วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 208
หลัวเทียนเฉิงหมุนกายกลับไปอย่างรู้สึกจนใจอยู่บ้าง “อาหู่ โลกภายนอกมิได้ดีอย่างที่เจ้าคิดดอก”
อาหู่เก็บข้าวของอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว เขานำมาเพียงห่อสัมภาระเล็กๆ ห่อหนึ่งเท่านั้น ดูเผินๆคล้ายสัมภาระห่อเสื้อผ้าไปอาบน้ำเท่านั้น เมื่ออาหู่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ข้ามิเคยไปข้างนอกนั้นเลย จึงมิเคยคิดว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้ากลับไปตอนนี้ยังทัน หากตามเรามาอาจจะพบกับอันตรายก็เป็นได้” หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง เหตุใดจึงต้องมาพบกับคนโง่งมที่พูดอย่างไรก็มินำพาถึงเพียงนี้
อาหู่ตบหน้าอกตนคราหนึ่ง “แม้นหมีตาบอดข้าก็มิกลัว!”
ต่อมากลับทำหน้าตาสลด “พวกเจ้าบอกว่าจะตอบแทนข้า มิอาจกลับคำรู้หรือไม่!”
หลัวเทียนเฉิงอยากจะชกปากตนเองเหลือเกิน
ก่อนจากมาเขานำเงินไปให้จำนวนหนึ่งแล้วกล่าวตามมารยาทว่าหากวันหน้ามีโอกาสจักต้องตอบแทนแน่ แต่เจ้าคนโง่งมนี้กลับตอบว่าบุญคุณนั้นตอบแทนได้เดี๋ยวนี้เลย แล้วก็ตามพวกเขามา
“ได้ แต่ต่อไปน้องชายห้ามเสียใจภายหลังและอย่าได้กล่าวตำหนิเราสองคนก็พอ” หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวเดินต่อไปข้างหน้าโดยอันใดให้มากความอีก
เจินเมี่ยวแบกสัมภาระรูปร่างยาวเดินตามไป
คนทั้งสามเดินอยู่บนเขาอยู่เป็นนาน กระทั่งฟ้าใกล้มืดจึงมองเห็นวัดร้างแห่งหนึ่ง
“คืนนี้พักที่นี่แล้วกัน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยกับเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวพยักหน้า
ตอนที่คนทั้งสามเดินเข้าไป กลับพบว่าด้านในวัดร้างนั้นมีคนนับสิบคนอยู่ในนั้น
คนพวกนั้นสภาพดูอเนจอนาถยิ่ง ต่างนอนกันอย่างสะเปะสะปะ เมื่อได้ยินเสียงจึงหันไปมองด้วยความตกใจ ครั้นเห็นบุรุษสอง สตรีหนึ่ง ทั้งอายุยังน้อยก็ลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก
เมื่ออีกฝ่ายยึดพื้นที่ไว้ก่อนแล้ว หลัวเทียนเฉิงจึงโค้งศีรษะให้ด้วยรอยยิ้มตามมารยาทพื้นฐานถือเป็นการทักทาย แล้วจึงค่อยเลือกนั่งลงที่มุมหนึ่งในวัดร้างนั้น
เขาวางสัมภาระที่แบกมาทั้งสองห่อวางลงบนพื้นแล้วเอ่ยกับเจินเมี่ยวว่า “อดทนอีกหน่อยเถิด หากพบหมู่บ้านแล้วเราค่อยซื้อรถวัวลาก”
เอ่ยถึงตรงนี้หลัวเทียนเฉิงก็เบื่อหน่ายขึ้นมาอีก หมู่บ้านนั้นเล็กเกินไปจริงๆ ทั้งหมู่บ้านอย่าว่าแต่วัวสักตัวเลย แม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่มี!
เมื่อได้ยินคำว่าซื้อรถวัวลาก คนทั้งหลายเหล่านั้นต่างหันไปสบตากันตามสัญชาตญาณ เพราะอยู่ห่างไกลกันพอสมควร พวกเขาจึงเอ่ยซุบซิบเสียงแผ่วเบาว่า “ได้ยินหรือไม่ ซื้อรถวัวลากได้ ดูท่าคงมีเงินไม่น้อย!”
