วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 237 ไก่ฟ้า
ขันทีผู้อยู่หน้าเดินเข้าไปกระซิบไท่โฮ่วสองสามประโยค ผู้คนภายในตำหนักชะงักตะเกียบอย่างอดมิได้
เจินเมี่ยวกำลังคีบเนื้อนกกระทาขึ้นมาพอดี
อาหารชนิดนี้ มีวุ้นใสๆ ห่อหุ้มเนื้อนกกระทาไว้ มองดูแล้วช่างดูเย็นสดชื่น
แม้นยามนี้ด้านนอกจะมีหิมะพัดโปรยปราย แต่ภายในกลับอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู เจินเมี่ยวจึงอดลงมือกินมันมิได้
แต่เมื่อลอบชำเลืองไปด้านข้างกลับเห็นว่าไม่มีผู้ใดใส่ใจกับอาหารบนโต๊ะเลย เจินเมี่ยวจึงวางใจ และเริ่มลงมือกินอย่างเงียบๆ นางคีบเนื้อกวางตุ๋นขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ใบหน้าที่เปลี่ยนสีไปเล็กน้อยของไท่โฮ่ว ทำให้คนทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวนตามไปด้วย
เมื่อไท่โฮ่วลุกยืนขึ้น ฮูหยินผู้หนึ่งที่มัวแต่จดจ้องจนเกินไปจึงตกใจลืมกระทั่งตะเกียบในมือตน
ตะเกียบร่วงตกกระทบจานเกิดเสียงเคร้งคร้างดังขึ้นภายในตำหนักที่เงียบกระทั่งเข็มตกยังได้ยิน สายตาของคนทั้งหลายจึงอดหันไปมองมิได้
เจินเมี่ยวรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาโดยพลัน
หรือตะเกียบที่ร่วงจะเป็นของนาง?
เมื่อก้มลงมอง ไม่ใช่เสียหน่อย ตะเกียบยังคงอยู่
“เจินฮูหยิน ขออภัยยิ่ง ข้าทำให้อาภรณ์ของท่านเปื้อนเสียแล้ว ” ภายใต้การจับจ้องของคนทั้งหลาย ฮูหยินผู้นั้นก็ได้แต่หันไปขออภัยต่อเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เจินเมี่ยวจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าแขนเสื้อด้านขวาของนางเปื้อนน้ำแกงเสียแล้ว แต่เพราะเมื่อครู่นางมัวแต่เสพสุขกับรสชาติอันเลิศล้ำของเนื้อกวางตุ๋น ทั้งกำลังขบคิดถึงเครื่องปรุงที่ใช้ในการทำเนื้อกวางตุ๋นอยู่จึงมิได้รู้สึกตัวตั้งแต่คราแรก
ผู้คนทั้งหลายต่างมองอยู่ เจินเมี่ยวเองก็มิอยากจะเสียหน้า จึงวางตะเกียบลงอย่างสง่างามแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดริมฝีปาก ค่อยคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “มิเป็นไร”
การกระทำทั้งหมดนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาคนทั้งหลาย คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ต่อคนทั้งสองก็เกิดขึ้นทันที
โถ่เอ๊ย ดูฮูหยินสกุลเฉียวแห่งจวนหย่งจยาโหวเถิด คิดไม่ถึงว่าจะมิรู้จักเก็บอาการเช่นนี้ ถึงกับกล้าเสียกริยาในงานเลี้ยงเช่นนี้ ทั้งยังทำอาภรณ์ผู้อื่นเปื้อนอีก ช่างน่าขายหน้าจริงๆ เชียว
แต่ฮูหยินผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า ดูเอาเถิดว่านางสุขุมนุ่มลึกเพียงใด แม้นอาภรณ์เปื้อนแล้วก็ไม่ขยับแม้เปลือกตา กระทั่งอีกฝ่ายกล่าวขออภัยจึงตอบกลับอย่างเกรงอกเกรงใจ
เกรงว่าหากนางเฉียวมิกล่าวขออภัย นางก็คงทำดั่งไม่มีอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่กระมัง
นี่จึงเรียกว่าแม้นเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อยอย่างไรเล่า!
ต่างเป็นฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดด้วยกันทั้งสิ้นแต่เหตุใดท่าทีจึงต่างกันลิบลับ ดังคำที่ว่าหากนำคนมาเปรียบกันคนคงต้องตาย หากนำของมาเทียบกันคงต้องทิ้งของ!
