วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 209
คนที่นอนคว่ำอยู่บนพื้นเหล่านั้นเห็นคนมาก็ร้องให้ช่วยชีวิตดุจพบดวงดาวที่ช่วยชีวิต
คนผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นแคะหูตน ท่าทีดูไร้เดียงสายิ่ง
อันใดหรือ? ลมพัดแรงยิ่ง เขาไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
คนอีกผู้หนึ่งที่ดูอายุมากกว่าหันไปยิ้มให้หลัวเทียนเฉิงแล้วเอ่ยว่า “พี่ชาย ฟ้ามืดแล้ว พวกเราแค่อยากหาที่พักแรมเท่านั้น”
บรรดาคนที่แขนเจ็บขาหักเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน อยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา
สิ่งที่เรียกว่าจิตใจที่รักในคุณธรรมเล่า สิ่งที่เรียกว่าความซื่อสัตย์จริงใจเล่า?
หลัวเทียนเฉิงเบี่ยงกายหลบให้คนทั้งสองเดินเข้ามา แล้วกลับไปมองคนทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่แต่พิการกันเสียหมดแล้ว แล้วหันมองคนตายสองคนซึ่งมีรูโหว่บนหน้าผากแล้วพลันรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
ตามความคิดของเขานั้น คนเหล่านี้มิได้มีความผิดถึงตาย แค่หักแขนหักขาพวกเขาแล้วทิ้งไว้ในวัดร้างตามมีตามเกิดก็พอแล้ว หึๆ แต่จะมีชีวิตอยู่รอดหรือหิวตายนั้นก็มิเกี่ยวข้องอันใดกับเขาแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอาหู่จะทำสองคนนั้นตายเสียแล้ว เช่นนี้เขาคงต้องครุ่นคิดถึงเรื่องฆ่าคนปิดปากแล้ว แต่กลับมีคนเพิ่มมาอีกสอง หากฆ่าปิดปากจึงก็คงต้องฆ่าทั้งหมดนี่แล้ว
เช่นนี้ออกจะดูเลือดเย็นไปหรือไม่ หากทำให้ภรรยาหวาดกลัวจะทำเช่นไร?
เมื่อเห็นสามีผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งแสดงฝีมือไปเมื่อครู่หันมองมา เจินเมี่ยวก็เดินเข้าไปดึงแขนเสื้อเขา
หลัวเทียนเฉิงเลื่อนมือไปกุมมือนางไว้ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “กลัวใช่หรือไม่?”
เจินเมี่ยวคิดว่าคำถามนี้ตอบยากเหลือเกิน
บนพื้นมีคนตายที่มีรูโหว่ตรงหน้าผากทั้งโลหิตไหลออกมานอนอยู่เช่นนี้การตกใจนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่หากบอกว่ากลัว เจินเมี่ยวกลับคิดว่าตนมิได้รู้สึกถึงขั้นนั้นเลยจริงๆ
สตรีผู้หนึ่งที่เคยตายมาแล้วภพหนึ่งทั้งต้องยังเผชิญความตายมานับครั้งไม่ถ้วนในภพนี้ จิตใจจึงคล้ายถูกฝึกจนแข็งแกร่งขึ้นมาอีกเล็กน้อยกระมัง
เจินเมี่ยวคิดว่าภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งนี้มิใช่สิ่งที่ควรจะอวดอ้างสักเท่าใดจึงเอ่ยรับคำทันทีด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแล้วเอ่ยว่า “ท่านพี่ แผ่นแป้งที่ปิ้งไว้กำลังจะเย็นแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงเดินตามเจินเมี่ยวกลับไปนั่งที่กองไฟเตรียมกินอาหาร เมื่อเห็นศพที่นอนบนพื้นก็รู้สึกขัดตาจึงลุกขึ้น จึงลากศพนั้นไปไว้ฝั่งคนทั้งหลายที่นอนเจ็บอยู่ค่อยลงมือกินอย่างสงบใจได้
ทั้งสามฝ่ายนั้น ฝ่ายหนึ่งเจ็บจนต้องร้องไห้คร่ำครวญ อีกฝ่ายกินอย่างเอร็ดอร่อย และอีกสองคนนั่งเงียบๆ อยู่ในมุมห้อง เงียบจนคล้ายมิได้อยู่ตรงนี้ สถานการณ์เช่นนี้มันช่างน่าแปลกใจอย่างยิ่ง
ครั้นมีบุรุษอีกสองคนเดินเข้ามา พวกเขาอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วค่อยหันไปมองที่หลัวเทียนเฉิง เจินเมี่ยว อาหู่
หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี แล้วเอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “ใช่หรือไม่?”
