วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 226
วาจานี้ช่างมีความหมายยิ่งนัก
หลัวเทียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ท่านอารองดีต่อหลานมาตลอด เหมือนกับตอนที่ท่านอาสี่ยังมิหายสาบตัวไปนั้นแล”
นายท่านสี่สกุลหลัวขมวดคิ้วคราหนึ่ง
ตอนนั้นเขายังหนุ่มแน่น ความคิดและจิตใจต่างมุ่งไปบนการศึกบนสนามรบจึงมิรู้สึกว่ามีตรงใดผิดปกติไป
แต่เมื่อผ่านการเป็นวาณิชมาหลายปี ทุกคราที่ย้อนกลับไปคิดถึงอดีตก็จะรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง
โดยเฉพาะท่าทีของพี่รองกับพี่สะใภ้รองในตอนที่พวกเขากลับถึงจวนในวันนั้น ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาหวังให้คนที่นอนอยู่ในโลงนั้นเป็นต้าหลังมากกว่าต้าหลังที่มีชีวิตเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
ทว่าวันเวลายังอีกยาวไกลนัก ค่อยๆ ดูกันไปก่อนเถิด
คนทั้งสองเดินเข้ามาในวังก็มองเห็นรัชทายาทและพระชายาที่มิทราบเดินลัดเลี้ยวมาจากซอกมุมใด จึงรีบหลบไปด้านข้าง
คิดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะเดินเข้ามาหา คนทั้งสองจึงถวายบังคมทันที
เสียงดังขึ้นเหนือศีรษะว่า “ดูสีหน้าท่าทางของหลัวซื่อจื่อนั้นไม่เลวเลย”
หลัวเทียนเฉิงยืนตัวตรงขึ้น มุมปากห้อยแขวนรอยยิ้มบางเบา “เป็นเพราะพระบารมีของไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“มิกล้า กล่าวไปแล้วคงเป็นข้ามากกว่าที่ทำให้ท่านต้องลำบาก” เห็นชัดว่าวาจาเพื่อแสดงความเกรงใจของรัชทายาทแต่น้ำเสียงกลับฟังดูแปลกแปร่งยิ่ง
หลัวเทียนเฉิงกลับเอ่ยด้วยท่าทีผ่อนคลาย “ไท่จื่อตรัสเช่นนี้ หม่อมฉันคงไม่มีที่อยู่แน่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วคราหนึ่งแล้วหันไปมองนายท่านสี่สกุลหลัว “ท่านนี้คือ…”
“หม่อมฉันคือคุณชายสี่แห่งจวนเจินกั๋วกงเป็นอาสี่ของหลัวซื่อจื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“คุณชายสี่จวนกั๋วกง?” องค์รัชทายาทรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “อ้อ หรือเป็นแม่ทัพหลัวที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อนท่านนั้น?”
จวนกั๋วกงมีแม่ทัพมากความสามารถถึงสามคน เจิ้นกั๋วกงมีสมญานามว่าแม่ทัพไม่พ่าย บิดาของหลัวเทียนเฉิงก็มีชื่อเสียงจากการวางแผนการรบอันชาญฉลาด และนายท่านสี่สกุลหลัวผู้นี้ก็ติดตามบิดาเข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุสิบกว่าๆ จึงถูกขนานนามว่าแม่ทัพหนุ่ม หากกล่าวแต่เพียงฝีมือการรบนั้น เขานับว่าอยู่เหนือบิดาและพี่ชาย
เพียงน่าเสียดายที่แม่ทัพทั้งสามนั้น ผู้หนึ่งสิ้นชีพ ผู้หนึ่งสติไม่ดี อีกผู้หนึ่งตกม้าและหายสาบสูญไป ทำให้คนทั่วหล้าต่างก็ต้องทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
สีหน้าขององค์รัชทายาทเปลี่ยนสีไปมาอย่างชัดเจน ในที่สุดจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ “หลัวซื่อจื่อช่างโชคดีนัก หายตัวไปไม่กี่วัน แต่กลับพาท่านแม่ทัพหลัวกลับมาด้วยได้ คิดว่าเสด็จพ่อคงทรงดีพระทัยยิ่ง ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกท่านแล้ว”
องค์รัชทายาทเดินจากไปด้วยมุมปากเครียดตึง พระชายาก็เดินตามไปติดๆ รอกระทั่งปลอดคนแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ไท่จื่อพระอารมณ์ไม่ดีหรือเพคะ?”
ไท่จื่อแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “อารมณ์ดีได้จึงแปลก เจ้ามิเห็นท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านต่อคำชมและคำต่อว่านั้นของเขาหรือ คงมิเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยกระมัง?”
