“ซื่อ…ซื่อจื่อ?” เมื่อลงไปนอนกับเตียงนุ่ม เจินเมี่ยวก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา “ตอนนี้ยังสว่าง…”
แม้นทั้งสองจะมิได้เดินทางไปจนสุดปลายฝัน แต่ก็สัมผัสแนบชิดกันมาแล้วสองสามครา หลังจากที่เขาทำมันทุกครา คนทั้งสองก็มักจะประหม่าต่อกันอย่างยิ่ง กระทั่งทำตัวไม่ถูกอยู่หลายวัน
แต่นั้นก็ยังเป็นยามราตรี แค่เพียงหลับตาทุกอย่างก็ผ่านไปแล้ว ทว่าฟ้าสว่างโร่เช่นนี้ แค่คิดก็รู้สึกตะขิดตะขวงแล้ว
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีผู้ใดเข้ามาดอก”
“ข้า…ข้ายังมิได้ดื่มน้ำแกงเลย…” เจินเมี่ยวยังคงพยายามขัดขืน
“ประเดี๋ยวค่อยดื่ม” หลัวเทียนเฉิงทำหน้าเหยเก ครู่หนึ่งจึงกลับไปเป็นปกติ
“เช่นนั้น…” เจินเมี่ยวไม่รู้จะหาข้ออ้างอันใดอีก รู้สึกสับสนไปหมด
หลัวเทียนเฉิงเห็นนางร้อนใจกระทั่งลำคอระหงเปลี่ยนเป็นสีชมพู และแดงระเรื่อระเรื่อยลงไปยังที่ที่มองไม่เห็น เขารู้สึกร้อนวูบที่จมูก ฉับพลันโลหิตก็ไหลออกมาก
เจินเมี่ยวตกใจอึ้งงันไปทันที
คนทั้งสองมองหน้ากันอย่างอึ้งงัน แต่หลัวเทียนเฉิงมีสติคืนมาก่อน เขารีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ด แล้วก้มหน้าลงปิดปากอีกฝ่ายไว้ทันที
เขาไม่อยากฟังวาจาที่ทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองอันใดขึ้นมาอีก
“อ๊ะ…” ความคิดของเจินเมี่ยวจึงถูกกักไว้อยู่ในลำคอเท่านั้น
จุมพิตเมื่อแรกเริ่มนั้นเต็มไปด้วยความก้าวร้าวและดุดัน เจินเมี่ยวจึงมิทันได้ขัดขืนก็ยอมโอนอ่อนตามจังหวะท่าทางของอีกฝ่ายไปเสียก่อน
ต่อมาก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น คล้ายแมลงปอน้อยที่โฉบผ่านไปบนผิวน้ำอันเงียบสงบ แล้วก็ย้อนกลับมาอย่างมิใคร่ยินยอมนัก ใช้หางของมันแตะสัมผัสลงไปให้ลึกอีกครา ครั้งแล้วครั้งเล่ากระทั่งเกิดเป็นระลอกคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่า กระทั่งกระทบเข้าไปในใจที่อ่อนระรินดุจสายน้ำนั้น
เจินเมี่ยวไม่มีสติให้คิดใคร่ครวญอันใดอีกแล้ว เพียงแต่อาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น นางรู้สึกว่าความรู้สึกชนิดนี้ช่างสวยงามและอัศจรรย์ ทั้งสุขสมยิ่ง เมื่อความสุขสมผ่านไปกลับเกิดความรู้สึกเคว้งคว้างอันยากจะบรรยายได้ขึ้น
คล้ายว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต
นางลองเปรียบเทียบดูทั้งที่สติยังเลอะเลือนอยู่เช่นนั้น แต่ชั่วขณะก็มิอาจไปครุ่นคิดเรื่องเหล่านั้นได้แล้ว เมื่ออาภรณ์ที่ปกปิดร่างกายถูกถอนออกไป อากาศอันหนาวเหน็บโอบล้อมรอบตัวนางทันที แต่กลับไม่รู้สึกว่าหนาว นางรู้สึกได้เพียงความร้อนจากร่างที่เกี่ยวกระหวัดนางอยู่นั้น ร้อนจนนางอยากจะผลักออก แต่กลับกอดเกี่ยวเอาไว้เสียแน่น
กระทั่งคนผู้นั้นขบเม้มที่ติ่งหูนาง แล้วเอ่ยพึมพำเสียงต่ำว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว… ”
เสียงที่ดังติดต่อกันนั้นทำเอานางขนลุกเกรียวไปทั่วร่าง
หลังจากนั้นก็มีสิ่งใดบางอย่างค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาตัวนาง ทั้งอ่อนโยนแต่กลับยืนหยัดอยู่เช่นนั้นมิหลบหนีไปไหน
เจินเมี่ยวจึงเริ่มมีสติขึ้นมาบ้าง นางอดคิดไม่ได้ว่า ก็มิได้เจ็บอันใดมิใช่หรือ?
