วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 214
“ที่เป่ยเหอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” องค์ชายหกกลับถึงตำหนักก็ถอดเสื้อคลุมออก ยกข้าร้อนขึ้นดื่ม
เป็นองค์ชายมิอาจทำตัวสนิทกับขุนนางได้ ในอดีตหลัวเทียนเฉิงเป็นเพียงองครักษ์ยังพอทำเนา แต่ยามนี้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการ ยิ่งมิอาจไม่หลบเลี่ยง
แต่องค์ชายหกรู้สึกนับถือในตัวหลัวเทียนเฉิงยิ่ง โดยเฉพาะวันที่ได้เห็นเขาต่อสู้กับพยัคฆ์ร้ายนั้น และการกระทำที่ทำให้คนในหน่วยองครักษ์จิ่นหลินยอมรับนับถือเขาหลังจากได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการนั้นอีกยิ่งทำให้กู่หมิงที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเช่นเดียวกับเขาดูธรรมดาไปเลยทีเดียว เขานับเป็นบุคคลผู้มีความสามารถอย่างยากจะพบเห็นได้
แม่ทัพที่เก่งกาจนั้นหายากยิ่ง โดยเฉพาะแม่ทัพที่เก่งกาจทั้งยังหนุ่มแน่น
องค์ชายหกยิ้มหยันให้แก่ตน
บุคคลที่มีอำนาจบารมีมากล้ำเหล่านั้น จะมีผู้ใดให้ความสำคัญกับองค์ชายที่ไร้อำนาจเช่นเขาเล่า?
แต่หลัวเทียนเฉิงที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นองครักษ์อยู่ในวังกลับคอยเตือนเขาอย่างคล้ายมีเจตนาคล้ายไม่เจตนาอยู่คราสองคราทำให้งานของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ดี
“ศพของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงน่าจะมาถึงเมืองหลวงไม่เกินสามวันนี้พ่ะย่ะค่ะ” คนของเขาเอ่ยรายงาน
“ตลอดทางนั้นคงคึกคักไม่เบากระมัง?”
คนของเขาอึ้งงันไปแล้วพยักหน้า “คล้ายว่ามีหลายฝ่ายยื่นมือเข้ามาสอดแทรก มิเช่นนั้นศพคงถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกวางถ้วยชาลงบนโต๊ะตัวเล็ก มุมปากเคลือบรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ควรจะเข้าร่วมสนุกด้วยสักหน่อย”
“องค์ชาย จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?” คนของเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
เรื่องนี้ผู้ใดจะยื่นมือเข้าแทรกล้วนกระทำได้ แต่องค์ชายไม่ควรอย่างยิ่ง หากจักรพรรดิทราบเข้า คงแย่เป็นแน่
“บอกให้เจ้าไปก็ไป จะพูดอันใดให้มากความ แค่อย่าทิ้งร่องรอยไว้ก็พอ อย่างไรก็ห้ามให้ศพนั้นเข้ามาในเมืองหลวงได้”
คนผู้หนึ่งที่สามารถต่อกรกับพยัคฆ์ร้ายได้ จะตายเพียงเพราะม้าตกใจวิ่งเข้าป่าหรือ?
หากเขาเชื่อก็คงเลอะเลือนไปแล้ว คงมีคนอยากจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอดเจิ้นกั๋วกงไปอย่างสบายๆ มากกว่า
นอกจากรัชทายาทแล้ว ก็เป็นองค์ชายรองที่อายุมากที่สุด ส่วนองค์ชายสามนั้นมีอำนาจมากที่สุดเพราะตระกูลมารดาคอยค้ำชู องค์ชายสี่มีความสามารถทั้งชื่อเสียงโด่งดัง องค์ชายห้าดื้อรั้นจนเสด็จพ่อต้องมองพระเนตรเขียว หากเขายังไม่ทำอันใดสักอย่างบ้าง การทุ่มเทเก็บหางตนไว้อย่างระมัดระวังของเขาคงสูญเปล่ากลายเป็นเพียงคนนั่งดูละครเท่านั้นแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นโค้งตัวแล้วถอยหลังออกไป
องค์ชายหกพลันคิดอันใดขึ้นมาได้จึงยกมือเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อน”
คนผู้นั้นหยุดชะงักทันที “องค์ชายมีอันใดจะกำชับหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดจวนเจิ้นกั๋วกงเล่า…หาพบแล้วหรือไม่?”