“นางกำนัล นำทางฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงไปเปลี่ยนอาภรณ์” จ้าวหวงโหวเห็นคนทั้งหลายจับจ้องอยู่เช่นนั้นจนเกินงามจึงเอ่ยปากขึ้น
นางกำนัลผู้หนึ่งเดินเข้ามา “เชิญเจินฮูหยินเจ้าค่ะ”
การสวมอาภรณ์ที่แปดเปื้อนแล้วอยู่ในงานเลี้ยงเช่นนี้นั้นเป็นการเสียมารยาทยิ่ง เจินเมี่ยวเพิ่งจะลุกยืนขึ้น ไท่โฮ่วก็เอ่ยปากว่า “งานเลี้ยงในวันนี้ สิ้นสุดเพียงเท่านี้เถิด”
กล่าวจบ แม่นมผู้หนึ่งก็ประคองไท่โฮ่วออกไป
งานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษาของฝ่าบาทเพิ่งดำเนินมาได้เพียงครึ่งเท่านั้น แต่ไท่โฮ่วกลับเสด็จออกไปแล้ว หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นหรือ?
หรือ…เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับฝ่าบาท?
เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้แม้นพระองค์จะมิใคร่แข็งแรงนักแต่ก็ทรงพระอาการดีขึ้นมาแล้วมิใช่หรือ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จ้าวหวงโฮ่วก็มิอาจทนอยู่ได้อีกต่อไป นางกล่าววาจาประโยคหนึ่งแล้วก็จากไป
เหลือไว้เพียงคนทั้งหลายที่หันมาสบตากัน ตามติดด้วยการสนทนาอันเซ็งแซ่ ส่วนผู้ที่ไม่อยากวิจารณ์อันใดก็ลุกขึ้นจากไปอย่างเงียบๆ
ไท่จื่อเฟยมิได้ขยับลุกไปไหน นางชำเลืองมองเจินเมี่ยวอย่างแนบเนียน
“เจินฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาเจ้าค่ะ” นางกำนัลผู้นั้นเอ่ยขึ้น
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิต้องแล้ว ในเมื่องานเลี้ยงเลิกแล้ว ข้ากลับไปเปลี่ยนที่จวนก็ได้”
นางกำนัลฐานะต่ำต้อย เมื่อเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ จึงได้แต่เผยปากขึ้นคล้ายจะเอ่ยสิ่งใดแต่ก็มิเอ่ยออกมา เพราะมิกล้ากล่าวเตือนอันใดอีก
ทว่าฮูหยินสกุลเฉียนจวนหย่งจยาโหวที่มีสีหน้าประหม่าอยู่ตลอดเวลากลับเอ่ยว่า “เจินฮูหยิน จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านกลับไปเช่นนี้ หลัวซื่อจื่อคงเป็นกังวลแน่ อีกอย่างระหว่างทางหากถูกผู้คนพบเข้า คงถูกขบขันเป็นแน่”
เจินเมี่ยวก้มลงมองรอยเปื้อนสองสามจุดบนแขนเสื้อตน ยามนี้นางสวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาด จึงมิได้เห็นชัดนัก จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เฉียวฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้ว แค่เปื้อนเล็กน้อยเท่านั้น ซื่อจื่อคงมิเป็นกังวลอันใดดอก รอยเปื้อนนี้ก็มิได้เด่นชัดเพียงนั้น เมื่อออกจากวังขึ้นรถม้าก็ไม่มีผู้ใดเห็นแล้ว อีกอย่าง เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ หากผู้อื่นจะขบขันข้าก็มิสนใจดอก”
นางกล่าวในใจว่าสตรีผู้นี้กังวลเกินไปแล้ว เมื่อนางขึ้นรถม้าก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่เตรียมไว้เสีย เกรงว่าแม้แต่สามีนางก็คงไม่มีทราบเป็นแน่
นางเฉียวยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่
สตรีผู้หนึ่งเข้ามาร่วมงานเลี้ยงในวังแต่กลับสวมอาภรณ์เปื้อนคราบสกปรกกลับไป แต่กลับไม่กลัวคนหัวเราะเยาะ?