สายตาอีกคู่จึงมองไปที่หลัวเทียนเฉิงและเจินเมี่ยวแล้วพยักหน้าเอ่ยว่า “น่าจะไม่ผิด”
แม้นคนทั้งสองจะสวมเสื้อผ้าธรรมดายิ่ง ทั้งยังปิดบังหน้าตาไว้ แต่กลับมิอาจปิดบังสายตาอันแหลมคมของเขาเอาไว้ได้
หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาเช่นกัน
สองคนนี้เขาเคยเห็นมาแล้วเมื่อชาติที่แล้ว พวกเขาเคยลอบสังหารองค์ชายหก แต่ล้มเหลวจึงหลบหนีไปพึ่งลี่อ๋องที่ชิงเป่ย
ภายหลังเขาจึงมาทราบโดยบังเอิญว่า คนทั้งสองนี้เป็นคนของอดีตองค์รัชทายาท
อดีตรัชทายาทผู้นี้ มิใช่องค์รัชทายาทที่กำลังจะถูกปลดในเร็วๆ นี้ แต่เป็นพี่ชายของเจาเฟิงตี้ต่างหาก
ได้ยินมาว่ารัชทายาทพระองค์นั้นเป็นคนที่มีความสามารถไม่น้อย แต่คล้ายเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องฉาวโฉ่ภายในวังทำให้องค์จักรพรรดิปลดจากตำแหน่ง หลังจากนั้นก็หายหาบสูญไป
ด้วยเหตุนี้ตำหนักตงกงจึงวางลง ต่อมาเจาอวิ๋นจั่งกงจู่ต้องอภิเษกไปยังเผ่าเย่ว์อี๋ ในคืนวันอภิเษกกลับลงมือสังหารหัวหน้าเผ่า เจาเฟิงตี้ขอออกไปรบด้วยตนเอง ครานี้เองความสามารถจึงได้ประจักษ์แก่สายตาทุกคนและถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท
เรื่องในราชวงศ์ก่อนหลัวเทียนเฉิงมิทราบชัดเจนนัก แต่เขารู้ว่าคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านี้มาตามหาพวกเขาแน่ๆ
คนทั้งสองนั้นตรงไปตรงมายิ่ง เมื่อมั่นใจแล้วก็ชักดาบออกมาจากเอวแล้วพุ่งเข้าหาทันที
“เดี๋ยวก่อน!” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเย็น
คนทั้งสองจึงชะงักหยุดครู่หนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงเดินผ่านสองคนนั้นไปแล้วเอ่ยเนิบนาบมาว่า “ออกไปข้างนอกเถิด ข้ายังกินข้าวไม่เสร็จเลย อย่าทำให้หม้อต้องสกปรกดีกว่า”
กลุ่มคนที่บาดเจ็บนั้นถึงกับผงะหงาย สามีภรรยาคู่นี้เห็นเรื่องกินสำคัญเพียงนั้น!
ไม่นานเสียงกระทบกันของอาวุธก็ดังขึ้น แสงวิบวับของดาบ ไอสังหารกระจายไปทั่ว พริบตาก็ต่อสู้โรมรันกันจนแยกไม่ออกแล้ว
กลุ่มคนที่บาดเจ็บนั้นมิใช่คนธรรมดา จึงฉวยโอกาสนี้ทำแผลให้กัน เมื่อเห็นว่าด้านนอกคงต่อสู้กันอีกนาน สายตาที่มองเจินเมี่ยวและอาหู่จึงมิใคร่หวังดีนัก
คนที่ยังเคลื่อนไหวได้หลายคนนั้นมองสบตากันแล้วเข้าไปล้อมเจินเมี่ยวไว้
อย่างไรก็คงต้องตาย หากลากสองคนนี้ไปด้วยได้นับว่าได้แก้แค้นให้ตนแล้ว!
