วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 227
องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ องค์ชายหกเสด็จ…
เจินเมี่ยวเมี่ยวคล้ายถูกสกัดจุด ได้แต่นั่งนิ่งเป็นดินเหนียวปั้นอยู่บนเก้าอี้
เจินไท่เฟยเป็นคนละเอียด เมื่ออากาศหนาวเย็นเช่นนี้ บนเก้าอี้จึงปูด้วยขนเตียวขาวที่ตัดทรงสวยงามเป็นรูปดอกเหมย
ขนเตียวขาวอันน่าตาย!
หลังจากนางได้ย้อมสีดอกเหมยลงบนขนเตียวทรงดอกเหมยนั้นก็ให้องค์ชายหกได้ชมดอกเหมยงั้นหรือ?
แค่เจินเมี่ยวคิดว่าตนต้องลุกขึ้นถวายพระพรองค์ชายหก ความหวาดหวั่นก็กระจายไปทั่วร่างๆ
ดังนั้นองค์ชายหกที่สวมอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างเดินเข้ามาด้วยมุมปากเคลือบรอยยิ้มจึงเห็นท่าทีเหม่อลอยอึ้งงันของนางเข้าพอดี
เจินไท่เฟยกลับลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าหก เหตุใดวันนี้จึงมาที่นี่ได้เล่า?”
องค์ชายหกปิดบังรอยขมขื่นนั้นไว้ในดวงตาแล้วเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะเบิกบาน “ไท่เฟยกำลังจะไล่หม่อมฉันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เจินไท่เฟยมองเขาคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”
เจินเมี่ยวมือเท้าแข็งไปหมด จึงเป็นธรรมดาที่นางจะมิเห็นบรรยากาศอันแปลกไประหว่างเจินไท่เฟยและองค์ชายหก
เจินไท่เฟยกำลังรู้สึกหวาดกลัวต่อองค์ชายหกอยู่ แต่เมื่อหันไปเห็นเจินเมี่ยวที่นั่งนิ่งไม่ขยับก็ขมวดคิ้วทันที
เด็กโง่งมผู้นี้…นี้มิใช่ยิ่งเป็นการดึงดูดความสนใจคนมากกว่าเดิมอีกหรือ
บางคราการคิดจะให้ผู้อื่นมองข้ามตนนั้นไม่ยาก แค่ทำตัวปกติอย่างคนส่วนใหญ่ก็พอแล้ว
ดังคาด องค์ชายหกจึงเดินเข้าไปหาแล้วมองเจินเมี่ยวด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม น้ำเสียงไม่เบาไม่ดังไม่เร็วไม่ช้า “คุณหนูสี่สกุลเจิน เห็นข้าแล้ว เจ้าควรทักทายสักหน่อยหรือไม่?”
เจินเมี่ยวยังคงนั่งแสร้งโง่งมต่อไป “ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ”
องค์ชายหกลูบคางตน “อืม กฎระเบียบเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อใดทำไมข้าไม่รู้เล่า? ตอนนี้ต่างพากันนั่งทักทายหมดแล้วหรือ?”
เจินเมี่ยวลอบกัดฟันตน
จะไม่ให้นางผ่านด่านนี้ไปง่ายๆ เลยใช่หรือไม่!
เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นองค์ชายหกมองมาพอดี ดวงตาเรียวนั้นหยักโค้งลงเป็นเส้นโค้งอันน่าหลงใหล มุมปากห้อยแขวนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อันทรงเสน่ห์
เจินเมี่ยวอยากจะพูดเหลือเกินว่า รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นนี้มันตกยุคไปแล้ว ท่านทราบหรือไม่?