ควรต้องทราบว่าที่นี่เป็นวังหลวง แค่เกิดเรื่องผิดปรกติแม้นเพียงเล็กน้อยขึ้นก็มิอาจทราบได้ว่าจะถูกผู้คนคาดเดาจนเกิดข่าวลือเช่นใดออกไปบ้าง!
การเอ่ยเตือนอันอ้อมค้อมนี้ทำให้เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจไม่น้อย “เฉียวฮูหยิน ฮูหยินทั้งหลายต่างเห็นแล้วว่าเหตุใดอาภรณ์ข้าจึงเปื้อน แม้นจะเปลี่ยนตัวใหม่พวกนางก็ยังคงไม่ลืมดอก แต่ท่านวางใจเถิด เมื่อกลับไปข้าจะมิเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน”
มีแต่วังหลวงหรือไรที่สามารถปล่อยข่าวทั้งหลายได้ นางเฉียวผู้นี้ช่างน่าสงสารจริงๆ!
นางเฉียวแทบจะพ่นโลหิตออกมาแล้ว นางเพิ่งจะนึกได้ ใช่แล้ว ผู้คนที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวในวังหลวงต่างอยู่ที่นี่กันทั้งสิ้น!
หากไท่โฮ่วมีเสด็จออกไปจากงานอย่างกะทันหัน นางเจินก็คงถูกพาไปเปลี่ยนอาภรณ์ หากเกิดเหตุอันใดที่ดึงดูดความสนใจผู้คนขึ้น เรื่องของนางก็จะถูกลบลืมไป
แต่ช่างบังเอิญเหลือเกินที่งานเลี้ยงกลับเลิกราไปเช่นนี้ นางเจินจึงมีเหตุผลที่จะไม่เปลี่ยนอาภรณ์แล้วจากไปได้ในทันที เกรงว่าเรื่องที่นางมิอาจเก็บอาการได้ในวันนี้คงถูกลือไปทั่วก่อนจะถึงพรุ่งนี้ และกลายเป็นเรื่องขบขันในวังหลวงอย่างแน่นอน!
ตะเกียบคู่นั้นก่อเรื่องใหญ่แล้ว! นางเฉียวได้แต่โมโหอยู่ในใจ
เจินเมี่ยวมองนางเฉียนด้วยสายตาเห็นใจ แล้วค่อยๆ เดินจากไป
ไท่จื่อเฟยเก็บสายตาตนทันที เล็บยาวนั้นค่อยๆ จิกลงบนฝ่ามือ
น่าตายนัก นางหลบพ้นไปจนได้!
เมื่อคิดได้ว่ายังทำสิ่งที่ไท่จื่อกำชับไม่สำเร็จ ไท่จื่อเฟยก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา
ถึงตอนนั้นไท่จื่อคงต้องตำหนินางแน่
ไท่จื่อเฟยจากได้วยใจอันหนักอึ้ง เมื่อคิดถึงความเย็นชาที่ไท่จื่อมีต่อนาง ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดในหัวใจ
“ไปสืบมาว่าเกิดอันใดขึ้นในตำหนักหลวง”
ตอนที่เจินเมี่ยวออกจากวังก็พบว่าหลัวเทียนเฉิงได้นั่งรออยู่ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว
เวลานี้หิมะยังคงโปรยปรายอยู่เช่นเดิม ปุยหิมะถูกสายลมหอบเข้าไปในคอเสื้อของผู้คน
เมื่อออกมาจากตำหนักที่อบอุ่นดุจวสันต์ฤดูก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา แม้แต่เตาอุ่นมือก็แทบจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
“ระวังลื่นด้วย” หลัวเทียนเฉิงดึงเจินเมี่ยวขึ้นบนรถม้า คนทั้งสองมุดเข้าไปพร้อมกัน เมื่อม่านอันหน้าใหญ่ของรถม้าถูกปิดลง ความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่โดยพลัน
“เหตุใดอาภรณ์จึงเปื้อนเล่า?” สายตาหลัวเทียนเฉิงจ้องมองบนแขนข้างขวาของเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวทอดถอนใจด้วยความนับถือ
เขาเป็นบุรุษแท้ๆ เหตุใดจึงช่างสังเกตถึงเพียงนี้!