“ไท่จื่อคิดมากไปแล้ว ข้าคิดว่าหลัวซื่อจื่อคงมิกล้าแสดงท่าทีไม่เคารพต่อพระองค์มากกว่า”
“เจ้าเข้าใจอันใด ไม่ง่ายเลยที่เสด็จพ่อจะลืมเรื่องนี้ไปได้ แต่แค่พวกเขาเข้าวังมาก็จะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีก ต่อไปหากเห็นเขา เสด็จพ่อก็จักต้องคอยแต่คิดถึงเรื่องนั้นอยู่ร่ำไป เจ้าเองก็มิใช่ไม่เคยเห็นเหล่าน้องชายที่คอยจับจ้องดุจพยัคฆ์ร้ายเหล่านั้น หากความรักระหว่างบิดาและบุตรค่อยๆ ถูกบั่นทอนไปเช่นนี้ ไม่นานพวกเขาก็คงหาช่องว่างมุดเข้ามาจนได้ หากเขานับวันยิ่งมีหน้ามีตา คนทั่วหล้าก็ยิ่งลืมไม่ลง เกียรติยศของเขาในวันนี้ได้มาเพราะเหยียบย่ำข้าขึ้นมาแท้ๆ”
“ไท่จื่อ เช่นนั้นท่านคิดจะ…”
มุมปากรัชทายาทเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียมขึ้น “มีแต่คนตายเท่านั้นที่ทำให้คนลืมเขาได้อย่างรวดเร็ว”
หัวใจพระชายาพลันเต้นรัวเร็วขึ้น “ไท่จื่อ เรื่อง…เรื่องนี้ต้องปรึกษากับท่านพ่อก่อนสักหน่อยหรือไม่?”
พระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่คนโง่เขลา แต่นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของบิดา ทั้งบิดาของนางยังเป็นบุคคลที่มีความสามารถ การที่นางจะนึกถึงบิดาเป็นอันดับแรกนั้นมิใช่เรื่องแปลกอันใด
แต่วาจานี้กลับจี้ใจดำขององค์รัชทายาทเข้าพอดิบพอดี
“นางซู เรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ยังต้องไปปรึกษากับบิดาเจ้าอีกหรือ? เขาเป็นเพียงขุนนางใต้ตำหนักตงกงของข้ามิใช่หรือ?”
กล่าวไปแล้ว องค์รัชทายาทเองก็พึ่งพาพ่อตาผู้นี้ไม่น้อย การที่กลับมาเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิอีกคราก็เป็นเพราะคำแนะนำของพ่อตา แต่การความช่วยเหลือนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อถูกชายาตนเอ่ยออกมาอย่างชัดแจ้งเช่นนี้จึงรู้สึกเสียหน้ายิ่ง
นางซูถึงกับเป็นใบ้เอ่ยสิ่งใดไม่ออก
ใบหน้านางยาวเรียวเล็กน้อย ยามปกติมุมปากมักแฝงไปด้วยรอยยิ้ม มองดูแล้วสง่างามยิ่ง ทว่าเมื่อหุบยิ้มลงกลับดูทุกข์ตรมขึ้นมาทันที
องค์รัชทายาทเห็นแล้วก็ไม่สบายใจจึงเอ่ยเสียงเย็นว่า “เลิกทำหน้าทุกข์ทนเช่นนี้ได้แล้ว หากมีโชคลาภก็คงสลายหายไปหมดแล้ว เหตุใดจึงมิเรียนอย่างผู้อื่นเขาบ้าง!”
กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปทันที
พระชายาถูกต่อว่าจนหน้าเสีย ได้แต่นอนอิงหมอนร่ำไห้
หลัวเทียนเฉิงและนายท่านสี่สกุลหลัวถูกเชิญไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อเข้าเฝ้าเจาเฟิงตี้
ท่าทีของเจาเฟิงตี้นั้นไม่เลวเลย แต่ผ่ายผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด
คนทั้งสองถวายบังคมทันที
เจาเฟิงตี้เห็นนายท่านสี่สกุลหลัวก็เบิกบานยิ่ง จึงสั่งให้คนยกเก้าอี้มาให้คนทั้งสอง
ยามนี้ฝั่งตะวันออกมีสงคราม ฝั่งตะวันตกมีคนนอกคอยเข้ามาก่อกวนราษฎร รวมทั้งลี่อ๋องแห่งชิงเป่ยที่คิดการไม่ดีอีก เขารู้สึกว่าไม่มีแม่ทัพดีๆ ที่ใช้การได้เลยจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าเมื่อกำลังคิดจะนอนพักกลับมีคนยื่นหมอนมาให้ ต้าโจวของเขาช่างมีโชควาสนาเสียจริง
เจาเฟิงตี้อารมณ์ดีอย่างยิ่งจึงสอบถามถึงเรื่องราวหลังจากที่หลัวเทียนเฉิงหายตัวไปและสิ่งที่นายท่านสี่สกุลหลัวได้พบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างอดทนอย่างยิ่ง
เพราะเกี่ยวพันถึงองค์รัชทายาทที่ถูกปลดไปในรัชกาลก่อน คนทั้งสองจึงเจตนาหลบเลี่ยงไม่เอ่ยถึงในบางเรื่อง
“กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าพวกเจ้าปะปนมากับขบวนวาณิชขนใบชา ทั้งน้องสามของเจ้ายังขอให้ขบวนนั้นคุ้มครองโลงศพเจ้ามาส่งอีกด้วยงั้นหรือ?” เจาเฟิงตี้ยิ้มพลางส่ายหน้า “ช่างเป็นโชคดียิ่ง เราพูดไว้ไม่มีผิดเลย นางเจินนั้นเป็นบุคคลที่มีโชควาสนาแท้ๆ”
หากมิใช่เพราะนางเจินช่วยชูสย่าไว้ทำให้ม้าตกใจวิ่งหนีไป แล้วจะตามหาแม่ทัพใหญ่กลับมาคืนเขาได้อย่างไรเล่า!
คนที่ยิงธนูนั้นจักต้องเป็นคนของลี่อ๋องเป็นแน่ เขาคิดจะหยุดยั้งงานมงคลระหว่างต้าโจวและดินแดนหมานเหว่ย เพื่อมิให้ต้าโจวโอบล้อมชิงเป่ยมากกว่าไปกว่านี้
เกรงว่าลี่อ๋องคงไม่มีทางคิดถึงว่าธนูดอกนั้นมิได้ทำอันตรายองค์หญิงของเขาได้แม้เพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้แม่ทัพใหญ่ที่จะมาต่อกรกับชิงเป่ยปรากฏตัวขึ้นแทน
เพียงแต่จุดนี้เขาคงยังมิเอ่ยมันออกไปชั่วคราว
เจาเฟิงตี้อารมณ์ดียิ่งจึงเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นชาแท่งที่ขนเข้ามาในเมืองหลวงนั้นเจ้าเป็นผู้ศึกษาทำมันขึ้นมาใช่หรือไม่?”
นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันเอาความคิดและจิตใจไปหมกมุ่นอยู่กับมันมาหลายปี ครานี้เองจึงทราบว่าคนหยาบกระด้างก็สามารถงามสง่าขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่าๆ กลับไปแล้วก็ส่งมันมาให้เราลองชิมสักหน่อยเถิด”
นายท่านรองสกุลหลัวรีบเอ่ยขอบพระทัยเป็นการใหญ่
วาจานี้ของเจาเฟิงตี้เท่ากับยกเอาตระกูลหูให้เป็นคู่ค้ากับราชวงศ์
เช่นนี้ต่อไปภายหน้าเขาก็มิต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีก
ด้วยฐานะของจวนเจิ้นกั๋วกง คนของต้นตระกูลหูคงมิกล้าคิดยึดเอาสมบัติของจวนสกุลหูแน่ และเมื่อมีเส้นทางการค้าชากับราชวงศ์ ต่อไปก็คงยิ่งคอยตามติดพึ่งพาจวนสกุลหูอย่างไม่มีเงื่อนไข
รอกระทั่งหลัวเทียนเฉิงและอาของเขาจากไปแล้ว เจาเฟิงตี้จึงไปเดินเล่นที่อุทยานหลวงด้วยอารมณ์อันเบิกบาน เมื่อพบเข้ากับจ้าวหวงโฮ่วจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “หวงโฮ่ว ได้เรียกนางเจินเข้าวังหรือไม่?”