“พวกเจ้าอย่าเข้ามา หากเข้ามาข้าจะยิงทันที” อาหู่หยิบไม้ง่ามยิงก้อนหินขึ้นมา สีหน้าดูหวาดกลัว
คนทั้งหลายโมโหแทบตายแล้ว เพราะเจ้าเด็กคนนี้แสร้งเป็นสุกรหวังเขมือบพยัคฆ์ ทำให้พี่น้องของเขาต้องสังเวยชีวิต
“พี่น้องข้า จัดการเจ้าหนุ่มนั้นก่อนค่อยว่า”
“แค่กๆ” เสียงกระแอมไอดังขึ้นภายในวัด คนผู้มีใบหน้าตุ๊กตานั้นนั่งเล่นมีดบินในมือตน “ทุกท่านอย่าได้โยนหินซ้ำเติมคนคนใต้บ่อดีกว่า?”
“น้องชาย อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องจะดีกว่า!” คนผู้หนึ่งพูดขึ้นแล้วยื่นมือเข้าไปจับเจินเมี่ยว
บุรุษผู้นั้นย่อมต้องฆ่าคนปิดปาก หากมีสตรีผู้นี้ไว้ในมือก็ไม่แน่ว่าอาจมีทางรอดก็เป็นได้
ตั้งแต่ที่คนเหล่านั้นคอยมองมา เจินเมี่ยวก็เริ่มเปิดห่อสัมภาระตนไว้แล้ว รอจนคนเหล่านี้เข้ามาใกล้ นางก็หยิบมีดตัดฟื้นออกมาจากห่อสัมภาระพอดีแล้วยกมีดขึ้นฟันใส่มือคนผู้หนึ่ง
มือข้างหนึ่งมีเลือดพุ่งกระฉูดออกมา ในเวลาเดียวกันกริชเล่มหนึ่งก็บินเข้ามาจากนอกวัดร้างปักเข้าที่หัวใจคนผู้นั้นพอดี
มีดบินที่บุคคลผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตาถือเล่นอยู่นั้นร่วงตกลงบนพื้น แต่กลับลืมที่จะเก็บมันขึ้น สีหน้าเขาดูแข็งค้างไปราวกับหิน
ด้านนอกนั้นเป็นมือสังหารขั้นเทพจากที่ใดกัน ต่อสู้กับคนพวกนั้นอยู่แท้ๆ แต่ยังมีสายตามาสนใจเหตุการณ์ภายในวัดได้อีก ทั้งยังสลัดอาวุธเข้ามาในเวลาที่สำคัญอันทันท่วงทีอีกด้วย!
ยังมีแม่นางน้อยทีอ้อนแอ้นนี้อีก สวรรค์ เขามิได้มองผิดไปใช่หรือไม่ นั้นคือมีดตัดฟื้น?
บุรุษอีกผู้หนึ่งหยิบมีดบินขึ้นมา วางลงบนมือบุรุษหน้าตุ๊กตา แล้วตบบ่าเขาคราหนึ่ง “เจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ”
คนเหล่านั้นล้วนไม่กล้าขยับเคลื่อนไหวแล้ว ได้แต่ร้องไห้อย่างไร้น้ำตาเท่านั้น
สวรรค์คงกำลังกลั่นแกล้งพวกเขาอยู่แน่ๆ เมื่อใดกันที่เด็กหนุ่มอายุสิบห้าใช้ไม้ง่ามยิงก้อนหินแทนธนู บุรุษหนุ่มบอบบางกลายเป็นเทพสังหาร ห่อสัมภาระของแม่นางน้อยมิได้พกเข็มเย็บปักแต่เป็นมีดตัดฟืน!
คนผู้หนึ่งก้มหน้าเอ่ยอย่างท้อใจว่า “พี่น้องข้า เลิกดิ้นรนเถิด พี่ใหญ่ดูออกหมดแล้ว นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของเราแน่ สวรรค์คงปีศาจมาจัดการพวกเราแล้ว”
ยามนี้หากมีกระต่ายวิ่งเข้ามากินคน เขาก็คงเชื่อ!
คนเหล่านั้นเราหยุดนิ่งอย่างว่าง่าย เจินเมี่ยวจึงค่อยรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
การมองคนอื่นฆ่าคนกับตัวเองลงมือตัดมืดผู้อื่นนั้นไม่เหมือนกันสักนิด
ครั้นคิดถึงความรู้สึกตอนที่มีดฟันเข้าไปในเนื้อนั้นแล้ว ขนก็ลุกชันขึ้นมาทั้งร่าง
เจินเมี่ยวกดข่มความรู้สึกคลื่นไส้ไว้ แล้วเช็ดรอยเลือดบนมีดตัดฟืนนั้นออกด้วยใบหน้าขาวซีด ทั้งยังใช้น้ำล้างอีกรอบค่อยเก็บมันไว้ในห่อสัมภาระ คนในวัดที่มองมาล้วนบิดเบ้มุมปากพร้อมกัน
เสียงการต่อสู้ด้านนอกค่อยๆ เงียบลง หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามานั่งข้างเจินเมี่ยว “อาซื่อ มิเป็นอันใดใช่หรือไม่?”