แน่นอนว่าเจินเมี่ยวมิกล้าพูดออกไป ภายใต้สายตาอันบีบคั้นนั้นขององค์ชายหกนางก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงยื่นมือที่ทาเล็บเรียบร้อยแล้วนั้นออกไปพลางเอ่ยว่า “ไท่เฟยทาเล็บให้หม่อมฉัน ทรงตรัสว่าให้อยู่นิ่งๆ เพคะ”
กล่าวจบก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความยินดี นางช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง
นางดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าองค์ชายหกทรงให้ความเคารพต่อไท่เฟยเป็นอย่างยิ่ง
เจินไท่เฟยอดกุมขมับไม่ได้
เด็กสาวผู้นี้อยู่กับชาวบ้านจนโง่เขลาไปแล้วหรือ เขลาเสียจนนางมิอาจทนดูได้
“เช่นนั้นหรือ…” องค์ชายหกหัวเราะแผ่วเบา “เช่นนั้นข้าคงมาไม่ถูกเวลาเอง ไท่เฟยท่านทาเล็บให้นางต่อเถิด”
ไท่เฟยชำเลืองมององค์ชายหกคราหนึ่งแต่มิเอ่ยวาจาใด แล้วหยิบแปรงเล็กๆ ขึ้นมาทำต่อ
“เจ้าหกหากไม่มีอันใดก็กลับไปก่อนเถิด”
เจินเมี่ยวดีใจยิ่ง
องค์ชายหกคอยสังเกตสีหน้านางอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทีของหน้าก็มิได้รู้สึกเสียใจกับการออกปากไล่ตนของไท่เฟยถึงเพียงนั้นแล้ว ทั้งยังเอ่ยเว้าวอนด้วยรอยยิ้มว่า “ไท่เฟย อย่างไรก็ให้หม่อมฉันดื่มชาสักถ้วยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ยกชามา” เจินไท่เฟยเอ่ยกำชับนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง
อย่างไรก็เป็นเด็กที่นางเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ แม้นนางจะล่วงรู้ความคิดอันวิปริตนั้นของเขาแล้วแต่ก็ยากจะทำเย็นชาต่อเขาได้
องค์ชายหกมาที่นี่ประจำ นางกำนัลจึงทราบดีว่าเขาชอบชาชนิดใด ไม่นานก็ยกชาบุปผาเข้ามาถ้วยหนึ่ง
องค์ชายหกค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
รอกระทั่งเจินไท่เฟยทาเล็บจนเสร็จจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “นางเจิน เรามาทำการทักทายกันใหม่อีกสักรอบเถิด”
เจินเมี่ยวเกือบจะร่วงตกจากเก้าอี้ไปทันใด
องค์ชายหกเห็นท่าทีของเจินเมี่ยวแล้วก็พาให้เบิกบานใจยิ่ง “คุณหนูสี่สกุลเจิน เหตุใดต้องทำท่าดั่งแม้ตายก็ไม่ยอมเช่นนั้นด้วยเล่า ข้ามิได้คิดจะบังคับอันใดเจ้าสักหน่อย”
“เจ้าหก!” เจินไท่เฟยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “ชาก็ดื่มแล้ว ควรกลับได้แล้ว”
องค์ชายหกถอนหายใจแผ่วเบาแล้วลุกขึ้น “เช่นนั้นหม่อมฉันทูลลา”
ขณะที่เอ่ยวาจาสายตาก็มองไปที่เจินเมี่ยว แล้วจึงค่อยๆ เดินจากไป
เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมาโดยแรง มือที่กำกระโปรงอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก
ทุกคราที่เห็นเขามักไม่มีเรื่องดี ต่อไปนางคงต้องดูฤกษ์ยามก่อนค่อยออกจากเรือนจะได้มิพบองค์ชายหกอีก!
“เจ้าสี่ ที่แท้แล้วมีเรื่องอันใดกันแน่? ”
เจินเมี่ยวมองบรรดานางกำนัลที่อยู่ในตำหนัก
นางเองก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรีเช่นกัน!
เจินไท่เฟยเข้าใจจึงโบกมือให้นางกำนัลและขันทีออกไป แล้วจึงเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “พูดมาเถิด ที่แท้เจ้ามีเรื่องอันใดกันแน่?”
เรื่องที่เกิดขึ้นที่เป่ยเหอต่างแพร่กระจายไปทั่วแล้ว แผนการร้ายต่างๆ ในเรื่องนี้อาจมิได้มีแต่คนนอก หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าหก?
หรือในช่วงที่เจินเมี่ยวหายตัวไปนั้นนางพบหลักฐานอะไรบางอย่างเข้า?
