วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 244 ดีร้ายล้วนเกิดจากเรื่องในอดีต
“ซื่อจื่อ…อือๆ…” เสียงร้องตกใจของเจินเมี่ยวถูกปิดไว้อยู่ในลำคอ
เพราะเพิ่งตื่นนอน คนจึงดูงัวเงียอยู่ ชั่วขณะนั้นจึงยังคิดไม่ออกว่าคนผู้นี้กดทับอยู่บนร่างนางเพื่ออันใด จึงเพียงใช้สายตาอันง่วงงุนถลึงใส่เขา ความสงสัยอัดแน่นอยู่ในแววตา
หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทีงุนงงนั้นของนางก็รู้สึกอยากจะหัวเราะ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
สตรีผู้นี้ช่างโง่เง่านัก หากบุรุษอื่นทำเช่นเดียวกันนางก็จะมีท่าทีงุนงงเช่นนี้หรือ โง่เง่าเพียงนี้เชียว กระทั่งไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกมิพอใจยิ่ง จึงใช้แรงกระแทกกระทั้นใส่ร่างนางอยู่คราหนึ่ง
เจินเมี่ยวกลับซูดปากคราหนึ่ง
เจ็บ!
หรือ…เขาเอาไม้มาตีนางจริงๆ ความฝันนั้นคือความจริง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รู้สึกทั้งน้อยใจและโมโหขึ้นมาจึงทั้งขัดขืนและผลักเขาออกให้ห่างตัว
แต่น่าเสียดายที่คนเพิ่งตื่นนอนร่างจึงอ่อนเปลี้ย มือเท้าไร้เรี่ยวแรง การผลักไสอันไร้เรี่ยวแรงนี้กลับทำให้คนบนร่างร้องฮึออกมาเพราะรู้สึกจักจี้เสียมากกว่า
หลัวเทียนเฉิงถอนริมฝีปากออก แล้วเอ่ยเสียงกดต่ำว่า “เจ้าเอะอะอันใด ระวังผู้อื่นได้ยินเข้าล่ะ!”
“ท่านตีข้า เจ็บยิ่ง!” เจินเมี่ยวโกรธจนต้องกัดริมฝีปากตนไว้
ตีนาง?
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงคิดขึ้นได้ หากมิใช่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาคงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาแน่ ยามนั้นจึงเพียงประคองร่างตนไว้แล้วเคลื่อนไหวขยับเข้าออกอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน
เมื่อกระทำเช่นนี้ความรู้สึกเจ็บปวดนั้นกลับหายไปกลายเป็นความรู้สึกชาไปทั่วร่างอย่างประหลาดแทน
ยามนี้สติปัญญาทั้งหมดของเจินเมี่ยวจึงกลับคืนมา นางก้มลงมองด้านล่างแล้วเอ่ยอย่างคนติดอ่างว่า “ท่าน ท่าน ท่าน…ท่านกลับมาเมื่อไหร่?”
คนบางคนแทบจะหมดกำลังลงไปในทันที เขาเงียบอยู่นานจนสงบสติอารมณ์ได้ แล้วฉีกยิ้มกว้างเอ่ยถามว่า “คุณหนูสี่ เจ้ารู้สึกตัวช้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ!” กล่าวจบก็ชะงักไป รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเจื่อนลง แล้วเอ่ยเน้นหนักออกมาทีละคำว่า “หากบุรุษอื่นทำเช่นนี้ เจ้า เจ้าก็ยังจะเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกับเขาก่อนจึงค่อยสำนึกได้ว่าตนกำลังถูกเอาเปรียบอยู่เช่นกันใช่หรือไม่?”
เขาไพล่คิดไปถึงเรื่องที่คนใต้ร่างกำลังเริงร่ากับชายอื่นในชาติก่อนนั้นอย่างมิอาจควบคุมได้
เพราะนางโง่เขลาเช่นนี้ใช่หรือไม่ถึงได้ถูกผู้อื่นหลอกลวง?