คนผู้นั้นมององค์ชายหกด้วยแววตาสงสัยคราหนึ่ง
องค์ชายหกถูกมองเช่นนั้นก็เขินอายจนกลายเป็นโทสะ จึงเอ่ยตำหนิว่า “ข้าถามเจ้าอยู่ได้ยินหรือไม่!”
สติปัญญาของข้ารับใช้เหล่านี้ไปงอกอยู่ที่ก้นหมดแล้วหรือไร?
แววตาที่คล้ายบอกว่า ‘ท่านสอบถามเรื่องของภรรยาผู้อื่นไปไย…เสียสติแล้วหรือไร’ เช่นนั้นคือเรื่องราวใดกัน?
เป็นเพราะตอนที่เข้าไปเยี่ยมคารวะไท่เฟยแล้วเห็นพระองค์ทรงโศกเศร้าเพราะการหายตัวไปของนางเจินจึงได้เอ่ยถามดูเท่านั้น มิได้มีใจให้นางเสียหน่อย!
“ยังคงไม่มีข่าวคราวใดพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าใต้เท้ากู่กำลังคิดจะเข้าวังเพื่อทูลรายงานพ่ะย่ะค่ะ…”
“ยังหาคนไม่เจอด้วยซ้ำ กู่หมิงกลับจะเข้าวังมาทูลรายงาน?” องค์ชายหกหน้าขรึมขึ้นมา
คนผู้นั้นจึงเหลือบมองเขาอย่างแปลกใจอีกครา
องค์ชายหกบิดเบ้มุมปากตนแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าขึงขัง “เสด็จพ่อให้เขาไปตามหาคน แต่กู่หมิงผู้นี้กลับทำตัวไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน”
คนผู้นั้นไม่กล้าเงยหน้าขึ้นได้แต่เอ่ยในใจว่าอย่างน้อยกู่หมิงก็เป็นผู้บังคับบัญชาเป็นขุนนางขั้นสี่ เมื่อหาคนไม่พบก็คงมิอาจเฝ้าอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนกระมัง?
หน่อยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งจะก่อตั้งและกำลังอยู่ในช่วงจัดแบ่งอำนาจ หากรอไปอีกครึ่งปีผู้อื่นคงมีที่ยืนอันมั่นคงกันหมด แต่ครั้นเอ่ยถึงผู้บัญชาการกู่หรือ?
อ้อ ยังอยู่ที่เหอเป่ย เฝ้าค้นหาภรรยาของผู้บัญชาการหลัวอยู่อย่างไรเล่า
ว่าไปแล้ว ภรรยาผู้อื่นหายตัวไปก็มิได้เกี่ยวอันใดกับองค์ชายเสียหน่อย
หรือว่าเขามองข้ามสิ่งใดไป?
เขาต้องมองข้ามสิ่งใดไปแน่!
“รีบไปจัดเรื่องให้เรียบร้อยเถิด!” องค์ชายหกยกเท้าขึ้นเตะด้วยใบหน้าดำคล้ำ
เหตุใดแววตาของข้ารับใช้ผู้นี้จึงแปลกขึ้นทุกที เขารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก!
อากาศที่เหอเป่ยคล้ายว่าจะหนาวกว่าเมืองหลวงอยู่มาก เม็ดฝนที่หนาใหญ่คล้ายน้ำแข็งตกกระทบลงบนกาย ทำให้รู้สึกเย็นเยือกเหน็บหนาว
กู่หมิงจูงม้าเข้าไปหานายท่านรองสกุลเจินแล้วยกมือประกบกันแสดงความเคารพ “ใต้เท้าเจิน ที่นี่คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
ใบหน้าของนายท่านรองสกุลเจินเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสุขุม “ใต้เท้ากู่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่าน”
กู่หมิงถอนหายใจออกมา “ได้อย่างไรกัน ข้าตามหาคนมานานเพียงนี้แต่ก็หาไม่พบ คงต้องกลับไปขอรับโทษแล้ว”
ในใจเขารู้สึกชื่นชมนายท่านรองสกุลเจินอยู่หลายส่วน หลานสาวที่ออกเรือนไปแล้วหายสาบสูญ เขาถึงกับยื่นหนังสือลาระยะยาวเพื่อมาตามหา แต่จวนกั๋วกงกลับส่งมาเพียงหลานชายเพียงคนเดียว
หากมิใช่เพราะใต้เท้าเจินมาที่นี่ เขามีหรือจะสามารถไปจากที่นี่ได้
“กู่หมิง…” เสียงหนึ่งดังลอยมา
คนทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเงาร่างสีแดงควบม้าใกล้เข้ามา
เมื่อมาถึงตรงหน้าก็พลิกกายลงจากหลังม้า ชูสยาจวิ้นจู่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ถวายพระพรองค์หญิง” คนทั้งสองทำความเคารพพร้อมกัน
ชูสยาจวิ้นจู่เคาะแส้ม้าที่พับเก็บใส่มือตนคราหนึ่งพลางชำเลืองมองกู่หมิง “ใต้เท้ากู่ ได้ยินว่าท่านจะกลับเมืองหลวงหรือ?”