อยู่ข้างนอกมิอาจเอ่ยนามจริงได้
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “มิเป็นไร เพียงแค่รู้สึกกลัวเล็กน้อยเท่านั้น”
ทุกคนต่างแทบร้องไห้ออกมาแล้ว ในใจก็กล่าวว่าพี่สาวท่านเอ่ยเช่นนี้ไม่รู้สึกผิดเลยหรือไร เมื่อครู่ที่ใช้มีดตัดฟืนฟันมือคนนั้นมือแทบไม่สั่นด้วยซ้ำ!
หลัวเทียนเฉิงประคองเจินเมี่ยวที่กำลังตกใจกินแผ่นแป้งไส้เนื้อด้วยกัน
บุรุษหน้าตุ๊กตาและสหายของเขาลุกขึ้นยืน
นัยน์ตาเย็นเยือกคู่นั้นของหลัวเทียนเฉิงมองพวกเขาอย่างสงบนิ่ง บุรุษใบหน้าตุ๊กตาฝืนยิ้มให้คราหนึ่ง “คือฟ้าใกล้สว่างแล้วมิใช่หรือ พวกเราสองพี่น้องคงต้องรีบไปก่อน ไม่รับกวนทุกท่านแล้ว”
กล่าวจบคนทั้งสองก็เดินออกไปอย่างแข็งทื่อ
อาหู่มองไปด้านนอกอย่างงุนงง แล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ยังมิทันถึงยามสองเสียหน่อยมิใช่หรือ?”
หลัวเทียนเฉิงกลับมิสนใจคนทั้งสองที่จากไปนั้นสักนิด เขาหยิบท่อนไม้เข้าเติมเข้าในกองไฟ
ยามนี้คนเหล่านั้นแม้จะร้องคร่ำครวญยังมิกล้า ด้วยกลัวว่าจะเรียกความสนใจจากหลัวเทียนเฉิงขึ้นมา
ทว่าผ่านไปไม่นาน คนทั้งสองที่เพิ่งจากไปก็กลับมา ทั้งร่างดูมอมแมมยิ่งทั้งยังหายใจหอบไม่หยุด
บุรุษผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นมองข้ามกลุ่มคนใกล้ตายเหล่านั้นแล้วเอ่ยกับหลัวเทียนเฉิงว่า “มีหมาป่า!”
คนอีกผู้หนึ่งจึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “ฝูงหมาป่า!”
เสียงแคร่กดังขึ้น ท่อนไม้หักออก หลัวเทียนเฉิงมองคนทั้งสองคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ดังนั้นพวกจึงกลับมางั้นหรือ?”
บุรุษใบหน้าตุ๊กตาร้อนใจทนแทบร้องไห้ออกมา “ขออภัยด้วย แต่นี่มิใช่เรื่องสำคัญในยามนี้ ประเดี๋ยวฝูงหมาป่าก็ตามมาทันแล้ว…”
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นยืนมองลอดหน้าต่างที่ผุพังของวัดร้างนี้ออกไปด้านนอก ก็เห็นว่าห่างออกไปราวสิบจั่งมีแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งขยับเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จึงเริ่มเห็นชัดขึ้นว่ามันคือสัตว์เดรัจฉานชนิดหนึ่ง
เขาอุ้มเจินเมี่ยวขึ้นโดยไม่แม้จะอธิบายอันใด แล้วร้องขึ้นว่า “อาหู่ ตามมา!”
พวกเขาถึงกลับพุ่งออกไปทันที
บุรุษใบหน้าดุจตุ๊กตาหันไปสบตากับสหายร่วมเดินทาง
บุรุษผู้นี้ช่างเ**้ยมเกินไปแล้ว ตนเองพุ่งเข้าไปต่อสู้กับฝูงหมาป่าไม่พอ แต่ยังเอาภรรยาและน้องชายไปด้วย?
บุรุษผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตารู้สึกผิดขึ้นมา “พวกเราก็ออกไปช่วยด้วยเถิด”
คนอีกผู้หนึ่งพยักหน้าเห็นด้วย
คนทั้งสองต่างเตรียมพร้อมจิตใจแล้วเดินออกไปหน้าประตูวัดก็เห็นฝูงหมาป่าใกล้เข้ามาแล้ว นัยน์ตาสีเขียวเป็นประกายสว่างวาบจ้องมองมาที่พวกเขา ดุจดวงไฟวิญญาณก็มิปาน
คนทั้งสองตัวสั่นงันงก แล้วเดินถอยหลังไปพร้อมกัน
แล้วคนทั้งสามนั้นเล่า?
เสียงต้นไม้สั่นดังขึ้นคราหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่นวลกระจ่างจึงสามารถมองเห็นต้นไม้แห้งหน้าวัดมีคนสามคนเบียดกันอยู่
คนทั้งสองมองฝูงหมาป่าอย่างขลาดๆ แล้วหันสบตากัน แล้วสบถออกมาพร้อมกัน
มารดามันเถอะ! ความจริงคือผู้อื่นออกมาแย่งพื้นที่หลบภัยของตนก่อนต่างหากเล่า!
ยามนี้มิอาจคิดอันใดให้มาก ภายใต้การคุกคามของฝูงหมาป่าเหล่านี้ คนทั้งสองจึงต้องแสดงฝีมือที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อนออกมาด้วยการปีนขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล่ว
เพียงแต่ต้นไม้ต้นนั้นเล็กบางไปสักหน่อย บุรุษสองคนขึ้นไปอยู่จึงทำให้ต้นไม้สั่นโงนเงนอย่างแรง ทุกคราที่มันเอนเอียง เม็ดเหงื่อก็ผุดขึ้นบนหน้าผากคนทั้งสองมากขึ้นทุกที
หากตกลงไปคงตกลงกลางฝูงหมาป่าพอดีเป็นแน่
เมื่อมองไปยังต้นไม้แห้งที่คนทั้งสองมิอาจขึ้นไปซ่อนตัวได้ ต่างก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา
ช่างเป็นดั่งสัจธรรมที่กล่าวไว้ว่า ไม่ว่าคนหรือเดรัจฉานล้วนเต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
แม้นหมาป่าจะปีนต้นไม้ไม่ได้ แต่กรงเล็บมันคมยิ่ง หากพวกมันใช้กรงเล็บข่วนพร้อมกัน คาดว่าไม่นานต้นไม้ก็คงล้มลงแน่ คนทั้งสองต่างอกสั่นขวัญแขวนก็เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าไปในวัดร้าง
หืม??
“กลิ่นคาวเลือด” เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
บุรุษใบหน้าดุจตุ๊กตาและสหายอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วจึงเข้าใจในทันที
สวรรค์ กล่าวเช่นนี้ คนเหล่านั้นที่อยู่ในวัด…
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องอันน่าสงสารก็ดังขึ้นจากข้างใน
หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปปิดหูเจินเมี่ยวไว้
เจินเมี่ยวหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
ถูกฆ่าตายกับถูกสัตว์ป่ากัดตาย แม้จะมีจุดจบที่เหมือนกัน แต่ขั้นตอนกลับมิใคร่เหมือนกันเท่าใด
หากคิดให้ถี่ถ้วนก็รู้สึกหนังศีรษะชาวาบไปหมด หากจะเข้าไปช่วยคนเหล่านั้น นางก็มิได้สูงส่งปานนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเบิกบานขึ้นจึงเลิกคิดไปเสีย แล้วซบลงในอกหลัวเทียนเฉิงหาที่สบายๆ หลับไปเสีย
รอกระทั่งฟ้าใกล้สางฝูงหมาป่าจึงจากไป หลัวเทียนเฉิงอุ้มเจินเมี่ยวกระโดดลงมาจากต้นไม้ เมื่อยืนมองเข้าไปอยู่หน้าประตูวัด ใจในกลับเกิดความแปลกใจขึ้นมา
เขาช่างโชคดีนัก กำลังคิดว่าจะอำพรางร่องรอยฆาตกรรมนี้เช่นไรอยู่พอดี ฝูงหมาป่านี้กลับเข้ามากัดแทะกระทั่งบิดามารดาล้วนจำไม่ได้แล้ว