ทว่านางกลับยอมกระโดดเข้ามาบังร่างบุรุษผู้นั้น ปากก็บอกว่ายอมตายเพื่อเขาได้
หลัวเทียนเฉิงทราบว่าตนคิดเช่นนี้นั้นดูไร้เหตุผลสิ้นดี แต่เขากลับมิอาจควบคุมเพลิงโทสะที่ปะทุขึ้นมานี้ได้
แค่คิดว่าสตรีใต้ร่างจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับบุรุษอื่น ทั้งยังปกป้องบุรุษผู้นั้นโดยไม่ไยดีต่อชีวิต เขาก็แค้นจนแทบจะทำลายคนทั้งสองให้มอดไหม้ไปด้วยกันเสียและในความเป็นจริงเขาก็ทำอย่างที่คิดนั้นแล
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าคนบนร่างเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น คล้ายกำลังใช้แส้หวดนางอย่างไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย ทุกคราล้วนเจ็บปวดจนโลหิตสาดกระเซ็น!
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ…” ครานี้เจินเมี่ยวร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บปวดจริงๆ
นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าเรื่องเช่นนี้จะทำให้เจ็บได้ถึงเพียงนี้ เจ็บปวดกว่าเมื่อวานที่ร่างนางแทบฉีกขาดออกมาแล้วด้วยซ้ำ!
นางคิดจะร้องเรียกให้คนช่วย อยากจะขัดขืนเขา ทว่าเมื่อคิดว่าอาหลวนนอนอยู่ห้องด้านข้างก็มิกล้าออกแรงขัดขืน
ต่อให้นางโง่เง่าและมิได้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ทุกคนในที่แห่งนี้ แต่ศักดิ์ศรีที่ควรมีนางก็ยังต้องการ
นางจึงทำเพียงสกัดเสียงร่ำไห้ไว้ในลำคอ นางทุบตีเขาด้วยอาการสะอึกสะอื้นพลางเอ่ยร้องขอ “ซื่อจื่อ ข้าเจ็บ ข้าเจ็บจริงๆ ท่านหยุดก่อนได้หรือไม่?”
ทว่าสิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นคลื่นพายุใหญ่ลูกหนึ่ง
นางคล้ายว่าวที่หลุดจากสายป่านแล้วถูกพายุหมุนปั่นจนฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วค่อยมลายหายไปในอากาศ
ความมืดมิดจู่โจมเข้ามา ในความสิ้นหวังนั้นเจินเมี่ยวกลับสบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นอย่างมิได้ตั้งใจ
นัยน์ตาที่สวยงามยิ่งนั้นกลับมีเพียงความมืดมนไร้ประกายใดๆ ความสิ้นหวังและเจ็บปวดนั้นมีมากกว่านางเสียอีก คล้ายมหาสมุทรใหญ่ที่ไร้ฝั่งที่ค่อยๆ กลืนกินคนจนสิ้นไป
เจินเมี่ยวพลันลืมอาการขัดขืน ได้แต่จ้องดวงตาคู่นั้นนิ่ง ลืมกระทั่งความโกรธที่มี
แย่แล้ว สามีผู้ยิ่งใหญ่ของนางเกิดวิปริตขึ้นมาอีกแล้ว
เมื่อความคิดนี้โผล่เข้ามาในหัว ดวงตาก็ปิดลงแล้วหมดสติไป
ครั้นคนใต้ร่างนิ่งไป ความเจ็บปวดสูงเทียมฟ้านั้นจึงค่อยๆ หายไปจากหัวใจ แววตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ กลับมากระจ่างใสอีกครา
แสงจันทร์ด้านนอกส่องสว่างสะท้อนแสงขาวเรืองรองของหิมะบนพื้น แม้นภายในห้องจะมิได้จุดโคม แต่กลับสามารถมองเห็นรอยเขียวช้ำเป็นจ้ำๆ บนร่างที่ขาวราวหิมะนั้นอยู่รำไร กระทั่งริมฝีปากก็บวมเจ่อ มีโลหิตไหลซึมออกมาด้วย
เขาทำหรือ?
หลัวเทียนเฉิงมองอย่างเหม่อลอย เขาลุกขึ้นมาอย่างหมดสภาพ รีบร้อนสวมใส่อาภรณ์แล้วกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง
ราตรีในยามเหมันต์นั้นเหน็บหนาวเสียจนคนต้องตกใจ แต่ผู้ที่เร่งหลบหนีไปนั้นกลับมิได้ใส่ใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาอยากให้ความเหน็บหนาวนี้กล่าวเป็นดาบอันแหลมคมเสียบแทงใส่เขา ให้เขามีสติเสียที
หลัวเทียนเฉิงไม่ทราบว่าเหตุใดตนจึงกลายเป็นดั่งสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง
ทั้งที่เขาคิดถึงนางเหลือเกิน แม้นจะยุ่งทั้งวันแต่ก็ยังที่จะลอบกลับคืนจวนเพราะอยากจะทำดีต่อนาง
ทว่าเขากลับเกือบจะทำลายนางจนแหลกสลายไปแล้วด้วยซ้ำ!