ทำให้จ้าวหวงโฮ่วงุนงงไปหมดแต่ก็มิกล้าเอ่ยถาม ได้แต่มีราชโองการไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงทันที
เมื่อหลัวเทียนเฉิงและนายท่านสี่สกุลหลัวไปถึงจวน ราชโองการก็มาถึงเช่นกัน
เจินเมี่ยวมิทันแม้แต่จะเอ่ยวาจาใดกับหลัวเทียนเฉิงก็ก้าวขึ้นเกี้ยวไปทันที จึงทำได้เพียงโบกมือให้เขาเท่านั้น
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“เป็นอันใดไป?” นายท่านสี่สกุลหลัวตบบ่าเขาคราหนึ่ง
“สองสามวันมานี่นางเจินมิใคร่สบายดีนัก ข้าเกรงว่าน่าจะเกิดเป็นอันใดในวังขึ้นมา”
นายท่านสี่สกุลหลัวยิ้มปลอบใจ “วางใจเถิด ดูจากท่าทีของฝ่าบาทในวันนี้ ทรงมีความประทับใจที่ดีต่อนางเจินยิ่ง”
หัวเทียนเฉิงได้แต่กดความกังวลตนเอาไว้
“ไปนั่งเล่นที่ห้องตำราของเจ้าสักครู่เถิด”
ครั้นเมื่อเข้าไปในห้องตำรา นายท่านสี่สกุลหลัวก็มีสีหน้าจริงจังขึงขังขึ้นมาทันที “ต้าหลัง เข้าคิดว่าไท่จือคิดจะกำจัดเจ้า”
การขลุกตัวอยู่ในสงครามนั้นสร้างสัญชาตญาณเหล่านี้ให้กับเขา ทั้งยามนี้ยังรู้จักสังเกตวาจาและสีหน้าอีกด้วย เจตนาร้ายที่มีอยู่เต็มเปี่ยมของไท่จื่อนั้นมิอาจมองข้ามไปได้เลยจริงๆ
หลัวเทียนเฉิงยิ้ม “ท่านอามองได้แม่นยำนัก แต่ว่า…อย่างไรไท่จื่อก็ยังมิใช่ฮ่องเต้”
เรื่องราวช่างอัศจรรย์นัก ชาติก่อนฝ่าบาทตกพระทัยจนประชวรอยู่บนแท่นพระบรรทม ไท่จื่อก็ถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ยามนี้ที่เขาเข้าไปขัดขวางไว้ ฝ่าบาทมิได้เป็นอันใดมากนัก ไท่จื่อก็มิได้ถูกปลดแต่กลับคิดจะสังหารเขาเสียอย่างนั้น
ดังนั้นจึงกล่าวว่า ทุกเรื่องราวล้วนมีสองด้านทั้งสิ้น
หลัวเทียนเฉิงหวนนึกถึงงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพหลังจากที่องค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่งขึ้นมา องค์ชายหลายพระองค์แข่งขันกันอย่างดุเดือดอย่างเห็นได้ชัด องค์ชายรองทรงถวายไก่ฟ้าสีขาวอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นสิริมงคลทั้งขอให้ฝ่าบาทมีพลานามัยที่แข็งแรง ผู้ใดจะคาดคิดว่าไก่ฟ้าสีขาวกลับสีตก ไก่ฟ้าสีขาวซึ่งแสดงถึงความเป็นมงคลนั้นกลับกลายเป็นไก่ป่าหลากสีไปเสียได้
เจาเฟิงตี้เดิมก็ล้มป่วยอยู่แล้ว เมื่อเห็นไก่ป่าเช่นนี้จะมีอันใดดีได้ องค์ชายรองจึงถูกตำหนิยกใหญ่ พระมารดาขององค์ชายรองมิได้มีตำแหน่งสูงอยู่แล้ว เขาจึงถูกคัดออกไปคนแรกจากบรรดาผู้ที่คิดชิงตำแหน่งรัชทายาท
ทว่าครานี้องค์รัชทายาทที่ยังมีตำแหน่งชื่อเสียงทุกอย่างพร้อมสรรพ ทั้งได้รับการช่วยเหลือผลักดันอย่างเหมาะสม โดยที่เขามิต้องยื่นมือเข้าไปแทรกด้วยซ้ำ ก็คิดว่าไก่ฟ้าตัวนั้นก็คงตกไปอยู่ในมือของรัชทายาทได้ไม่ยากนัก
องค์ชายทั้งหลายต่างอดทนมานานเหลือเกิน ในอดีตความรักความผูกพันระหว่างฮ่องเต้กับรัชทายาทนั้นลึกซึ้งยิ่ง ผู้ใดล้วนมิกล้ากระทำการส่งเดช
ทั้งยามนี้คล้ายว่ารัชทายาทจะกลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้งแล้ว แต่แม้นคันฉ่องที่แตกจะกลับมาประกอบใหม่ได้แต่ยังคงต้องมีรอยร้าวอยู่วันยังค่ำ ภายนอกงดงามดั่งแรกเริ่ม แต่ภายในนั้นมีรอยมีรูอยู่นับร้อย แค่ทุบเบาๆ มันก็แตกได้ทันที
คงไม่มีผู้ใดยอมละทิ้งโอกาสนี้แน่!