กู่หมิงปาดเหงื่อเย็นตนคราหนึ่ง
องค์หญิงพระองค์นี้ช่างเกาะติดไม่ปล่อยจริงๆ หลังจากเกิดเรื่องที่เหอเป่ยก็ดึงดันจะอยู่ที่นี่ให้ได้ และคอยจับจ้องการทำงานของตนทุกวัน เขาจะล้มเลิกการตามหาเร็วหน่อยก็มิได้ เขาเหนื่อยจนแทบกลายร่างเป็นสุนัขแล้ว
ตอนที่ได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงเขายังลอบดีใจที่องค์หญิงชูสยาไปเมืองชิงหยางยังไม่กลับ คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเร็วเพียงนี้
“เหตุใดใต้เท้ากู่จึงไม่ตอบเล่า?”
“หม่อมฉันมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ วันนี้หม่อมฉันได้รับพระบัญชาให้กลับเมืองหลวงจึงมิกล้าชักช้า ทำให้มิได้รอทูลลาองค์หญิงก่อน”
ตามโครงสร้างการก่อตั้งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินนั้นควรต้องมีผู้บัญชาการสี่คน ตอนนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น ศพของคุณชายผู้สืบทอดหลัวถูกเคลื่อนเข้าเมืองหลวงไปแล้ว เขาก็ตามหาคนอยู่ที่นี่ ในเมืองหลวงจึงมีผู้บัญชาการเพียงคนเดียว ย่อมต้องยุ่งมากเป็นแน่ ฝ่าบาทให้เขาอยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้ก็นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากยิ่งแล้ว
“ฮึ!” ชูสยาจวิ้นจู่สะบัดแส้ม้าออกคราหนึ่ง
เมื่อเอ่ยถึงเจาเฟิงตี้ นางย่อมมิอาจพูดสิ่งใดได้ จึงทำได้เพียงบึ้งตึงใส่กู่หมิงเท่านั้น
นายท่านรองสกุลเจินจึงเอ่ยขึ้น “องค์หญิง หม่อมฉันมาแทนใต้เท้ากู่แล้ว ผู้ที่หายสาบสูญไปคือหลานสาวของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตามหานางแน่พ่ะย่ะค่ะ”
นายท่านรองสกุลหลัวมีสีหน้ากังวล แต่ยังคงท่าทีสง่างามมั่นคง เมื่อเอ่ยอธิบายอ่อนโยนเช่นนี้ ชูสยาจวิ้นจึงไม่มีวาจาใดจะกล่าว ทำได้เพียงถลึงตาใส่กู่หมิงคราหนึ่งเท่านั้น “แล้วแต่ท่านเถิด”
กู่หมิงยิ้มขืน เมื่อกล่าวอำลาแล้วจึงจากไป
“ขอเชิญองค์หญิงเสด็จกลับที่ประทับก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ชูสยาจวิ้นจู่จูงม้าเดินกลับมา เอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “ใต้เท้าเจิน ท่านว่าคุณหนูสี่อยู่ที่ใดหรือ เหตุใดจึงหาไม่พบเล่า? ”
นายท่านรองสกุลเจินสะบัดเม็ดฝนบนร่างตนออกแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “องค์หญิงมิต้องทรงเป็นกังวล หม่อมฉันเชื่อว่าเมี่ยวเอ๋อร์จักต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แต่องค์หญิงทรงต้องถนอมพระวรกายพระองค์ด้วย”
