
เจินเมี่ยวคิด นางเป็นสตรี หากพบเจอกันเรื่องนี้ก็อาจจะเตรียมกรรไกรไว้ใต้หมอน รอเวลาที่คนข้างกายกลับมา ไม่แน่อาจควักมันขึ้นแล้วตัดเจ้านั้นของเขาทิ้งเสีย
แน่นอนว่าการเข้าใจทุกอย่าง กับการโกรธหรือไม่โกรธนั้นเป็นคนละเรื่อง
เจินเมี่ยวทำสีหน้าเคร่งขรึมกลบเกลื่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบยิ่ง “ก็ไม่นับว่าเหลวไหลเสียทีเดียว หากความฝันนั้นมันล้ำลึกและเหมือนจริงคล้ายได้เราได้ประสบกับเหตุการณ์นั้นจริงๆ สำหรับคนที่ฝันย่อมรู้สึกว่าตราตรึงอยู่กับมันมิเสื่อมคลายเป็นธรรมดา”
“จริงหรือ?” หลัวเทียนเฉิงมิอาจปกปิดความยินดีและแปลกใจในน้ำเสียงตนได้เลย ในส่วนลึกของจิตใจคล้ายมีสายธารอุ่นๆ ไหลผ่านไปกระนั้น
“จริง” เจินเมี่ยวลอบกลอกตาตน มันเป็นเพียงแค่ผายลมเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นคงกระโดดตบเขาไปแล้ว
หลัวเทียนเฉิงพลันกอดเจินเมี่ยวไว้ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ขอบคุณ ขอบคุณเจ้ามาก”
เจินเมี่ยวผลักเขาออกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเงยหน้าขึ้น “ใต้เท้า ท่านคงไม่คิดว่าเรื่องนี้คงจบลงเท่านี้กระมัง?”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป
เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ท่านว่าสถานการณ์เช่นนี้ แม้นข้าจะเข้าใจ แต่แค่ข้าเข้าใจมันไม่พอ ปัญหาคือท่านจะข้ามผ่านหลุมดำนี้ไปอย่างไร คงมิใช่ว่าต่อไปท่านเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็จะมาทำร้ายข้า ทรมานข้าเสร็จก็บอกให้ข้าเข้าใจท่านกระมัง? เช่นนั้นคงมิท่านที่ป่วย แต่เป็นข้าต่างหากที่ป่วย!”
“เจี๋ยวเจี่ยว…” หลัวเทียนเฉิงกุมมือเจินเมี่ยวไว้แต่กลับมิทราบควรเอ่ยสิ่งใด
เจินเมี่ยวตีมือเขา ให้เขาปล่อยมือ แล้วกลอกตาไปมาอย่างที่สตรีเพียบพร้อมมิกระทำ นางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “หลัวเทียนเฉิง ท่านใช้ศีรษะที่ถูกลาเตะนั้นครุ่นคิดสักหน่อยเถิด ท่านตอนนี้กับท่านที่อยู่ในความฝันเหมือนกันหรือไม่?”
“ข้า?” หลัวเทียนเฉิงพลันชะงักไป แล้วเริ่มครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ชาติก่อนเขาเป็นคุณชายที่อ่อนโยนสง่างามมีชื่อเสียงในเมืองหลวง ความจริงแล้วก็เป็นเพียงคนขี้ขลาดไร้ความสามารถคนหนึ่ง แต่ชาตินี้…
เสียงของเจินเมี่ยวดังขึ้นอีกครั้ง “ที่ข้าฟังเมื่อครู่ ตัวท่านกับคนที่อยู่ในฝันนั้นเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าจะเป็นอย่างในฝันของท่านเล่า?”
หลัวเทียนเฉิงดุจถูกสายฟ้าฟาดใส่
ไม่เหมือนกัน หรือที่แท้นั้นนางไม่เหมือนเดิมมาตั้งแต่แรกแล้ว?