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เจินเมี่ยวเบิกตาขึ้นสบเข้ากับดวงตาอันล้ำลึกมากกว่าทุกคราคู่นั้น แล้วพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา เสียงเล็กแผ่วเบา “มิเป็นอันใดเลย”
นางคิดมาตลอดว่าจักต้องเจ็บดั่งหัวใจฉีกขาดก็มิปาน คิดไม่ถึงว่า คิดไม่ถึงว่าจะรู้สึกดีถึงเพียงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ ความตึงเครียดที่เคยมีก็มลายหายไปทันที ความรู้สึกสุขสมและว่างเปล่าอันแสนประหลาดนั้นจู่โจมจนทำให้นางขยับยกร่างขึ้นไปตามธรรมชาติ
หลัวเทียนเฉิงกลับสูดลมเข้าปากคราหนึ่ง แล้วกัดฟันเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
หลังจากนั้นก็เสือกกายเข้าหานางอย่างล้ำลึกที่สุด
เจินเมี่ยวยังมิทันเข้าใจความหมายของเขาด้วยซ้ำ ความเจ็บปวดดุจหัวใจฉีกขาดนั้นก็แผ่ซ่านขึ้นมา น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที แต่กลับถูกอีกฝ่ายใช้จุมพิตปิดปากนางไว้ เสียงร้องโหยหวนดุจสุกรถูกเชือดจึงมิได้เล็ดลอดออกมา
ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น มีทั้งความไร้เดียงสา ความโมโหและความสงสัย
เมื่อบุรุษผู้ไร้ยางอายที่อยู่บนร่างนางเห็นว่านางมิคิดร้องออกมาแล้วจึงถอนริมฝีปากออกพร้อมกับอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ข้ายังมิได้ล่วงล้ำเข้าไปแต่อยากจะให้เจ้าผ่อนคลายสักหน่อยเท่านั้น”
เจินเมี่ยวโกรธกรุ่นขึ้นมา
เจ้าคนชั่วช้า ที่แท้ก็ฉวยโอกาสใช้กำลังเข้าจู่โจมยามคนอ่อนแอ!
เอ๊ะ เหตุใดจึงรู้สึกว่าการบรรยายเช่นนี้มีที่ใดไม่ถูกต้อง
นางยกเท้าขึ้นคิดจะถีบคนไร้ยางอายนั้นออกไปเพื่อจบการทรมานในครานี้เสีย แต่กลับถูกอีกฝ่ายจับขาไว้ ทั้งยังจับไว้เช่นนั้นไม่ยอมปล่อย
“หลัวเทียนเฉิง…” เจินเมี่ยวร้องเรียกขึ้น แต่กลับรู้สึกว่าเสียงทั้งแผ่วเบาและอ่อนแรง ไม่มีพลังแห่งการข่มขู่แม้แต่น้อย
“อย่าขยับ หากเจ้าถีบข้าออก ครั้งหน้าก็ยังจะเจ็บเช่นนี้เหมือนเดิม”
เจินเมี่ยวยอมแล้วจริงๆ
ดูผู้อื่นข่มขู่เสียก่อน นี่จึงเรียกว่าการข่มขู่!
