วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 233
หลังจากกลับจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว หลัวเทียนเฉิงก็ตรงกลับไปที่ศาลาว่าการทันที และเจินเมี่ยวก็กลับจวนเจิ้นกั๋วกงไปเพียงลำพัง
ส่วนชิงไต้ หลัวเทียนเฉิงบอกว่าให้รอสักสองวันค่อยเข้าจวน
เจินเมี่ยวก็มิได้ถามอันใดมาก
นางมิใช่คนโง่ ท่านลุงรองให้นางแยกตัวออกไป ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับที่ชิงไต้ปรากฏตัวขึ้นที่จวนเจี้ยนอานปั๋วอย่างประหลาดก็เป็นได้
แต่นางก็ทราบถึงความสามารถของตนดี ในเมื่อไม่เข้าใจการต่อสู้ภายในราชสำนัก เช่นนั้นก็เชื่อฟังสักหน่อยจะดีกว่า อย่างน้อยก็มิสร้างความเดือดร้อน
วันต่อมาเจินเมี่ยวก็ได้รับหนังจิ้งจอกหิมะที่นายท่านรองสกุลเจินส่งมาให้ นางดีใจอย่างที่สุด
ท่านลุงรองของนางช่างเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยนยิ่ง ของขวัญที่ส่งมาก็ถูกใจยิ่ง หนังจิ้งจอกหิมะนี้หากนำไปเย็บเข้ากับหมวกทั้งสวยงามและอุ่นยิ่ง มีประโยชน์อย่างที่สุด
นางนั้นไม่ทราบเลยว่าที่ลุงรองส่งหนังจิ้งจอกหิมะมาให้เป็นเพราะข่าวลืออันประหลาดนั้นได้ช่วยให้จวนปั๋วพ้นวิกฤตครานี้มาได้ เขาจึงยิ่งรักเอ็นดูหลานสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก เดิมเขาคิดจะมอบให้มารดาเพื่อแสดงความกตัญญู แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้จึงส่งไปให้หลานสาวแทน
เจินเมี่ยวชมชอบอย่างยิ่ง แต่นางหลี่กลับโกรธแทบตาย นางร่ำไห้พลางกล่าวว่า “ท่านพี่ หนังจิ้งจอกหิมะนั้น ท่านไม่ให้ข้ากับลูกของเรา หากมอบให้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นการแสดงความกตัญญูก็ช่างเถิด แต่ท่านกลับมอบให้เจ้าสี่ หากข้ามิเห็นกับตาว่านางเวินตั้งครรภ์และคลอดนางออกมา คงคิดว่าเจ้าสี่เป็นลูกท่าน ปิงเอ๋อร์กับอวี้เอ๋อร์นั้นเก็บมาจากข้างนอกเป็นแน่!”
นายท่านรองสกุลเจินจนใจยิ่ง แต่ยังคงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ฮูหยิน ข้าเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ หนังจิ้งจอกหิมะนั้นมิควรคู่กับเจ้าดอก แต่หากเจ้าชอบ วันหน้าข้าจะหามาให้”
“ท่านพี่ นี้ไม่ใช่เรื่องหามาให้หรือไม่ แต่ในใจท่านนั้นเห็นเจ้าสี่สำคัญกว่าเราสามแม่ลูกใช่หรือไม่?”
นายท่านรองสกุลเจินขมวดคิ้วมุ่น แล้วลุกยืนขึ้น “หลานสาวกับบุตรสาวเดิมก็มิต่างกันเท่าใดนัก วันนี้ข้ายังมีเรื่องอีกมาที่ยังจัดการไม่เสร็จ ข้าไปห้องตำราก่อนแล้วกัน ฮูหยินก็รีบพักผ่อนเถิด” กล่าวจบก็เอามือไพล่หลังเดินออกไป
เหลือไว้เพียงนางหลี่และเจินปิง เจินอวี้ รวมถึงอาหารที่เย็นชืดบนโต๊ะด้วย
ด้านนอกฟ้ามืดแล้ว แสงดาวริบหรี่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มเมฆ มีเพียงสายลมที่มุดเข้าไปในคอเสื้อ ไม่นาน ความอบอุ่นภายในห้องก็ถูกขจัดออกไป กระทั่งหัวใจยังเหน็บหนาว
นายท่านรองสกุลเจินยิ้มบางเบา ปลายจมูกมีควันสีขาวพ่นออกมา
ดูท่าคงหิมะคงใกล้จะตกแล้ว
“ท่านพ่อ รอก่อนเจ้าค่ะ” เสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง
นายท่านรองสกุลเจินหันกลับไปก็เห็นบุตรสาวสองคนเดินถือโคมออกมาจากเรือน
นายท่านรองหยุดฝีเท้าลงทันทีแล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดปิงเอ๋อร์ อวี้เอ๋อร์จึงออกมาเล่า?”