บางคนจึงเกิดความคิดขึ้นมา “พี่ใหญ่ ครั้งนี้พวกเราทำงานผิดพลาด กลับไปก็ยังไม่ทราบว่าจะพูดกับนายท่านตระกูลตงอย่างไร หรือว่า…”
“ดูการแต่งตัวของพวกเขาแล้วก็มิได้ร่ำรวยปานนั้น หากคิดจะใช้พวกเขาไปชดเชยความเสียหายทั้งหมดนั้นเลิกคิดได้เลย แต่แม่นางน้อยผู้นั้น พวกเจ้าเห็นหรือไม่ งามเหลือเกิน หากยกให้เป็นอนุคนที่แปดของนายท่านตระกูลตง ไม่แน่ว่านายท่านอาจดีใจจนยกโทษให้เราทั้งหมดเลยก็ได้”
เสียงเคร้งดังขึ้น
คนทั้งหลายหันไปมองตามเสียงก็เห็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ในกลุ่มบุรุษสองสตรีหนึ่งนั้นหยิบหม้อใบเล็กออกมาทิ้งลงบนพื้น
บุรุษหล่อเหล่าผู้นั้นคล้ายทราบว่าเสียงเอะอะนี้รบกวนคนฝั่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วยิ้มให้
คนทั้งหลายนั้นรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างประหลาด
คนผู้หนึ่งพึมพำขึ้นว่า “มิใช่ว่าคนผู้นั้นได้ยินพวกเราพูดคุยกันแล้วหรือ?”
มีคนแย้งขึ้นว่า “ไกลเพียงนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร!”
คนผู้หนึ่งจึงเอ่ยอย่างระแวดระวังว่า “เราเลิกพูดกันเถิด รอให้พวกเขาหลับ เราค่อยลงมือ จะได้ไม่มีอันใดผิดพลาด”
คนทั้งหลายจึงหยุดพพูดคุยกันทันใด
หลัวเทียนเฉิงก่อไฟตั้งหม้ออย่างคล่องแคล่ว เจินเมี่ยวหยิบเนื้อกระต่ายที่จัดการทำความสะอาดตั้งแต่อยู่ริมแม่น้ำนั้นออกมาหั่นเป็นแผ่นๆ ลงไปในหม้อ แล้วค่อยหยิบแผ่นแป้งที่อบเสร็จแล้วมาปิ้งอีกครั้ง
กลิ่นหอมของเนื้อและแผ่นแป้งตลบอบอวลขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำมันจากเนื้อหยดลงบนกองไฟเสียงดังซู่ๆ
เจินเมี่ยวขยับเข้าไปถามว่า “เป็นอันใด หรือคนฝั่งนั้นพูดอันใดให้ท่านไม่ชอบใจ?”
คนทั้งสองอยู่ด้วยกันมานานเพียงนี้ หากอีกฝ่ายมีอารมณ์ที่เปลี่ยนไป เจินเมี่ยวไหนเลยจะสัมผัสมิได้
“มิได้ว่าอันใด”
“ไม่มี?” เจินเมี่ยวไม่เชื่อ “ไม่มีแล้วท่านจะโยนหม้อจนเกือบแตกด้วยเหตุใด? ทำเอาข้ากลัวว่าจะไม่มีข้าวกินเสียแล้วรู้หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองนางคราหนึ่ง “พวกเขาบอกว่า รอให้เราหลับแล้วจะขโมยเงินและลักพาตัวเจ้าไป”
“อืม” เจินเมี่ยวเข้าใจขึ้นมาทันที แล้วนางก็ปิ้งแผ่นแป้งต่อไป “แผ่นแป้งนี้หากปิ้งสักหน่อยจะอร่อยกว่าอบธรรมดาเสียอีก”
หลัวเทียนเฉิงมีสีหน้าแปลกใจยิ่ง
เขารู้สึกคล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง หรือวาจาเมื่อครู่มิได้ทำให้นางกังวลเท่ากับการพลิกขนมแผ่นแป้งเลย?