อย่างไรก็รู้สึกมิยินยอมอยู่ จึงเบี่ยงสายตาออกไปไม่สนใจเขา
หลัวเทียนเฉิงเผลอยิ้มออกมา เวลานี้แล้วยังจะทะเลาะกับเขาได้อีก
เขาก้มลงจุมพิตนางอย่างอ่อนโยนอีกครา ทั้งจูบทั้งปลอบนาง “เจี๋ยวเจี่ยว อีกเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว”
อาจเพราะคำพูดนั้นของเขาหรืออาจเพราะความเจ็บปวดที่สุดนั้นได้ผ่านไปแล้วจริงๆ เจินเมี่ยว กลับรู้สึกว่าดีขึ้นมาก
จากความเนิบนาบในคราแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร็วรัวขึ้น เตียงอันนุ่มนิ่มนั้นกลายเป็นนาวาน้อยที่โยกคลอนตามคลื่นพายุที่พัดสาด ทำให้คนจ่อมจมอยู่ในห้วงมหาสมุทรอันแสนลึกลับนั้น
คลื่นโหมระลอกแล้วระลอกที่ประเดี๋ยวโหมซัดสาดประเดี๋ยวถอยห่างออกไป กระทั่งสุดท้ายนางคล้ายเห็นแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งที่ปิดตาทั้งสองข้างแน่น
หลัวเทียนเฉิงก้มลงจุมพิตหน้าผากนาง ความพึงพอใจอันยากจะบรรยายออกมาได้เอ่อล้นอยู่ในอก ร่างกายกลับขมวดเกร็ง
ที่เขาพึงพอใจเพราะคนทั้งสองได้กลายเป็นสามีภรรยากันอย่างแท้จริงแล้ว กระทั่งเวลานี้ เขาจึงพบว่าภรรยาเขานั้นก็มีด้านที่งดงามเพียงนี้อยู่เช่นกัน แต่เกรงว่าแม้แต่ตัวนางเองก็คงไม่รู้ตัว
แต่เพราะเขาอดกลั้นมานาน ทั้งสงสารเพราะเป็นครั้งแรกของนางจึงมิกล้าทำนานเกินไป ร่างกายจึงยังมิถึงจุดผ่อนคลาย
แต่ช่างเถิด อย่างไรก็ได้เริ่มต้นแล้ว วันเวลาต่อจากนี้ยังอีกยาวไกล
เขาลุกขึ้นค่อยๆ สวมใส่อาภรณ์ แต่กลับมิให้เจินเมี่ยวขยับตัว “เจ้านอนอยู่เช่นนั้นก่อน ข้าจะเรียกให้จื่อซูกับไป๋เสามาปรนนิบัติเจ้า”
แม้นจะบอกว่าเป็นสามีภรรยาแต่การกระทำเช่นนี้ในยามฟ้าสางนั้นก็ออกจะไม่เหมาะสมเท่าใด หากเรื่องแพร่ออกไปคงกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน
สาวใช้ขั้นหนึ่งนั้นรอบคอบทั้งสุขุม เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงการเรียกให้พวกนางเข้ามาปรนนิบัติเจ้านายนั้นกลับเป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง
“ไม่!” ครานี้เจินเมี่ยวมีสติครบถ้วนโดยสมบูรณ์แล้ว ใบหน้าของนางแดงก่ำ
นางไม่รู้ว่าผู้อื่นเป็นเช่นไร แต่เมื่อคิดว่าเพิ่งจะกระทำเช่นนั้นเสร็จไปก็เรียกให้ผู้อื่นเข้ามาปรนนิบัติ ช่างน่าอายอย่างที่สุด
หลัวเทียนเฉิงอึ้งงันไป
บ่าวไพร่มาปรนนิบัติเจ้านาย เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีอันใดให้เขินอาย?
ความจริงนี่เป็นความคิดที่แสนแตกต่างกันของคนทั้งสอง
ในความคิดของเจินเมี่ยว ต่อให้บ่าวไพร่ไม่มีอำนาจใด แต่อย่างไรก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น เรื่องที่ส่วนตัวถึงเพียงนี้มีหรือจะไม่เขินอายได้
แต่หลัวเทียนเฉิงหรือ มิอาจกล่าวได้ว่าเขานั้นเลือดเย็น แต่นี่เป็นวัฒนธรรมที่คนส่วนใหญ่ในที่แห่งนี้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่เยาว์วัยกระทั่งเติบใหญ่ บ่าวไพร่นั้นเป็นเพียงสิ่งของมีชีวิตเท่านั้น ลองคิดดูแล้ว จะมีผู้ใดเขินอายเมื่ออยู่ต่อหน้าโต๊ะตัวหนึ่งเล่า?