เจินอวี้ใจร้อนปากไว นางเม้มปากแล้วตอบว่า “อิ่มแล้ว ข้ากับท่านพี่จะกลับเรือนพอดี จึงถือโอกาสไปส่งท่านพ่อด้วย”
นายท่านรองจัดผมที่ยุ่งเหยิงเพราะถูกลมพัดนั้นให้เจินอวี้ แล้วเอ่ยว่า “ยิ่งดึกลมยิ่งหนาว พวกเจ้าเดินเร็วเกินไป กลับถึงเรือนอย่าลืมดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลเล่า”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ” เจินอวี้ยิ้มหวาน
เจินปิงกลับรู้สึกว่าวันนี้บิดาดูเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ ขอบตาที่ขาวสะอาดดุจหยกนั้นคล้ายถูกย้อมด้วยคราบสีคล้ำ แม้นจะดูบางเบาจนยากจะสัมผัสได้แต่กลับมิอาจลบออกได้
เจินปิงพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา นางผู้ซึ่งอ่อนโยนและรู้ความเสมอมากลับอดถามออกไปมิได้ว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ตำหนิท่านแม่…”
นางหลี่เป็นบุตรของอนุ แม่ใหญ่ที่เลี้ยงดูก็มิได้ใจกว้างอันใด เมื่อเยาว์วัยจึงได้รับความทุกข์ทรมานมาไม่ได้น้อย ไม่แปลกที่นางจะกลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใด
บิดายังเป็นบุรุษที่รูปงามเพียบพร้อมอย่างหาใดเปรียบ เกรงว่าในใจของมารดาคงกลัวว่าจะต้องสูญเสียบิดาให้ผู้อื่นอยู่ทุกเมื่อเป็นแน่ จึงยิ่งคอยจับผิดท่าทีที่บิดามีต่อผู้อื่นอยู่ร่ำไป
เจินปิงที่เดิมคิดว่ามารดานั้นออกจะโง่เขลาเกินไป ไม่มองเหตุผลที่แท้จริง ทว่าเมื่อเผชิญเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย รับรู้ถึงความยากลำบากต่างๆ กลับรู้สึกว่ามารดานั้นน่าสงสารเหลือเกิน
เรื่องที่บุตรสาวยังคิดได้ มีหรือที่นายท่านรองจะคิดไม่ได้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา “ปิงเอ๋อร์เป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ วางใจเถิด พ่อไม่ถือสาดอก”
หากถือสาเกรงว่าคงไม่ผ่านมีชีวิตข้ามผ่านไปในแต่ละวันได้
ชีวิตคนเรา เรื่องที่มิสมหวังมีแปดเก้าส่วนในสิบส่วน
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงได้ดีกับท่านแม่เพียงนี้เล่า?” เจินอวี้มองใบหน้างดงามดุจหยกของบิดาแล้วก็อดถามออกมามิได้
นายท่านรองอึ้งงันไปเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า “นี่มิเรียกว่าดี แต่พ่อรู้ว่าตนเองควรทำสิ่งใดเท่านั้น วันข้างหน้า พวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
เขาไม่มีความรักมอบให้นางหลี่ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาไร้หนทางบังคับใจตน สิ่งที่ให้ได้มีเพียงการให้อภัยและให้เกียรติอันพึงมีต่อภรรยาเท่านั้น
เมื่อเห็นบุตรสาวทั้งสองดูมึนงง เขาก็ยิ้ม “ถึงห้องตำราแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปเถิด ระวังลื่นด้วย”
เจินปิง เจินอวี้ย่อเข่าคารวะ แล้วเดินถือโคมไฟจากไป