นางมิทราบว่าเรื่องในตำหนักหลวงนั้นหลัวเทียนเฉิงได้วางแผนไว้หมดแล้ว มีเพียงตำหนักในเท่านั้นที่เขามิอาจวางใจและมิอาจความคุมอันใดได้ เมื่อได้พบนางจึงตรวจสอบอย่างละเอียดคราหนึ่ง หากสามารถมองทะลุได้เขาคงตรวจสอบไปถึงด้านในด้วยซ้ำจึงจะวางใจได้
“มีคนทำตะเกียบร่วง ทำให้น้ำแกงกระเด็นมาโดนข้าเท่านั้น”
“ผู้ใด” หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมลง
“ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนหย่งจยาโหว”
นางเพียงบอกว่าจะมิพูดขึ้นก่อนเท่านั้น แต่หากสามีถามนางก็ยังคงต้องพูด
หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วแค่นหัวเราะออกมา
ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น แต่นกขมิ้นกลับตามติดอยู่ด้านหลัง ผู้ใดเป็นตั๊กแตน ผู้ใดเป็นนกขมิ้น ปริศนานี้ช่างน่าสนใจนัก
น่าเสียดายที่รัชทายาทยังมิได้ทันแสดงฝีมือก็ถูกจับตัวออกไปก่อนแล้ว
“งานเลี้ยงฉลองเพิ่งดำเนินไปเพียงครึ่งไท่โฮ่วก็ตรัสว่างานเลี้ยงเลิกแล้ว หรือมีสิ่งใดเกิดขึ้นที่ตำหนักหลวง?”
หลัวเทียนเฉิงยกกาที่วางอยู่บนเตาสีเงินอันเล็กนั้นขึ้นรินน้ำชาส่งให้นาง “เพิ่งตากลมมา ดื่มชาร้อนขับไล่ความเย็นสักหน่อยเถิด”
เจินเมี่ยวรับถ้วยชามา แล้วตั้งท่ารอฟังเรื่องที่เขาจะเล่า
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เมื่อถึงพิธีถวายของขวัญนั้น ไท่จื่อทรงถวายไก่ฟ้า”
“ไก่ฟ้า?” เจินเมี่ยวรู้สึกตกใจเล็กน้อย “ได้ยินว่าไก่ฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและเป็นสิริมงคลยิ่ง แต่พบได้น้อยนัก”
“ใช่ เป็นของล้ำค่าที่หายากยิ่ง”
“หรือไก่ฟ้านั้นปัญหาที่ตรงใด? หรือว่ามันตายแล้ว?”
เจินเมี่ยวมิใช่คนที่ไร้ตาเสียหน่อย เมื่อเห็นท่าทีของไท่โฮ่วก็ทราบทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น ทั้งซื่อจื่อยังเอ่ยถึงไก่ฟ้าขึ้นมาอีก เห็นชัดว่าปัญหาอยู่ที่ไก่ฟ้านั้นแล
วันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษาของฝ่าบาทแต่กลับถวายไก่ฟ้าตาย นั้นย่อมเป็นอัปมงคลอย่างที่สุด
หลัวเทียนเฉิงหยักยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “มันยังคงมีชีวิตอยู่ดี แต่ไก่ฟ้าสีกลับสีตก กลายเป็นไก่หลากสีแทน!”
ไก่หลากสี…
ในยุคนี้ก็นิยมทำของปลอมเลียนแบบแล้วหรือ? ทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์อีก ช่างใจกล้าเหลือเกิน
“เช่นนั้นไท่จื่อเป็นอย่างไรเล่า?”