ช่างมิให้โอกาสผู้อื่นได้ปลอบเลยรู้หรือไม่!
เจินเมี่ยวไม่ทราบว่าสามีผู้ยิ่งใหญ่กำลังคิดสิ่งใด นางหยิบถุงใบเล็กจากเอวเปิดเอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาเปิดแล้วเทสิ่งที่อยู่ในนั้นลงบนเนื้อ
“สิ่งนี้กินได้หรือ?” เพราะความแปลกใจนี้ทำให้หลัวเทียนเฉิงลืมสิ่งที่กำลังคิดเมื่อครู่ไปทันที
ภายใต้เปลวไฟที่ส่องสะท้อนนี้ทำให้แก้มของเจินเมี่ยวแดงปลั่งไปหมด นางยิ่งหางตาหยักโค้ง “สิ่งนี้เรียกว่าจือหราน[1] เป็นเครื่องปรุงที่ดีมากยิ่งรู้หรือไม่ หากโรยใส่แผ่นแป้งไส้เนื้อนี้เล็กน้อยมันก็จะอร่อยยิ่งขึ้น ความจริงมันเหมาะใส่เนื้อย่างมากกว่า แต่เราเดินทางมานานเพียงนี้ การดื่มน้ำแกงนั้นจะเหมาะกว่า พรุ่งนี้ท่านไปล่าไก่ป่าสักตัวเถิด เราค่อยกินไก่ย่างกัน”
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า ช่วงเวลาอันเคราะห์ร้ายนี้กลับยังมีอันใดดีๆ บ้าง นางเห็นว่าในบ้านของอาหู่นั้นมีจือหรานตากแห้งอยู่ แต่ท่านน้าไม่รู้ว่ากินได้ นางจึงบอกเคล็ดลับไปว่าหากปวดท้องให้ผัดกิน
อาหู่ขยับใกล้เข้ามา เจินเมี่ยวจึงส่งแป้งแผ่นไส้เนื้อที่ปิ้งเสร็จแล้วให้เขา
อาหู่ประคองแผ่นแป้งไส้เนื้อไว้แล้วกัดกินคำใหญ่อย่างไม่กลัวร้อนแม้แต่น้อย
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยจึงชำเลืองมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่ง
ช่างไม่มีจิตสำนึกบ้างเลยหรือ? ให้อาหารที่เพิ่งปิ้งเสร็จนั้นแก่ชายอื่นมิให้สามีตน
เจินเมี่ยวหยิบไม้ไผ่ที่เหลาจนกลายเป็นตะเกียบคู่หนึ่งขึ้นมาคนน้ำแกงเนื้อกระต่าย แล้วเอ่ยอธิบายว่า “ท่านต้องบำรุงร่างกายอีกสักหน่อย ดื่มน้ำแกงก่อนดีต่อร่างกายยิ่ง”
เมื่อเห็นคนฝั่งนั้นกินอาหารกันอย่างออกรสออกชาติ โดยเฉพาะกลิ่นเนื้อที่ผสมผสานกับกลิ่นจือหรานที่หอมเป็นพิเศษนั้นมันต่างมุดเข้าไปในรู้จมูกของคนทั้งหลายอย่างซุกซน
หอมเหลือเกิน ช่างทำให้คนอดใจไว้ไม่ไหวเสียจริงๆ!
หลายคนนั้นมองหน้ากัน แล้วเดินเข้าไปหาทันที
คนที่เป็นหัวหน้าเผยรอยยิ้มออกมา “น้องชาย การใช้ชีวิตนอกเรือนนั้นไม่ง่ายเลย พวกพี่ชายขอกินด้วยสักหน่อยจะได้หรือไม่?”