หลัวเทียนเฉิงหยุดเท้าตนลง เขาอยากจะกลับไปดูเจินเมี่ยวสักหน่อย แต่ความหวาดกลัวที่ยากจะบรรยายนั้นกลับผุดโผล่ขึ้นมา
เขาไม่กล้ามองแววตาหลังจากฟื้นขึ้นมาของนาง ทั้งกลัวว่าตนจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีก
ก่อนหน้านี้ที่อาซื่อด่าเขานั้นถูกต้องแล้ว เขามันไม่ปกติจริงๆ!
“เหมันต์มาเยือน ดับไฟปิดประตู…” เสียงคนเคาะบอกเวลาทำให้คนที่นิ่งดั่งดินปั้นตื่นจากภวังค์
หลัวเทียนเฉิงกระโดดเพียงสองสามคราก็หายไปจากค่ำคืนอันเหน็บหนาวนี้เสียแล้ว
เสียงกระโดดออกจากหน้าต่างนั้นปลุกให้อาหลวนตื่นขึ้น
นางเป็นคนสุขุมนิ่งเงียบจึงลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใส่เสื้อตัวนอกอย่างรีบร้อนแล้วเดินเข้าไปในห้องเจินเมี่ยว นางแหวกผ้าม่านโปร่งบางที่กั้นเตียงไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไป และวิญญาณก็ต้องหลุดลอยออกจากร่างไปโดยพลัน
“คุณหนู…” อาหลวนร้องด้วยเสียงสะอื้น นางกระโดดเข้าไปทันที เมื่อถึงขอบเตียงก็ยื่นมือออกไปอังตรงปลายจมูกเจินเมี่ยว
โชคดียิ่ง!
อาหลวนเปียกซก เหงื่อท่วมตัวคล้ายถูกลากขึ้นมาจากน้ำก็มิปาน นางนั่งลงบนพื้นข้างเตียง แล้วก็ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเขย่าตัวเจินเมี่ยวเบาๆ “คุณหนู คุณหนู ท่านตื่นสิเจ้าคะ…”
เมื่อมิเห็นเจินเมี่ยวตอบรับอันใด อาหลวนก็ได้แต่กัดริมฝีปากตนปริแตก น้ำตาร่วงหล่นลงพื้น
นางมิกล้าไปหาท่านหมอ!
สภาพของคุณหนูเป็นเช่นนี้ เห็นชัดว่า เห็นชัดว่าถูกคนล่วงเกิน ทว่าวันนี้ซื่อจื่อก็มิได้กลับมา…
อาหลวนไม่กล้าคิดต่อไปอีก คล้ายว่ามีฝ่ามือใหญ่บีบกำหัวใจของนางอยู่ก็มิปาน
ตึกตักๆ
นางรู้สึกว่าหัวใจตนพร้อมจะแตกระเบิดออกมาทุกเมื่อกระนั้น
แล้วนางควรต้องทำเช่นใดกันแน่?
อาหลวนที่สุขุมนุ่มลึกมาตลอด กลับคิดสิ่งใดไม่ออกเช่นกันเมื่อต้องตกในสถานการณ์นี้
นางยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจว่าเรื่องนี้จะให้ผู้ใดทราบมิได้ นางจำได้ว่าหลังจากที่พี่ไป๋เสาเสียโฉมก็คล้ายเรียนรู้เรื่องการใช้ยาต่างๆ อยู่พักใหญ่ ไม่รู้ว่าจะ…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็หมุนตัวออกไปอย่างไม่ลังเลอีก นางปิดประตูแน่น ทุกอย่างตกเข้าสู่ความมืดมิดในยามราตรีอีกครา
สาวใช้ใหญ่อย่างไป๋เสานั้นย่อมมีห้องเป็นของตัวเอง
นางมิใช่คนหลับสนิทมาแต่ไหนแต่ไร แม้นจะดึกดื่นเพียงใดก็ตาม เมื่อดิ้นเสียงเคาะประตูแผ่วเบานางกลับลืมตาขึ้น ใส่เสื้อคลุมแล้วเดินไปหน้าประตู เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ผู้ใด?”