เจินไท่เฟยเกิดหวาดหวั่นใจขึ้นมา
นางเข้าใจเจ้าหก
เด็กคนนั้นแม้นภายนอกจะดูไร้แก่นสารไม่ยี่หระสิ่งใด แต่จริงๆ แล้วเขามีความทะเยอทะยานซ่อนอยู่
รัชทายาทค่อนข้างอ่อนแอ ยากจะทำการใหญ่ได้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดการใหญ่โดยสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ฝ่าบาทรังเกียจรัชทายาทก็เป็นได้
กล่าวเช่นนี้ เรื่องพยัคฆ์ดุร้ายนั้นก็อาจมีคนเจตนาล่อมันเข้ามา
เจินไท่เฟยผู้ฉลาดปราดเปรื่องคิดไปสารพัดนับพันนับร้อยแผนการที่อาจจะเกิดขึ้นในเวลาชั่วขณะนี้
พลันได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “ไท่เฟย ระดูหม่อมฉันมา ตอนนี้คงเปื้อน…”
“ข้า…” เจินไท่เฟยแทบหายใจไม่ทันไปชั่วขณะ มุมปากยกขยับร้องเรียกให้นางกำนัลเข้ามา แล้วชี้ไปที่เจินเมี่ยว “ไปหาอาภรณ์สีใกล้เคียงกับฮูหยินผู้สืบทอดสวมอยู่มา อืม…เอาผ้าซับระดูผืนใหม่มาด้วยแล้วประคองฮูหยินผู้สืบทอดไปที่ห้องอาบน้ำ”
นางกำนัลใหญ่ที่ได้รับความไว้วางใจกระทำเรื่องใดล้วนมิแตกตื่นนั้น เมื่อได้ยินคำกำชับที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้ก็ยังต้องอึ้งงันไปเล็กน้อยแล้วหมุนตัวออกไป
“ไท่เฟย…” สีหน้าเจินเมี่ยวเต็มไปด้วยการฟ้องร้อง
เจินไท่เฟยกลอกตาคราหนึ่ง “ข้าอายุปูนนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้าจะมีผ้าซับระดูหรือ? เจ้าควรจะดีใจที่ย่าเจ้าเป็นคนรอบคอบ และนางกำนัลพวกนั้นคล่องแคล่วว่องไว มิเช่นนั้นเจ้าคงได้ใช้ของผู้อื่นที่ซักสะอาดแล้วเท่านั้น”
เจินเมี่ยวคล้ายถูกฟันเข้าให้ในพริบตา
ไท่เฟย จำต้องพูดเรื่องที่น่าขนหัวลุกเช่นนั้นออกมาให้เลยหรือไร?
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากวังไปอย่างรีบร้อน
คนในวังได้ยินลมก็บอกเป็นฝน เมื่อเห็นสีหน้ามิใคร่สู้ดีของเจินเมี่ยวก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่เฟยนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”
“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”
“ได้ยินมาว่า ตอนที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดออกมาจากตำหนักไท่โฮ่วนั้นสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง”
“ที่แท้แล้วเป็นหวงโฮ่วหรือไท่โฮ่วกันแน่?”
“หลังจากที่ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงออกมาจากตำหนักหวงโฮ่วและไท่โฮ่วก็มีสี่หน้าย่ำแย่ยิ่ง ได้ยินมาถูกตำหนิเพราะทำตัวมิเหมาะสม”
เกี้ยวของเจินเมี่ยวยังมิทันถึงจวนกั๋วกงด้วยซ้ำ เสียงเล่าลือกลับแพร่ออกไปดั่งพายุพัดไฟให้ลุกลามก็มิปาน
เมื่อถึงยามบ่ายก็มีราชโองการประกาศให้คุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน ขุนนางขั้นสาม ทั้งปูนบำเหน็จทองสองร้อยชั่ง เงินหนึ่งพันตำลึง ที่นาอีกห้าร้อยฉิ่ง[1]…
เงินทองนั้นมิต้องพูดถึง แต่ที่นานั้นเป็นสิ่งที่พระราชทานให้แก่หลัวเทียนเฉิง อนาคตหากแยกเรือนไปก็มิจำเป็นต้องแบ่งให้ผู้ใด
มิต้องกล่าวถึงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปของคนทั้งหลายในจวน
กระทั่งสุดท้ายแม้แต่นายท่านสี่สกุลหลังก็ถูกย้ายไปฝึกทหารที่ห้าค่าย แต่กลับมิเอ่ยถึงรางวัลปูนบำเหน็จของเจินเมี่ยวแม้แต่น้อย