กระทั่งมองไม่เห็นเงาของบุตรสาวทั้งสองแล้ว นายท่านรองจึงผลักประตูเดินเข้าไปในห้องตำรา
พริบตาก็ถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว อากาศเริ่มหนาวขึ้นทุกขณะ ทว่าเมืองหลวงกลับปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดีและเป็นสิริมงคล
วันเฉลิมพระชนมพรรษาใกล้เข้ามาแล้ว ร้านอัญมณีเก่าแก่อันลือชื่อต่างมีคนเดินเข้าออกอย่างล้นหลามทุกวัน
รัชทายาทกลับบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว เขายักเท้าถีบต้นปะการังที่สูงเกือบเท่าคน
ขันทีที่มือเท้าว่องไวผู้หนึ่งรีบรุดเข้าไปกอดขารัชทายาทไว้ “รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระทัยเย็นก่อน”
ปะการังที่สูงเกือบเท่าคนต้นนี้เป็นของหายากยิ่ง ยามนี้รัชทายาททรงกริ้วจึงคิดถีบมันให้พังพินาศ แต่เมื่อนึกเสียดายขึ้นมา ผู้ที่เคราะห์ร้ายกลับเป็นพวกเขาเหล่าบ่าวไพร่
เสียงหยกกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ไท่จื่อเฟยซูหยาเดินเข้ามา นางรู้สึกเพียงว่าภายในห้องนั้นดูเหน็บหนาวกว่าด้านนอกเสียอีก
“ไท่จื่อ มีอันใดหรือเพคะ?” เมื่อมองปะการังที่แสนดึงดูดสายตาคนครู่หนึ่ง ตาก็เป็นประกายขึ้นมา “นี่เป็นปะการังที่พวกเขาส่งมาจากตงอวี๋กระมัง สวยงามจริงๆ เสด็จพ่อทอดพระเนตรแล้วต้องทรงชอบเป็นแน่”
ปะการังสีแดงเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย ทั้งยังเล่ากันว่าสามารถปัดเป่าความชั่วร้ายได้อีกด้วย แต่การมอบปะการังที่สูงถึงเพียงนี้ให้กับเสด็จพ่อในครานี้ แม้นมินับเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุด แต่ก็คงไม่น้อยหน้าไปกว่าของชิ้นอื่นแน่ และที่สำคัญที่สุดคือมันงดงามยิ่ง อย่างไรก็ไม่มีทางผิดคาดไปได้
“เสด็จพ่อจะทรงชอบงั้นหรือ? ช่างน่าขำสิ้นดี!” รัชทายาทได้ฟังก็ยิ่งมีโทสะ
ไท่จื่อเฟยส่งสายตาให้ขันทีและนางกำนัลทุกคนออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงความว่างเปล่าในบัดดล
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่เพคะ?”
รัชทายาทสะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงยกถ้วยน้ำชาขึ้นซดโดยแรง แล้วเอ่ยด้วยโทสะว่า “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าน้องสามเตรียมปะการังที่สูงท่วมศีรษะคนเพื่อมอบให้เสด็จพ่อ มีปะการังของเขาอยู่ หากข้ามอบปะการังของข้าออกไป มิใช่เรื่องอันน่าขบขันอย่างที่สุดหรอกหรือ!”
กล่าวถึงตรงนี้ก็ยิ่งมีโทสะขึ้นไปอีก
น้องสามอาศัยความมั่งคั่งของตระกูลมารดา ช่างรังแกกันเกินไปจริงๆ!
ไท่จื่อเฟยเลิกคิ้ว “หรือน้องสามรู้อยู่แล้วว่าไท่จื่อจะมอบสิ่งใดเป็นของขวัญ?”
รัชทายาทแค่นหัวเราะเสียงเย็น “มีอันใดน่าแปลกใจเล่า ข้าก็ยังรู้ว่าเขาจะมอบสิ่งใดเป็นของขวัญมิใช่หรือ?”