เจินเมี่ยวรับเดินไปนั่งตรงโต๊ะอ่านตำราอย่างรวดเร็ว นางคลี่กระดาษออกมาแล้วใช้พู่กันวาดภาพนั้นอย่างไวว่อง
นางสะบัดพูดกันไม่กี่คราก็ปรากฏเป็นภาพทารกคนหนึ่ง ด้านหน้าของเขามีถนนเส้นตรงสายหนึ่ง แต่ต่อมาก็แยกเป็นทางแยกหลายสาย แม้แต่รูปทรงของถนนก็ยังไม่เหมือนกัน สุดทางเดินของถนนทุกสายล้วนมีคนรูปแบบต่างๆ กระทั่งปีศาจที่มักพบบ่อยๆ ในตำราเล่าก็มี
เจินเมี่ยววางพู่กันลงแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่…การเลือกกระทำบางอย่างโดยมิได้ตั้งใจของคนผู้หนึ่งนั้นอาจเปลี่ยนตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิงก็เป็นได้ แล้วท่านจะทราบได้อย่างไรว่าเขาเป็นเด็กน้อยที่เคยเห็นเมื่อคราแรกเริ่มเล่า?”
หลัวเทียนเฉิงจ้องมองภาพวาดนั้นนิ่งคล้ายถูกสาปก็มิปาน
ทั้งที่ดูวุ่นวายปานนั้นแต่ภาพวาดนี้กลับดึงจิตวิญญาณของเขาไปจนหมด
เมื่อเห็นเขาเข้าใจในสิ่งที่นางพูดแล้ว เจินเมี่ยวจึงหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ากับคนที่อยู่ในฝันของท่านพบเจอในสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ท่านอยู่กับข้าทุกวันก็คงทราบแล้วว่าอุปนิสัยไม่เหมือนกัน หากสลัดรูปโฉมที่ห่อหุ้มเราไว้ออก เรานับเป็นคนเดียวกันอยู่หรือไม่? ทางที่นางเลือก จะเป็นสิ่งที่ข้าจะเลือกหรือไม่?”
เจินเมี่ยวกล่าวจบก็คล้ายได้ปลดปล่อยบางอย่าง นางกลั้นหายใจมองไปที่หลัวเทียนเฉิง
นางคิดว่าชั่วชีวิตนี้ นางคงมิอาจเอ่ยอันใดที่ใกล้เคียงความจริงได้มากเท่านี้มาก่อนแล้ว
ดังนั้นนี้คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางจะทำเพื่อเด็กหนุ่มโชคร้ายที่ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งผู้นี้แล้ว
หากไม่ไหวจริงๆ ก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตเถิด อยู่ห่างกันให้ไกล อย่างน้อยก็มิต้องทำร้ายกันและกันอีก
หลัวเทียนเฉิงมองเจินเมี่ยวอย่างอึ้งงัน ในแววตามีความสงสัย สับสน เจ็บปวด สุดท้ายกลับสว่างใสดุจได้ถูกน้ำชะล้างดั่งมาแล้วก็มิปาน นัยน์ตานั้นแวววาวดุจเด็กน้อยแรกเกิดกระนั้น
เจินเมี่ยวกลับอึ้งงันไป
เมื่อไม่มีความเกรี้ยวกราดที่เขามักแสดงออกอยู่บ่อยครั้งเช่นนั้นแล้ว เขากลับคล้ายหยกงามที่ถูกขัดจนเงา เผยด้านที่ทำให้คนใจสั่นไหวที่สุดออกมา
“ท่าน…” เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น
หลัวเทียนเฉิงคล้ายตื่นจากฝัน เขาถึงกับคุกเข่าลงกอดภาพวาดนั้นไว้แล้วร้องไห้ออกมาคล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่งก็มิปาน
ตอนที่เขาเห็นว่านางเจินอยู่กับชู้รักบนเตียงเขาก็มิได้ร้องไห้ ตอนที่เห็นธาตุแท้ของอารองและอาสะใภ้รองที่เขาเคารพดุจบิดามาร เขาก็มิได้ร้องไห้ ตอนที่เข้าไปสู้รบฆ่าฟันศัตรู ร่างกายอาบด้วยโลหิต เขาก็มิได้ร้องไห้ ทั้งยังถูกลี่อ๋องกำจัดเพราะหมดประโยชน์แล้วเขาก็ยังคงมิได้ร้องไห้
แต่ยามนี้ เมื่อทราบว่าเจี๋ยวเจี่ยวกับนางเจินมิใช่คนเดียวกัน เขากลับอดร้องไห้ออกมามิได้
เขารู้ว่าบุรุษผู้หนึ่งร้องไห้นั้นอาจถูกหัวเราะเยาะ ถูกดูแคลน ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่ง
ทว่าความอับอายนั้นนับเป็นอันใดได้ หากก้าวข้ามหลุมดำนี้ไปได้ เขาก็มิต้องสูญเสียนาง
เจินเมี่ยวรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง จึงลอบกวาดสายตาออกไปด้านนอก ในใจก็กล่าวว่าโชคดีเหลือเกินที่วันนี้มิได้ให้สาวใช้มาเฝ้ายาม มิเช่นนั้นหากคุณชายท่านนี้สงบสติอารมณ์ลงได้ แล้วคิดจะฆ่าคนปิดปากจะทำฉันใดดีเล่า!