เจินเมี่ยวช่วยชีวิตองค์หญิงไว้จึงออกจะแปลกผิดปรกติอยู่บ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้คนไปสอบถามข่าวลือต่างๆ แล้วจึงเรียกเจินเมี่ยวมาถามว่า “หลานสะใภ้ มีอันใดไม่เหมาะสมเกิดขึ้นที่ตำหนักไท่โฮ่วและหวงโฮ่วหรือไม่?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“แล้วไท่โฮ่วกับหวงโฮ่วทรงมีพระอารมณ์เช่นใดบ้างหรือ?”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “พระอารมณ์ดียิ่ง ไท่โฮ่วยังตรังว่ารอให้องค์หญิงชูสยาเสด็จกลับมาก่อนจะทรงรับสั่งให้ข้าเข้าวังอีกครา”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดไม่ตกได้แต่โบกมือให้นางออกไปได้ แล้วครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอีกครา
เจินเมี่ยวกลับมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจสักนิด
ความคิดของบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายล้วนยากจะคาดเดา หากต้องครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้ก็มิสู้เอาทำเรื่องที่ควรต้องทำจะดีกว่า
ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่ง หลัวเทียนเฉิงก็ยุ่งขึ้นมาอีก จึงเพียงหาเวลาว่างกลับไปเยี่ยมตระกูลมารดากับเจินเมี่ยวเท่านั้น นอกจากนั้นก็มิได้เห็นแม้แต่เงาเขาตลอดทั้งวัน
เจินเมี่ยวพลิกดูเทียบเชิญทั้งหลาย
ฉงสี่เซี่ยนจู่ส่งเทียบขอเยี่ยม ส่วนคุณหนูใหญ่เจินหนิงส่งเป็นเทียบเชิญ นางคิดว่าควรต้องไปพบเจาอวิ๋นจังกงจู่สักหน่อยจึงเขียนเทียบขอเยี่ยมเพื่อพบหน้าตามเวลาที่เขียนไว้สักครา
เจินเหยียนตั้งครรภ์ ทั้งครรภ์ของนางยังมิใคร่ปลอดภัยนักจึงเขียนเทียบเชิญให้เจินเมี่ยวไปเยี่ยมแทน
เจินเมี่ยวรู้สึกเป็นห่วงจึงตัดสินใจไปที่นั่นก่อน
เมื่อไปถึงจวนรองเสนาบดีก็ย่อมต้องไปพบกับนางจู้ผู้ดูแลจวนและเป็นแม่สามีของเจินเหยียนก่อนเป็นอันดับแรก
หากนับตามอายุ เจินเมี่ยวเป็นผู้น้อย แต่หากนับตามยศศักดิ์ สามีของนางจู้เป็นเพียงขุนนางขั้นห้า เจินเมี่ยวนั้นทิ้งนางห่างไกลเป็นถนนเส้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ
นางจู้ให้ความเกรงใจต่อเจินเมี่ยวอย่างยิ่ง นางพาเจินเมี่ยวไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน
ครั้นเข้าห้องไปก็เห็นสตรีชราที่มีผมสีเงินยวงเต็มศีรษะกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลัวฮั่น มีหญิงสาววัยกำดัดกำลังคุกเข่านวดขาให้นางอยู่
ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนรองเสนาบดีนั้น เมื่อยามยังสาวนั้นต้องลำบากลำบนยิ่ง นางคอยจัดการดูแลทุกอย่างทั้งในและนอกเรือนเพื่อให้สามีได้ศึกษาตำราอย่างเต็มที่กระทั่งสามีสอบได้เป็นบัณฑิตชั้นสูง ความทุกข์ทนนั้นจึงสิ้นสุดลง
หลายสิบปีมานี้บัณฑิตชั้นสูงที่ฐานะยากจนกลับสามารถไต่เต้าจนกลายเป็นรองเสนาบดีแห่งกรมพระคลัง ตระกูลเมิ่งเองก็นับเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวงยิ่ง เพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้เคยลำบากตรากตรำมามากกว่าสตรีสูงศักดิ์ในวัยเดียวกันทำให้ดูชรากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง
เจินเมี่ยวคารวะผู้อาวุโสเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็รีบเอ่ยว่า “รีบยกน้ำชามาให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดเร็ว”
สาวใช้น้อยผู้หนึ่งจึงยกน้ำชาเข้ามา หญิงสาวที่นวดขาอยู่นั้นก็รีบลุกขึ้นไปรับถ้วยชามาส่งให้เจินเมี่ยว พร้อมทั้งเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานล้ำว่า “ฮูหยิน เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวมองหญิงสาวผู้นั้นอยู่หลายครา
สาวใช้ผู้นี้ช่างโดดเด่นกว่าผู้อื่นอยู่บ้างจริงๆ รอยยิ้มหวานล้ำนั้นทำให้คนชมชอบนัก เพียงแต่กระทำตัวมิใคร่จะเป็นไปตามระเบียบสักเท่าใด
การก้มหน้าก้มตายกชามาให้ต่างหากจึงเป็นสิ่งที่สาวใช้พึงกระทำ
หรืออาจเพราะเป็นตระกูลบัณฑิตจึงมิเหมือนกับตระกูลสูงศักดิ์ทั่วไป?