“ฝ่าบาททรงกริ้วอย่างหนัก รับสั่งให้รัชทายาทปิดประตูทบทวนความผิด แล้วทรงเสด็จออกจากตำหนักหลวงทันที”
ผู้มีตำแหน่งถึงรัชทายาทแต่กลับถูกตำหนิต่อหน้าขุนนางทั้งบุ๋นบู๊เช่นนี้ ย่อมมิใช่แค่เรื่องการเสียเกียรติและศักดิ์เท่านั้น
ตำแหน่งของรัชทายาทในตอนนี้ช่างสุ่มเสี่ยงนัก
รัชทายาทเป็นฐากของแผ่นดิน ทางตะวันออกมีโจรสลัดก่อความวุ่นวาย ทางตะวันตกมีชนเผ่าข้างเคียงเข้ามาก่อกวนราษฎร ทางเหนือมีลี่อ๋องที่คอยจดจ้องหาโอกาส หากมีการเปลี่ยนแปลงรัชทายาท ใต้หล้าย่อมได้รับผลกระทบ
ฝ่าบาทกลับมิได้เลอะเลือน ต่อให้ทรงไม่พอพระทัยต่อรัชทายาทอย่างที่สุดก็ไม่มีทางปลดออกจากตำแหน่งภายในเร็ววันนี้แน่
ทว่ามีวาจาเก่าแก่ประโยคหนึ่งกล่าวว่าผู้ที่อยู่ในสถานการณ์มักมองไม่ขาด ที่เขาต้องการมิใช่ให้ฝ่าบาทลงมือ แต่เป็นการทำให้รัชทายาทกระทำการอันเลอะเลือน
เมื่อทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตำแหน่งรัชทายาทนั้นเริ่มคลอนแคลน รัชทายาทที่สูญเสียความมั่นคงทางจิตใจไปเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอ ไหนเลยจะสามารถอยู่นิ่งได้
เมื่อจิตใจไม่มั่นคง เพียงผลักเบาๆ สักครา รัชทายาทก็ย่อมกระโดดข้ามกำแพง วิ่งเข้าไปหาความตายด้วยตนเองแล้ว
เรื่องไก่ฟ้าเปลี่ยนเป็นไก่หลากสีนั้นก็เป็นเพียงการติดปีกให้เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วอีกสักหน่อยเท่านั้น ทุกคนย่อมมีวิจารณญาณของตนทั้งสิ้น
หลังจากนางเจี่ยงกลับถึงจวนเจี้ยนอานปั๋วก็ไปพูดคุยกับนายท่านผู้สืบทอดเรื่องฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่งทันที
เจินเจี้ยนเวินได้ฟังก็หน้านิ่ว “เหตุใดนางหลี่จึงปฏิเสธเล่า? ไม่มีทาง…นี่จักต้องเป็นความคิดของน้องรองแน่!”
นางเจี่ยงขมวดคิ้ว “ท่านพี่ ปฏิเสธไปมิใช่เป็นเรื่องดีหรือ? ขุนนางสกุลเมิ่งเป็นพ่อตาขององค์ชายสาม จิ้งเอ๋อร์เป็นอนุองค์ชายหก ภายหน้าหากมีอันใดเกิดขึ้น พวกเราตระกูลปั๋วกลับถูกบีบให้อยู่ตรงกลาง เช่นนี้การจะเลือกซ้ายหรือขวาก็เป็นเรื่องยากแล้ว”
“สตรีเช่นเจ้าจะรู้อันใด!” เจินเจี้ยนเหวินหน้าบึ้งไปทันที
หากรัชทายาทถูกถอดจากตำแหน่ง องค์ชายสามนั้นมีโอกาสได้ขึ้นแทนมากที่สุด หากจวนปั๋วเลือกได้ถูกข้าง ภายหน้าจักต้องไปได้ไกลอย่างมิอาจคาดถึงแน่
ส่วนจิ้งเอ๋อร์ อย่างไรก็เป็นแค่บุตรที่เกิดจากอนุ หากองค์ชายหกยืนอยู่คนละข้างกับองค์ชายสาม เขาก็เพียงพูดว่าบุตรของจวนปั๋วมิรักดียอมไปเป็นอนุ จวนปั๋วจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับนางนานแล้ว
เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน นางเจี่ยงแค่มองก็เข้าใจทันทีว่าเขาคิดอันใด ในใจพลันเกิดความเหน็บหนาวขึ้นมาสายหนึ่ง
ภาพความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อหลานอี๋เหนียงของคนตรงหน้าเพิ่งผ่านตาไปไม่นานนี่เอง แต่พริบตาที่อนุรักจากไป เขากลับสามารถละทิ้งบุตรสาวตนได้ทุกเมื่อ
บุรุษผู้นี้ ช่างเลือดเย็นนัก!
นางเจี่ยงยิ้มเยาะออกมา “ท่านพี่ ข้าเป็นสตรีมิเข้าใจเรื่องราวพวกนี้จริงๆ หากท่านมีแผนการก็มิสู้ไปปรึกษากับน้องรองเถิด”
บิดาของเจ้าห้ายังอยู่ก็ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะไปเจ้ากี้เจ้าการได้
“ฮูหยินพูดถูก เย็นนี้มิต้องรอข้ากินข้าวล่ะ ข้าจะไปดื่มกับน้องรองสักหน่อย”
เจินเจี้ยนเหวินรีบร้อนออกไปในทันที