คนทั้งสองต่างไม่เข้าใจความคิดของอีกฝ่าย จึงได้แต่ถลึงตามองกันอยู่เช่นนั้น สุดท้ายก็เป็นหลัวเทียนเฉิงที่ยอมอ่อนข้อให้ก่อนเพราะเป็นห่วงที่นางต้องเจ็บปวดในครั้งแรกจึงกลัวว่าหากนางนอนอยู่เช่นนั้นแล้วจะไม่สบาย
เขาเดินอ้อมไปด้านหลังฉากบังลม แล้วยกน้ำร้อนที่วางอุ่นอยู่บนเตาตลอดเวลานั้นขึ้นมาเทใส่ผ้าผืนนุ่มจนชุ่ม แล้วเดินมานั่งลงข้างนาง
เจินเมี่ยวลนลานขึ้นมา หน้าแดงก่ำ “อย่า จิ่นหมิง ท่านปล่อยเถิด ข้าทำเอง”
แต่ก่อนยามเรียกชื่อนี้ของเขาก็มิได้รู้สึกอันใด แต่ยามนี้คำสองคำนั้นรัดรึงอยู่ที่ปลายลิ้นไม่ห่างไปไหนจึงเผลอเอ่ยออกมา ปลายลิ้นคล้ายมีกระแสไฟอยู่ก็ปาน ทำเอานางตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด
เจินเมี่ยวอดคิดถึงเสียงสูงๆ ต่ำๆ ที่คอยแต่ร้องว่า ‘จิ่นหมิง’ จากการกระทำที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้ไม่ได้
ไม่ได้การแล้ว เกรงว่าต่อไปนางคงมิอาจเรียกชื่อนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกแล้ว
นางมิเคยรู้มาก่อนว่า ระหว่างบุรุษสตรีจะมีความอัศจรรย์เช่นนี้อยู่
“เจ้าลุกไหวหรือ?” หลัวเทียนเฉิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม และไม่สนใจต่อความเขินอายของนางอีก ได้แต่เช็ดเนื้อตัวให้นางอย่างละเมียดละไม
แต่สุดท้ายกลับเช็ดเสียจนคนทั้งสองเกิดไฟร้อนรุ่มไปทั่วร่าง เมื่อสายตาประสานกันก็คล้ายว่าสามารถจุดเพลิงขึ้นได้แม้ว่าอากาศจะชื้นเพียงใด
“เจี๋ยวเจี่ยว…” เสียงของหลัวเทียนเฉิงเปลี่ยนเป็นต่ำพร่า
“หืม…”
“เรียกข้าว่าจิ่นหมิงให้ฟังอีกสักครั้งก่อน”
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากไว้ “ไม่เรียก”
หากนางเรียกชื่อเขากลับคล้ายเหมือนกำลังตอบรับสิ่งใดบางอย่างอยู่กระนั้น
ผ้าผืนนุ่มอันอุ่นร้อนนั้นปัดผ่านผิวนางแผ่วเบาดุจขนนก ร่างเจินเมี่ยวสั่นสะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง
“เจี๋ยวเจี่ยว เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเรียกข้าสักคำเถิด ข้าต้องไปแล้ว ไปครานี้ เกรงว่าแม้แต่ก่อนจะไปจวนหย่งอ๋องก็ยังคงมิได้กลับมาด้วยซ้ำ” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอ้อนวอนอย่างหน้าไม่อายประหนึ่งเด็กน้อยก็มิปาน
เจินเมี่ยวทันไม่ไหว จึงยอมเรียกเขาเสียงอ่อนว่าจิ่นหมิง หลังจากนั้นโทนเสียงก็เปลี่ยนไป “จิ่นหมิง ท่าน…ท่านทำอันใด?”
หลัวเทียนเฉิงได้ทิ้งผ้าผืนนั้นลงบนพื้นไปเรียบร้อย แล้วถอนกางเกงออกทั้งที่ยืนอยู่เช่นนั้น สองมือลูบไล้ร่างนาง แล้วค่อยๆ แทรกกายเข้าไปช้าๆ เมื่อรู้สึกว่าอยู่ในตำแหน่งที่พอดีแล้วเขาจึงนหยุดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “เดิมทีนั้นไม่อยากให้เจ้าต้องเหนื่อยจนเกินไป แต่เจ้ากลับไม่ยอมให้สาวใช้เช็ดตัวให้”
ในสถานการณ์อันน่าอับอายนี้ เจินเมี่ยวจึงปิดหน้าไว้ไม่กล้ามองเขา เพียงเอ่ยด่าว่า “เถียงข้างๆ คูๆ !”
“ใช่ ข้าเถียงข้างๆ คูๆ” หลัวเทียนเฉิงเพียงยิ้ม
บรรยากาศภายในห้องอ่อนโยนละมุนละไมขึ้นมาอีกครา แม้แต่ลมหนาวด้านนอกยังค่อยๆ หยุดพัด เพราะไม่อยากส่งเสียงให้นกยวนยางที่กำลังพลอดรักกันอยู่ตกใจ
เจินเมี่ยวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลัวเทียนเฉิงไปตั้งแต่เมื่อใด ตอนที่ตื่นขึ้นก็เห็นจื่อซูและไป๋เสายืนอยู่ในห้องแล้ว
สาวใช้ทั้งสองที่สุขุมนุ่มลึกมาโดยตลอด เมื่อได้สบตากับเจินเมี่ยวในวันนี้ก็อดหน้าแดงขึ้นมามิได้
เจินเมี่ยวพลอยหน้าแดงตามไปด้วย อึกๆ อักๆ อย่างไม่ทราบจะเอ่ยสิ่งใด
แล้วจื่อซูและไป๋เสาจึงสบตากัน พวนางเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า “ยินดีกับต้าไหน่ไหน่ด้วยเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวยิ่งพูดไม่ออกไปกว่าเดิม
เวลานี้ นางควรพูดอันใดหรือ?