ได้ยินมาว่าบัณฑิตมักมีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง หากนางพิธีรีตองมากเกินไป เกรงว่าจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าถูกดูแคลน จนทำให้เกิดความยุ่งยากแก่พี่รองคงไม่ดีเป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้เจินเมี่ยวจึงเผยยิ้มออกมา “ขอบคุณพี่สาวมาก” พูดพลางดึงปิ่นปักผมออกมาส่งให้ไป “ฮูหยินผู้เฒ่า สาวใช้จวนท่านล้วนฉลาดคล่องแคล่วกว่าจวนข้ายิ่ง ข้าเห็นแล้วก็ชมชอบนัก”
เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไปก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งงัน หญิงสาวผู้นั้นก็หน้าแดงหูแดงมองจ้องที่ปิ่นนั้นคล้ายจะรับแต่ก็มิรับ
นางจู้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ได้แต่ถลึงตามองหญิงสาวผู้นั้น
ในใจก็เอ่ยตำหนิว่าสมแล้วที่ตระกูลตกต่ำ เพราะช่างเป็นผู้ไม่รู้ความยิ่ง เจ้าเป็นแขกที่มาพักที่จวนแท้ๆ แต่กลับยกน้ำชาให้ผู้อื่นดุจตนเป็นสาวใช้ ยามนี้ถูกตบหน้าเข้าแล้วอย่างไรเล่า?
เพราะเห็นแก่หน้าของฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิได้เอ่ยอันใดให้มากความ ผู้ใดให้นางเรียกฮูหยินผู้เฒ่าว่าท่านย่าเล่า
แต่ยามนี้เกียรติและศักดิ์ศรีของจวนรองเสนาบดีกลับถูกนางทำลายไปสิ้นแล้ว!
ฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ สงบสติอารมณ์ตน โทสะที่มีต่อเจินเมี่ยวได้แต่เก็บไว้ในมิกล้าเผยออกมา จึงหันไปพูดกับหญิงสาวผู้นั้นว่า “ยังไม่รีบรับไว้อีก!”
เดิมคิดจะแนะนำเด็กสาวผู้นี้ให้ฮูหยินคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงได้รู้จัก แต่เกิดความเข้าใจผิดกันเช่นนี้แล้ว จะเอ่ยอันใดอีกได้อย่างไร!
หญิงสาวรับปิ่นที่ตกเป็นรางวัลนั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า นางปิดหน้าแล้วเดินออกไป
เจินเมี่ยวรู้สึกว่าบรรยากาศมิใคร่จะดีนักจึงขอตัวไปในเวลาอันรวดเร็ว
รอจนพบกับเจินเหยียนแล้วจึงเอ่ยบ่นว่า “พี่รอง สาวใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าที่คอยปรนนิบัติในห้องช่างใจกล้านัก ข้าตกรางวัลเป็นปิ่นปักผมให้นาง นางกลับร้องไห้เดินออกไป”
——
[1] ฉิ่ง เป็นหน่วยวัดพื้นที่ของจีน หนึ่งฉิ่งเท่ากับหนึ่งร้อยหมู่ หนึ่งหมู่เท่ากับสิบหกเอเคอร์โดยประมาณ