“พี่ไป๋เสา ข้าเอง อาหลวน…”
เสียงที่แฝงความสะอึกสะอื้นดังขึ้นคล้ายมีน้ำเย็นเฉียบราดรดลงไปบนร่างไป๋เสา เหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ
วันนี้เป็นเวรของอาหลวน ปกตินางจะสุขุมยิ่ง แต่ยามนี้กลับวิ่งมาหานาง หรือเกิดเรื่องใดขึ้นกับต้าไหน่ไหน่?
ไป๋เสาเปิดประตูทันที ลมหนาวสายหนึ่งพัดหอบเข้ามาในห้อง แต่นางมิสนใจแล้ว ได้แต่ดึง อาหลวนเข้ามาแล้วเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้น?”
“พี่ไป๋เสา ตามข้ามาเถิด” อาหลานไม่พูดอันใดให้มากความ เพียงจูงมือไป๋เสาให้ตามตนไป
แม้นจะหวาดกลัวยิ่ง แต่ฝีเท้าของอาหลวนกลับแผ่วเบามั่นคง ไป๋เสารู้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดา จึงเดินตามไปอย่างแผ่วเบาเช่นกัน
เมื่อคนทั้งสองเข้าไปในห้องหลัก อาหลวนปิดประตูลงจึงเอ่ยด้วยน้ำตาว่า “พี่ไป๋เสา รีบไปดูคุณหนูเร็วเข้าเถิด”
หัวใจไป๋เสาสะดุดกึกคราหนึ่ง
ยามนี้จึงมิสนว่าอาหลวนเรียก ‘คุณหนู’ นั้นเป็นเรื่องไม่เหมาะสม นางรีบเดินเข้าไปข้างเตียงทันที
เมื่อเห็นคนบนเตียงก็ทั้งตกใจและโกรธแค้นขึ้นมาโดยพลัน
อย่างไรนางก็อายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังเคยเสียโฉมจนตั้งปณิธานว่าจะมิออกเรือนเด็ดขาด ไป๋เสาจึงเยือกเย็นกว่าอาหลวนอยู่มาก
หลังจากความตกใจเมื่อเริ่มแรกผ่านไป นางก็รีบก้าวเข้าไปดูทั้งนวดตามจุดชีพจรต่างๆ ตามร่างกายแล้วเอ่ยถามว่า “อาหลวน เกิดอันใดขึ้นกันแน่ เจ้าเป็นคนเฝ้าเวรมิใช่หรือ!”
หางตาอาหลวนคลอไปด้วยน้ำตา “ข้าพักอยู่ที่ห้องด้านข้าง ครั้นได้ยินเสียงแปลกๆ ต้าไหน่ไหน่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว”
เมื่อมีผู้ที่นางสามารถพึ่งพา อาหลวนก็สงบสติอารมณ์ขึ้นได้มาก
“อาหลวน เรื่องนี้เราต้องเก็บไว้ให้มันเน่าอยู่ในท้องจนตาย!”
อาหลวนพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “ทว่าต้าไหน่ไหน่เป็นเช่นนี้ มิต้องเชิญท่านหมอหรือ?”
ไป๋เสาส่ายหน้า แต่มือก็ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด นางเอ่ยเสียงขรึมว่า “ต้าไหน่ไหน่มีการร่วมหอที่รุนแรงเกินไปทำให้มิร่างกายมิอาจทานไหวจึงหมดสติไป ข้าดูแลอย่างใกล้ชิดสักระยะก็จะดีขึ้น แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ต้าไหน่ไหน่คงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้!”
ไป๋เสานวดคลึงให้เจินเมี่ยว ยิ่งมองก็ยิ่งผวา
เป็นผู้ใดกันแน่ที่ทำเรื่องเช่นนี้กับต้าไหน่ไหน่!