เทียนไขพลันส่งเสียง ‘เปรี๊ยะๆ ’แผ่วเบา แต่เสียงอันแผ่วเบานี้กลับสามารถดึงสติของหลัวเทียนเฉิงได้
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แม้นดวงตายังแดงก่ำ แต่ท่าทีกลับนุ่มนวลขึ้นมาก เขาส่งยิ้มอ่อนโยนอย่างที่สุดให้เจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวก็เผยยิ้มหวานล้ำให้เขาเช่นกัน “คิดได้แล้วหรือ?”
“คิดได้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือออกมาบีบไหล่เจินเมี่ยว จ้องมองนางด้วยสายตาเป็นประกาย
“คิดได้ก็ดีแล้ว” เจินเมี่ยวหมุนตัวเดินไปที่เตียงแล้วอุ้มผ้าห่มยัดใส่อกเขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “ตอนนี้ท่านก็ออกไปได้แล้ว”
“เจี๋ยวเจี่ยว?” คนบางคนถึงกับอึ้งงันไป
เหตุใด…จึงเป็นเช่นนี้เล่า!
เจินเมี่ยวสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อปัญหาของท่านได้รับการแก้ไขแล้ว เช่นนั้นก็ควรต้องแก้ไขปัญหาของเราเสียที ข้ายังมิได้ให้อภัยท่านอย่างไรเล่า!”
หลัวเทียนเฉิงอัดอั้นอยู่นาน ในที่สุดก็เอ่ยออกมาคำหนึ่งว่า “ข้าจะกลับไปเป็นเช่นเดิมดีหรือไม่?”
ความอ่อนโยนเมือครู่นี้เล่า? ความฉลาดปราดเปรื่องเล่า? ความอดทนใส่ใจเล่า?
นี่ต้องมิใช่คนเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้แน่!
“ดี” เจินเมี่ยวเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยี “รอให้หย่งหวังเฟยรับข้าเป็นบุตรบุญธรรมก่อน ไม่แน่ว่าฝ่าบาททรงพระอารมณ์ดีก็อาจจะแต่งตั้งข้าเป็นเซี่ยนจู่ จวิ้นจู่ ถึงตอนนั้นเราค่อยหย่ากัน ข้าได้ยินมาว่า องค์หญิงในรัชสมัยก่อนนั้นเลี้ยงชายงามนั้นเป็นเรื่องที่นิยมกันมาก…”
สิ่งที่เจินเมี่ยวพูดกลับมิใช่เรื่องเหลวไหล
เรื่องที่หย่งหวังเฟยจะรับนางเป็นบุตรบุญธรรมนั้นจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ทราบเรื่องแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วก็คาดการณ์ไว้นานแล้ว
นางช่วยชีวิตชูสยาจวิ้นจู่ แต่นั่นมิใช่เพียงแค่การช่วยองค์หญิง แต่ยังช่วยมิให้เกิดความบาดหมางกับดินแดนหมานเว่ย อาจกล่าวได้ว่า เหตุผลอย่างหลังนั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาทก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะแต่งตั้งด้วยตำแหน่งใดสักตำแหน่ง
“เจ้ากล้า!” หลัวเทียนเฉิงโกรธจนเจ็บร้าวใจไปหมด เขาดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก
“ท่านจะกลับไปทำอย่างเก่าหรือไม่เล่า?” เจินเมี่ยวซุกหน้าอยู่ในอกเขา เอ่ยเสียงงึมงำ