ธนูดอกนั้นพุ่งเป้ามาที่ชูสยาจวิ้นจู่ แต่องค์หญิงกลับดึงดันที่จะอยู่ที่นี่ ความปลอดภัยของนางย่อมต้องสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด
“ใต้เท้าเจินคงมิได้คิดว่า การที่ข้าผู้เป็นองค์หญิงอยู่ที่นี่เป็นการเพิ่มความยุ่งยากกระมัง?” ชูสยาจวิ้นจู่มองหน้านายท่านรองสกุลเจินพลางเอ่ย
นายท่านรองสกุลเจินคิดไม่ถึงว่าชูสยาจวิ้นจู่จะถามออกมาตามตรงเช่นนี้จึงอดอึ้งไปมิได้ แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันอ่อนโยน “หม่อมฉันไม่มีทางคิดเช่นนั้นแน่พ่ะย่ะค่ะ แต่กลับรู้สึกขอบพระทัยพระองค์ยิ่งที่ทรงประทับอยู่ที่นี่ ทำให้ทุกคนยังจดจำที่แห่งนี้ได้”
“ท่าน…ท่านรู้หรือ?” ชูสยาจวิ้นจูมิอาจเอ่ยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจได้ รู้สึกได้เพียงขอบตาที่ร้อนผ่อนของตน
แรกเริ่มที่นางดึงดันจะอยู่ที่นี่ คนทั้งหลายคงเข้าใจว่านางดื้อด้านไม่รู้ความ บนโลกใบนี้คงมีแต่นางคนเดียวที่เข้าใจ
นางไม่กล้าไป นางกลัวหากแล้วแต่กลับยังหาไม่เจอ เมื่อเวลาผ่านไป คนพวกนั้นก็จะกลับเมืองหลวงไปทูลรายงานอย่างเช่นที่ใต้เท้ากู่ทำ นางกลัวว่าพวกเขาจะลืมว่าที่นี่ยังมีคุณหนูสี่ที่ช่วยนางไว้จนไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่หรือตาย!
ขอแค่นางอยู่ที่นี่ ถึงรับรองได้ว่าจะมีทหารมากมายคอยตามหาคุณหนูสี่ และทำให้เสด็จอาผู้ปกครองใต้หล้านี้ไม่มีวันลืมเรื่องนี้
นายท่านรองสกุลเจินผลิยิ้มเบาบาง “หม่อมฉันทราบพ่ะย่ะค่ะ เมี่ยวเอ๋อร์เป็นสหายของพระองค์ หากสหายของหม่อมฉันเกิดเรื่อง หม่อมฉันก็จะไม่ไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ชูสยาจวิ้นจู่พยักหน้า แล้วยกมุมปากขึ้นยิ้มเป็นครั้งแรก
เวลานี้ที่อำเภอเป่าหลิง อากาศกลับสดใสยิ่ง
หลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยวและอาหู่ยืนพิจารณาอยู่นอกจวนสกุลหูครู่หนึ่ง หลัวทียนเฉิงเดินเข้าไปเคาะประตู
หลังจากนั้นไม่นานประตูใหญ่สีดำทะมึนก็ถูกเปิดออก บุรุษที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้ยื่นหน้าออกมา“พวกเรามาเยี่ยมคารวะนายท่านจวนสกุลหู”
“เยี่ยมคารวะ?” บ่าวผู้เฝ้าประตูพินิจคราหนึ่ง แล้งขมวดคิ้วมุ่น
นายท่านเคยบอกไว้แล้วว่า สองสามวันนี้อาจจะมีแขกมาเยี่ยมเยือน แต่การแต่งกายกลับไม่เป็นอย่างที่นายท่านบอกไว้
ทว่าเมื่อมองจากลักษณะของแขกที่มานั้น เขากลับเริ่มไม่แน่ใจ จึงลองเอ่ยถามดู “พวกท่านมาจากเมืองชิงหยางหรือไม่?”
เมืองชิงหยาง?