เคราะห์ดีที่ระยะนี้ซื่อจื่อยุ่งยิ่ง…
ส่วนความเป็นไปได้ที่ว่าซื่อจื่ออาจเป็นผู้กระทำจนเจินเมี่ยวมีสภาพเช่นนี้นั้น ไป๋เสากลับมิได้คิดถึงเลย
เมื่อวานต้าไหน่ไหน่กับซื่อจื่อเพิ่งจะกลายเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงๆ ความหวานล้ำที่ติดอยู่ในแววตาของคนทั้งสองกลับมิอาจปิดบังผู้คนได้ แม้แต่นางยังมองออกว่าซื่อจื่อรักใคร่ต้าไหน่ไหน่เพียงใด
ครั้นคิดถึงตรงนี้นางก็ใจหายวาบขึ้นมา หรือมีคนคอยจดจ้องเรือนชิงเฟิงอยู่ เมื่อทราบว่า ต้าไหน่ไหน่กลายเป็นสตรีเต็มตัวแล้ว มิต้องกังวลเรื่องความบริสุทธิ์อีกจึงได้ลงมือต่อต้าไหน่ไหน่เช่นนี้?
ไป๋เสาหรี่ตาคราหนึ่ง ดูท่าเรือนชิงเฟิงแห่งนี้คงมิอาจสงบได้
เสียงครวญครางดังขึ้น
ไป๋เสาและอาหลวนมีสีหน้ายินดีขึ้นแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ต้าไหน่ไหน่!”
ขนตาเจินเมี่ยวสั่นไหว ในที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น
เพราะกลัวว่าผู้อื่นจะพบความผิดปรกติ แม้นผ่านไปนานเพียงนี้แล้วก็ยังมิกล้าจุดเทียน ได้แต่อาศัยแสงรำไรจากจันทราเท่านั้น เจินเมี่ยวปวดหัวจนแทบแตกระเบิด เมื่อพิจารณาสถานการณ์อย่างไม่ทราบจะทำฉันใดอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า “ไป๋เสา…”
ไป๋เสาขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมา “ต้าไหน่ไหน่ บ่าวอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ”
“ไป๋เสา ข้าเจ็บไปหมด” เจินเมี่ยวกัดริมฝีปากตนไว้ นางยังคงอดกลั้นไว้ไม่อยากร้องไห้ออกมาต่อหน้าสาวใช้ตน
อาหลวนเห็นแล้วเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว “ต้าไหน่ไหน่ ท่านอย่ากัดริมฝีปากตนอีกเลย เลือดซึมออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวจึงเลิกกัดปากตนอย่างว่าง่าย
ไป๋เสามองแล้วก็เจ็บร้าวขึ้นมาในใจ นางลุกขึ้นยืน “ต้าไหน่ไหน่ ข้าจะไปเอายามาทาให้ท่าน อาหลวน เจ้าไปเอาน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้ต้าไหน่ไหน่”
ห้องข้างห้องหลักทั้งสองฝั่งนั้นเป็นที่นอนของสาวใช้ที่เข้าเวรยามค่ำ ส่วนอีกฝั่งเป็นห้องให้สาวใช้ทั้งหลายได้พักในตอนกลางวัน ที่นั่นจะมีเตาเล็กๆ ที่ไฟมิเคยมอดเลยอยู่เตาหนึ่ง
คนทั้งสองต่างปฏิบัติหน้าที่ตนอย่างว่องไวโดยไม่มีผู้ใดเอ่ยวาจาสักคำ
เจินเมี่ยวปล่อยให้คนทั้งสองปรนนิบัติตามใจ แต่แววตากลับแข็งดุจท่อนไม้กระทั่งความเจ็บปวดของร่างกายก็มิรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงสักเท่าใด
นางไม่เข้าใจว่าซื่อจื่อเป็นอันใดไปกันแน่
คนชั่วช้า…สารเลวนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความทุกข์ตรมใดก็มักมาลงที่นางเสมอ ชั่วชีวิตนี้นางคงไม่มีวันชอบเขาได้!
เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ไป๋เสาก็หยิบผ้านวมมาปูลงบนพื้น “ต้าไหน่ไหน่ วันนี้บ่าวจะอยู่ดูแลท่านเองเจ้าค่ะ”
“อืม” เจินเมี่ยวมิได้ปฏิเสธ ได้แต่มองผ้าม่านที่ปักลายบุตรนับร้อยหลานนับพันอย่างเหม่อลอยอยู่นานแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
หลัวเทียนเฉิงที่จากไปแล้วแต่ย้อนกลับมาคอยยืนเฝ้าอยู่นอกหน้าต่างตลอดเวลานั้นได้แต่ปล่อยให้ปุยหิมะก่อตัวขึ้นบนคิ้วตน กระทั่งฟ้าเริ่มสางจึงจากไปด้วยร่างแข็งทื่อ