หลัวเทียนเฉิงลูบผมนางอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่กล้าแล้ว กลัวเจ้าเลี้ยงชายงาม”
“ท่านอ่อนโยนถึงเพียงนี้ หากไม่มีกลิ่นเหม็นของสุราคงดีกว่านี้แน่”
เจินเมี่ยวเอ่ยทอดถอนใจออกมาในเวลาที่มิใคร่เหมาะสมนัก แล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายตัวแข็งทื่ออยู่นั้นผลักเขาออก นิ้วมือก็ชี้ไปที่ประตู “ไปเถิด เดินออกไปเลี้ยวซ้ายก็ถึงห้องตำราแล้ว”
“เจี๋ยวเจี่ยว…”
เจินเมี่ยวเบี่ยงหน้าหลบมิมองเขา
หลัวเทียนเฉิงยังคงมิล้มเลิกความตั้งใจ “พรุ่งนี้เช้าข้าต้องกลับศาลาว่าการแล้ว คงต้องยุ่งยากอีกสักระยะหนึ่ง…”
เจินเมี่ยวหอบผ้าห่มเดินออกไปทันที “ท่านไม่ไป ข้าไปเอง!”
“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงรู้สึกจนใจอยู่บ้าง
เจินเมี่ยวกลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง “เป็นอันใด ท่านคิดว่าข้ากำลังแง่งอนใส่ท่านหรือ?”
“เช่น…เช่นนั้นทำอย่างไรเจ้าจึงจะหายโกรธ?”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่รู้ แต่ข้ารู้อยู่อย่างหนึ่ง”
“อันใด?”
“หากท่านไม่ไปนอนห้องตำรา ข้าจะโกรธมากขึ้นกว่าเดิม”
หลัวเทียนเฉิงรับผ้าห่มมาอย่างยอมรับชะตากรรม แล้วถือเอาภาพวาดนั้น เดินกุมขมับจากไป
เจินเมี่ยวรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันใด นางเป่าเทียนดับแล้วขึ้นไปบนเตียง รู้สึกเจ็บปวดทรมานคล้ายร่างจะแตกสลายก็มิปาน
นางมักถูกผู้อื่นสั่งสอนเสมอ แต่มิเคยสั่งสอนผู้อื่นเลย คิดไม่ถึง…คิดไม่ถึงว่าสำเร็จแล้ว
ได้แต่หวังว่าจากนี้ไปชีวิตของนางจะสงบสุขราบรื่นทุกคืนวัน
เจินเมี่ยวตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูกในยามเช้า
นางกะพริบตา แล้วหันหน้าไปมองก็พบ ดอกเหมยกิ่งหนึ่งว่าอยู่บนหมอน ชั่วขณะนั้นนางคิดว่าตนฝันไป
“ต้าไหน่ไหน่ ท่านตื่นแล้วหรือไม่เจ้าคะ?” เสียงของไป๋เสาดังขึ้น
เจินเมี่ยวมีสติคืนมา นางรีบซ่อนดอกเหมยนั้นไว้ แล้วเอ่ยว่า “เข้ามาเถิด”
เสียงเปิดประตูดังแอ๊ด
ไป๋เสาพาสาวใช้สองสามคนเดินเข้ามา พวกนางยกผ้าผืนนุ่ม อ่างน้ำ และเครื่องหอมเดินตามกันเป็นแถวเข้ามา
เจินเมี่ยวให้ไป๋เสาประคองเดินไปที่ห้องอาบน้ำ เมื่อกลับมาถึงห้อง เชวี่ยเอ๋อร์และเจี้ยงจูก็ทำความสะอาดห้องเสร็จพอดี
เชวี่ยเอ๋อร์เดินไปเปิดหน้าต่างพลางหันไปพูดกับเจินเมี่ยวด้วยความเบิกบานว่า “ต้าไหน่ไหน่ หิมะตกมาหลายวันแล้ว ในที่สุดวันนี้ท้องฟ้าก็แจ่มใสเสียที”