ไม่ว่าจะพูดว่าขอบคุณหรือยินดีเช่นกันก็คล้ายจะมิใคร่เหมาะสมทั้งสิ้น
อ้ำอึ้งอยู่นานในที่สุดก็หาคำเอื้อนเอ่ยจนเจอ “น้ำแกงเนื้อแพะ เย็นแล้วกระมัง?”
ภายในสีหน้าอันแปลกพิกลของสาวใช้ทั้งสอง นางยังคงแข็งใจเอ่ยวาจาที่เหลือต่อมาจนจบ “น่าเสียดายจริง หากนำน้ำแกงเนื้อแพะไปอุ่นอีกรอบก็คงมีกลิ่นสาบแล้ว พวกเจ้าไปบอกชิงเกอให้ทำน้ำแกงจับฉ่ายเนื้อแพะให้ข้าที ใส่ผักชีเยอะๆ…”
เมื่อเห็นคนทั้งสองยังคงอึ้งงันไม่ขยับตัวก็ขบริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “เร็วเข้า ข้าหิวแล้ว”
จือซูและไป๋เสาสบตากันแล้วยิ้ม
พวกนางเข้าใจแล้ว ต้าไหน่ไหน่เขินอายนี่เอง ทั้งเขินอายอย่างที่สุดเสียด้วย
“เจ้าค่ะ” คนทั้งสองถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม
ตอนนี้เจินเมี่ยวมีสติคืนมาครบถ้วนแล้ว นางเพียงรู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นดั่งความฝันก็มิปาน
นางกับซื่อจื่อกลายเป็นสามีภรรยากันจริงๆ แล้วงั้นหรือ?
ความรู้สึกนั้น นอกจากความเจ็บปวดในคราแรกแล้ว ต่อมา…ก็คล้ายว่ามิได้ย่ำแย่อันใด
ทว่าเจินเมี่ยวยังคงไม่เข้าใจอยู่บ้าง นางไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มิได้ย่ำแย่นี้เป็นเพราะคนผู้นั้นคือซื่อจื่อหรือเพราะความสามารถในเรื่องนั้นของเขาไม่เลวกันแน่
แต่ซื่อจื่อในตอนนั้นดูเหมือนจะอ่อนโยนเป็นพิเศษ…
เมื่อคิดเช่นนี้ต่อไป เจินเมี่ยวก็หน้าแดงขึ้นมาอีก ได้แต่คิดอย่างเงียบๆว่า บางทีอาจเพราะเป็นซื่อจื่อและความสามารถนั้นของด้วยทำให้นางมิได้รู้สึกย่ำแย่กระมัง?
แต่กินจนหมดเกลี้ยงแล้วจากไปเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
เจินเมี่ยวพลันรู้สึกว่าห้องที่อยู่จนคุ้นเคยแล้วแห่งนี้ดูเหมือนขาดบางอย่างไป
เรือนชิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งวสันต์ฤดู แต่เรือนซินหยวนกลับยิ่งเหน็บหนาวเข้าไปทุกทีแล้ว
นางเถียนเอ่ยถามนายท่านรองสกุลหลัวด้วยน้ำตานองหน้า “ท่านพี่ ท่านบอกว่าพิธีรับบุตรบุญธรรมของจวนหย่งอ๋องคงมิเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้หรือ ฝ่าบาทพระอารมณ์มิใคร่จะดีนัก เรื่องนี้ไม่แน่ว่าอาจถูกล้มเลิกไป ท่านดูว่านี่คืออันใด เทียบเชิญจากจวนหย่งอ๋องมาถึงแล้ว!”
เพราะสถานการณ์ช่วงนี้ค่อนข้างตึงเครียด ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวจะเกิดความผิดพลาดจึงให้นางเถียนที่มีประสบการณ์ในการดูแลจวนมามากกว่าสิบปีดูแลเรื่องการติดต่อสัมพันธ์กับผู้คน
นายท่านรองสกุลหลัวผุดลุกขึ้นทันที “รู้จักแต่ร้องไห้ อัปมงคลจริงๆ!”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เมื่อออกจากจวนกั๋วกงมายืนบนถนนก็เหม่อมองหิมะสีขาวที่ปกคลุมทั่วพื้น ไม่ทราบว่าคิดสิ่งใดอยู่จึงยกเท้าก้าวเดินไปยังตรอกซิ่งฮวาทันที
MANGA DISCUSSION