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยิ้มด้วยท่าทีนิ่งเฉย นายท่านสี่สกุลหลัวก็ถอนหายใจ
นับวันเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจหลานคนนี้
แต่วาจานี้ของเขาคล้ายแน่ใจว่าอย่างไรรัชทายาทก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งกระนั้น?
ครั้นคิดถึงตรงนี้ นายท่านสี่สกุลหลัวอึ้งงันอยู่ในใจครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ต้าหลัง อามิอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปีแล้ว มีเรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจถ่องแท้ เจ้ารับตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์จิ่นหลิน อย่างไรก็ต้องมีความสามารถมากพอดี แต่หากคิดจะกระทำเรื่องใดก็ให้นึกถึงจวนกั๋วกงของเราให้มาก”
“ท่านอาสี่วางใจได้ หลานทราบดีว่าต้องทำเช่นไรขอรับ” เขามิใช่ไม่เชื่ออาสี่ แต่เรื่องบางเรื่องกระทำได้แต่พูดไม่ได้
เจินเมี่ยวนั่งอยู่ในเกี้ยวที่สั่นคลอนไปมาทำให้รู้สึกสบายตัวยิ่ง เรื่องปวดท้องนั้นมิต้องพูดถึง จิตใจของนางตอนนี้ก็กำลังตึงเครียด
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าผ้าซับระดูนี้จะเชื่อถือได้หรือไม่ หากเกิดซึมเปื้อนออกมาระหว่างเดินอยู่ในวังหลวงเล่า…
แค่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา นางก็อยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้เจ้าสิ่งนี้ นางไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด
มาเมื่อใดไม่มาแต่กลับเลือกมาเวลานี้
เมื่อเข้าเฝ้าหวงโฮ่วแล้วก็ไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว เคราะห์ดีที่ไม่มีอันใดผิดพลาดขึ้น
เจินเมี่ยวเพิ่งจะผ่อนลมหายใจโล่งอกก็ได้ยินไท่โฮ่วเอ่ยว่า “นางเจิน เจ้าหายตัวไปครานี้ ไท่เฟยเป็นห่วงยิ่ง เจ้าไปเยี่ยมนางสักหน่อยเถิด”
ตอนที่เจินเมี่ยวไปถึง ไท่เฟยกำลังทาเล็บอยู่พอดี เมื่อเห็นนางมาก็มิเอ่ยถามสิ่งได้เพียงกวักมือให้คราหนึ่ง “เจ้าสี่เข้ามาสิ มา…ย่าจะทาเล็บให้เจ้าเอง”
“ไท่เฟย หม่อมฉันเล็บสั้น ไม่ทาจะดีกว่าเพคะ” การทาเล็บเป็นงานละเอียด ทั้งไท่เฟยยังเป็นผู้ชมชอบความสมบูรณ์แบบ หากรอให้ทาจนเสร็จคาดว่าผ้าซับระดูของนางคงใช้การไม่ได้แล้วเป็นแน่
เจินไท่เฟยกลับคว้ามือเจินเมี่ยวไปทาเล็บให้ทันที น้ำเสียงที่เอ่ยคล้ายดังมาจากที่แสนไกล “ข้าทาเล็บให้แค่อิ๋งเย่ว์เท่านั้น ตอนนี้ได้ทาให้เจ้าก็คล้ายได้ย้อนกลับไปในอดีตกระนั้น”
เจินเมี่ยวเผยอปากขึ้น แต่สุดท้ายก็มิอาจฝืนใจเอ่ยปฏิเสธได้
แต่ไท่เฟยกลับประณีตยิ่งกว่าที่นางคิดไว้เสียอีก เจินเมี่ยวรู้สึกถึงลางร้ายขึ้นมาทุกขณะแล้ว กระทั่งทาเสร็จไปหนึ่งข้างนางจึงอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “ไท่เฟย หม่อมฉัน…”
เจินไท่เฟยยิ้มดุจบุปผาแย้ม “ไม่เลวเลย สีจะไม่หลุดไปนับเดือนเลยล่ะ เจ้าลองดมดู มันมีกลิ่นหอมของดอกไม้ด้วย”
เจินเมี่ยวอยากจะหมดสติไปให้รู้แล้วรู้รอด นางนั้นประสาทไวยิ่งต่อเรื่องกลิ่น แล้วนี่คือกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ใดกัน มันคือกลิ่นคาวเลือดชัดๆ!
อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงเด็กสาวผู้หนึ่งเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่เฟย…ขายหน้าก็ขายหน้าเถิด
เจินเมี่ยวรวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยอธิบายสถานของนางออกมาแต่นางกำนัลผู้หนึ่งก็ร้องขึ้นว่า “องค์ชายหกเสด็จ…”