หลัวเทียนเฉิงหรี่ตาลง ความรู้สึกบอกว่าบ่าวรับใช้ผู้นี้คิดว่าพวกเขาเป็นใครสักคนหนึ่ง แต่เพื่อพบกับนายท่านของจวนแห่งนี้เขาจึงพยักหน้ารับ
อย่างไรก็ตามเมื่อพบหน้าก็คงทราบเองว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร ถึงตอนนั้นแม้นจะถูกเปิดโปงก็มิเป็นไร แต่สำคัญคือต้องรีบไปพบกับคนผู้นั้นให้เร็วที่สุด พวกเขาเสียเวลามามากแล้ว ยังไม่ทราบว่าท่านย่าจะเป็นห่วงจะเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
โดยเฉพาะเรื่องมือสังหารในโรงเตี๊ยมนั้นอีก เขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญแม้แต่น้อย แต่อย่างไรเขาก็หลุดพ้นจากการปิดล้อมของศัตรูมาได้แล้ว
หรืออาจเพราะที่นี่ค่อนข้างกันดารห่างไกล จึงสามารถสลัดหลุดคนเหล่านั้นได้โดยง่าย หากเป็นเมืองใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนมากมายรอเขาอยู่ก็ได้
ครั้นได้ยินว่ามาจากเมืองชิงหยาง บ่าวผู้เฝ้าประตูก็เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มทันที “ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ผู้น้อยไปรายงานนายท่านก่อน”
ไม่นานบ่าวผู้เฝ้าประตูก็กลับมาเปิดประตูใหญ่ออก ชายที่ท่าทางคงเป็นพ่อบ้านเดินออกมา เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เชิญท่านทั้งสามเข้ามาด้านในเถิด”
เมื่อเข้าไปนั่งในห้องโถง พ่อบ้านจึงเอ่ยว่า “ผู้น้อยเป็นพ่อบ้านจวนสกุลหู ชื่อสกุลคือหูเช่นกันขอรับ”“พ่อบ้านหู” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงราบเรียบ
แม้นเขาจะสวมชุดธรรมทั่วไป แต่ท่าทีดั่งคุณชายสูงศักดิ์ที่มีนั้นกลับมิอาจปิดบังไว้ได้
เมื่อหันไปมองสตรีที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างบุรุษผู้นั้นก็เห็นว่านางนั่งหลังตรง ก้มหน้าลงเล็กน้อย ท่าทางมิเหมือนสตรีชาวบ้านทั่วไปอย่างแน่นอน
“คือนายท่านของเราออกไปตรวจดูไร่ด้านนอก เหลือเพียงนายท่านผู้หญิงจึงไม่สะดวกพบแขก ท่านทั้งสามต้องการพักผ่อนรอก่อนหรือไม่ขอรับ?”
หลัวเทียนเฉิงขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถามต่อว่า “ไปตรวจไร่เวลานี้หรือ?”
“ขอรับ เพราะในไร่กำลังทำชาแท่งเหมือนที่ส่งไปที่ชิงหยางเมื่อไม่นานมานี้ นายท่านจึงไปตรวจดูอีกรอบ ถึงยามพลบค่ำก็จะกลับมาขอรับ”
พ่อบ้านพูดพลางโห่ร้องอยู่ในใจ
นายท่านคาดเดาไม่ผิดเลยจริงๆ ตระกูลเว่ยส่งคนออกมาขัดขวางการส่งชาแท่งรอบนั้น เคราะห์ดีที่สามารถส่งชาไปถึงอย่างปลอดภัย แต่ได้ยินมาว่าคนที่ตระกูลเว่ยส่งไปยังมิได้กลับมาเลย คงมิใช่เพราะทำงานไม่สำเร็จจึงหลบหนีไปแล้วกระมัง?
คนของชิงหยางกลับมาถึงนี้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ดูท่าคงสนใจในชาแท่งชนิดใหม่นี้อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจได้คู่ค่าใหม่ ทำให้ชานี้กลายเป็นชาที่ใช้เฉพาะในวังหลวงก็เป็นได้
“อืม” หลัวเทียนเฉิงรับคำเสียงเรียบ
เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำ เม้มริมฝีปากไว้ นางอยากยิ้มออกมาเหลือเกิน
ช่างรู้จักคล้อยตามได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง เขาไปเรียนรู้กับผู้ใดมาหรือ?
หากพูดคุยต่อไปคงมิถูกจับได้แล้วถูกไล่ออกไปเพราะเขาเข้าใจว่าเป็นนักต้มตุ๋นกระมัง?
ในเวลานี้เอง หญิงสาวท่าทางเหมือนสาวใช้ก็เดินเข้ามาหยุดยืนที่หน้าประตูแล้วร้องเรียกพ่อบ้านหูคราหนึ่ง
พ่อบ้านหูจึงกล่าวขออภัยแล้วเดินไปถาม “มีเรื่องอันใดหรือ?”
สาวใช้เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณชายไม่กินข้าวอีกแล้ว งอแงจะกินขนมฮวาเกา นายท่านผู้หญิงให้ท่านสั่งคนไปซื้อ”