ปะการังนี้ส่งมาจากตงอวี๋ ระยะทางแสนไกลจึงยากจะเก็บงำความลับเอาไว้ได้
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะกลับจวนรองเสนาบดีสักครา ดูว่าจวนท่านพ่อจะมีสิ่งของอันใดที่เหมาะสมหรือไม่”
รัชทายาทกำพร้าพระมารดาตั้งแต่เยาว์วัย สิ่งของที่ได้มาทุกอย่างล้วนมาจากการผู้อาวุโสมอบให้เป็นรางวัล หากเทียบกับองค์ชายที่มีตระกูลพระมารดาคอยหนุนหลังแล้ว รัชทายาทต้องเสียเปรียบในส่วนนี้ไม่น้อยเลย
เมื่อได้ยินซูหยาเอ่ยเช่นนี้ รัชทายาทก็แค่นเสียงเย็น “มิจำเป็น ข้ามีวิธีของข้า”
แม้นตระกูลซูจะมิได้ย่ำแย่ แต่อย่างไรก็เกิดมาจากตระกูลยากจน สมบัติจึงมีไม่มาก หากนำทรัพย์สิ้นไปแข่งขันกับผู้อื่นก็ไม่มีอันใดดีเลย
งานเฉลิมพระชนมพรรษาครานี้ ในเมื่อมิอาจแข่งเรื่องสิ่งของล้ำค่า เช่นนั้นก็แข่งด้วยอุบายแทนรัชทายาทรีบถ่ายทอดคำสั่งที่คิดไว้ แล้วกำชับอีกสองสามประโยค
ภายในห้องธรรมดา ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง บุรุษสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากัน ผู้หนึ่งอาภรณ์สีม่วง ผู้หนึ่งอาภรณ์สีน้ำเงิน ต่างก็องอาจรูปงามด้วยกันทั้งสิ้น
องค์ชายหกหยิบเล่นถ้วยชาที่หน้าตาธรรมดาใบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “อ้อ เช่นนี้หมายความว่าไท่จื่อก็สืบจนทราบข่าวแล้วงั้นหรือ?”
ที่อำเภอคายผิงมีไก่ฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสิริมงคลปรากฏตัวขึ้น ช่างบังเอิญเหลือเกินที่นายอำเภอของคายผิงนั้นเป็นลุงของนายท่านผู้สืบทอดจวนมู่เอินโหว
นายท่านผู้สืบทอดจวนมู่เอินโหวที่สิ้นไปนั้นมิใช่ใครอื่น คือพี่ชายของจ้าวหวงโฮ่วนั้นเอง และเป็นบิดาของจ้าวเฟยชุ่ย เขาตายในเหตุการณ์ลอบสังหารที่จวนหย่งอ๋อง
หลังจากนั้นพี่ชายของจ้าวเฟยชุ่ยก็ขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งแทน แต่เขาต้องไว้ทุกข์สามปี จวนมู่เอินโหวจึงค่อยๆ เงียบหายไปในหมู่ผู้มีบรรดาศักดิ์ในเมืองหลวง
นายอำเภออำเภอคายผิงรักเอ็นดูหลานชายยิ่ง จึงเกรงว่าหลานชายที่มิอาจเข้าวังได้จะสูญเสียความโปรดปรานจากจักรพรรดิ ทำให้ตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นไม่มั่นคง จึงคิดจะหาสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลนี้ให้หลานชายมาถวายแด่องค์จักรพรรดิจะได้รับความเอ็นดูจากจักรพรรดิ เมื่อได้ไก่ฟ้าตัวนี้มาจึงส่งเข้ามาในเมืองหลวงอย่างเงียบๆ
แน่นอนว่าข่าวนี้ก็ไปเข้าหูรัชทายาทที่กำลังร้อนใจหาของขวัญอันเหมาะสมอยู่พอดี
“คิดว่าคนของไท่จื่อคงกำลังเดินทางมาแล้ว” ใบหน้าหลัวเทียนเฉิงเต็มไปด้วยความเคารพ แต่ก็มิสูญเสียความสง่างาม
องค์ชายหกมองเขาอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าไม่รู้ว่าคุณชายผู้สืบทอดที่มีอนาคตไกลเช่นท่าน เหตุใดจึงยอมมาภักดีกับองค์ชายธรรมดาๆ เช่นข้า?”
คนทั้งสองติดต่อกันมานาน แต่ก็คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด โดยเฉพาะองค์ชายหก เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากหลัวเทียนเฉิงที่กำลังเป็นที่โปรดปรานกลับยากที่จะไม่เกิดความสงสัยแคลงใจ
ครานี้นับเป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองพูดคุยถึงหัวข้ออันละเอียดอ่อนเช่นนี้
หลัวเทียนเฉิงทราบว่าหากผ่านด่านนี้ไปได้ เขาถึงจะถูกยอมรับจากองค์ชายหกเช่นเซียวซื่อจื่อแห่งจวนหย่วนเวยโหว มิเช่นนั้นก็คงเป็นได้เพียงผู้ร่วมมือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหน้าคงมิพ้นตกอยู่ในสถานการณ์กระต่ายม้วยต้มสุนัขอีกครั้งเป็นแน่
“หม่อมฉันเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสาม ในสายตาคนมากมายอาจเรียกได้ว่าก้าวเดียวย่างถึงแผ่นฟ้า แต่ผู้ที่คิดว่าถูกหม่อมฉันเหยียบย่ำจนได้ขึ้นสู่สวรรค์ได้นั้นก็คือไท่จื่อ หม่อมฉันเป็นคนรักชีวิตย่อมต้องเลือกวีรบุรุษคอยช่วยเหลือ”
องค์ชายหกแค่นเสียงเย็นชา “เลือกวีรบุรุษไว้คอยช่วยเหลือหรือ เจ้าช่างตรงไปตรงมาจริงๆ! แล้วใจอันภักดีต่อจักรพรรดิเล่า?”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มน้อยๆ “หม่อมฉันมิใช่คนในตำหนักรัชทายาท ตอนนี้มีใจภักดีต่อฝ่าบาทแต่พระองค์เดียว”
องค์ชายหกจ้องมองหลัวเทียนเฉิงอยู่นาน แล้วยิ้มออกมาทันใด “หลัวซื่อจื่อ ท่านยังมิได้ตอบว่าเหตุใดจึงเลือกข้า?”
“องค์ชายไม่เชื่อเสน่ห์ของพระองค์เอง?”
องค์ชายหกเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่ ข้าไม่เชื่อว่าผู้อื่นจะสายตาเฉียบแหลมถึงเพียงนั้น”
หลัวเทียนเฉิงได้ฟังก็ยิ้ม “เผอิญว่าสายตาของหม่อมฉันนั้นเฉียบแหลมยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดคนทั้งสองก็ยิ้มออกมาอย่างรู้กัน
หลัวเทียนเฉิงรู้ว่าเขากับเซียวซื่อจื่อนั้นไม่เหมือนกัน องค์ชายหกไม่มีทางหมดความแคลงใจต่อเขาไปได้ แต่เขาก็มิได้คิดจะเป็นสหายขององค์ชายหกอยู่แล้ว คนเช่นนั้นยามร่วมสร้างแผ่นดินและรักษาแผ่นดินกลับมิอาจพบจุดจบที่ดีเท่าใดได้
เขาต้องการจะกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาขององค์ชายหก ต่อให้กังวลเพียงใด เมื่อยามที่ต้องกำจัดเขาจริงๆ ก็ต้องรู้สึกเจ็บปวดดั่งหัวใจฉีกขาด
องค์ชายหกเองก็พอใจยิ่ง
เขามิได้ต้องการหนอนที่เอาแต่รับคำ หากกลัวว่าขุนนางมีความสามารถมากเกินไปจึงมิกล้าใช้ เช่นนั้นเขาก็เป็นคนขี้ขลาดยิ่ง เช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องคิดถึงตำแหน่งนั้นจะดีกว่า
พริบตาก็มาถึงวันที่ทุกคนรอคอย ในวันเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา หิมะก็ร่วงโปรยลงมา ทุกที่เต็มไปด้วยหิมะสีเงินยวง รถม้าของแต่ละตระกูลค่อยๆ ออกเดินทางไปยังพระราชวังตั้งแต่ฟ้ายังมิทันสาง