เห็นหรือไม่ว่าพวกเขามีนับสิบแต่อีกฝ่ายมีเพียงสามคนเท่านั้น
แม่นางน้อยนั้นมิต้องพูดถึงเลย ส่วนอีกสองคนหรือ ผู้หนึ่งเป็นบุรุษหล่อเหลา รูปร่างผอมบาง แค่มองก็รู้ทันทีว่าอ่อนแอจนมิอาจต้านลมไหว ส่วนอีกคนแม้นจะบึกบึนแต่จากท่าทางแล้วดูจะเป็นคนด้อยสติปัญญาอยู่สักหน่อย ทั้งอายุก็ยังน้อยเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มิจำเป็นต้องนับรวมเขาเลยด้วยซ้ำ
หากคนทั้งสามนี้ไม่โง่คงไม่มีทางปฏิเสธคำขอของพวกเขาแน่นอน
“ไม่ได้” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น
เพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะปฏิเสธ เมื่อได้ยินสองคำนี้ คนที่เป็นหัวหน้านั้นแทบจะนั่งลงหยิบอาหารขึ้นกินเองแล้ว
แต่คนอื่นอีกหลายคนกลับเข้าใจ สีหน้าจึงเปลี่ยนสีทันทีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหนุ่มนี่ ช่างไร้น้ำใจสิ้นดี คนที่บ้านเจ้ารู้หรือไม่?”
คนที่เป็นหัวหน้ามีสติกลับคืนมาแล้วจึงส่งสัญญาณให้คนทั้งหลายเงียบเสียก่อน สายตานั้นมองตกไปที่หลัวเทียนเฉิง “น้องชายบอกว่าไม่ได้หรือ?”
หลัวเทียนเฉิงหันไปถามเจินเมี่ยวว่า “ข้าพูดเบาไปหรือ?”
“ไม่” เจินเมี่ยวส่งถ้วยน้ำแกงเนื้อกระต่ายให้เขา “เลิกพูดเถิด กินก่อน กำลังร้อนๆ”
คนที่เป็นหัวหน้าหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “เหตุใดน้องชายจึงไร้ไมตรีเช่นนี้ ออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านผู้ใดก็ล้วนพบความลำบากด้วยกันทั้งสิ้น”
หลัวเทียนเฉิงซดน้ำแกงร้อนคำหนึ่งแล้วรู้สึกสบายท้องขึ้นมา อารมณ์จึงดีไม่น้อย
ภรรยาเขาพูดถูก ดื่มน้ำแกงก่อนค่อยกินเนื้อ ช่างดีจริงๆ
เมื่ออารมณ์ดีจึงมิถือสาที่จะอธิบายให้เขาฟังเล็กน้อย “อ้อ ข้ามิใช่ไร้ไมตรี เพียงแต่เมื่อครู่ได้ยินพวกท่านบอกว่าจะขโมยเงินและลักพาภรรยาข้าไป จึงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย”
“เจ้าจะได้ยินได้อย่างไร!” คนทั้งหลายต่างตกใจยกใหญ่
หลัวเทียนเฉิงมองอย่างแปลกใจคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ย่อมต้องใช้หูฟัง”
“เจ้าหนุ่ม แกล้งพวกเราหรือเช่นนั้นก็อย่าตำหนิว่าเราไม่ไว้หน้าแล้วกัน ” คนที่เป็นหัวหน้าเอ่ยหน้าตาเ**้ยมเกรียม แล้วล้วงมีดออกมาทันที
เจินเมี่ยวตกใจยิ่ง “ท่านพี่ ท่านบอกว่าราษฎรทั่วไปมิพกมีดเพราะจะถูกมือปราบจับมิใช่หรือ!”
หากมิเป็นเช่นนั้น นางจะห่อพันมีดตัดฟืนที่ซื้อมาจากบ้านหมู่บ้านท่านน้าอย่างยากลำบากด้วยเหตุใดกัน ส่วนดาบยาวที่ค้นจากองครักษ์ตัวปลอมผู้นั้น พวกเขาได้ขุดหลุมฝังไปนานแล้วเพราะมันเป็นอาวุธของหน่วยองครักษ์จิ่นหลินจึงไม่อยากพกไว้ให้เกิดความยุ่งยากใดๆ ขึ้น
“หึๆๆ แม่นางน้อยเจ้าช่างไร้เดียงสานัก พวกเราหลายคนเหมือนเป็นชาวบ้านทั่วไปหรือ? ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังดูไม่ออก? “
เจินเมี่ยวพยักหน้าโดยแรง “ข้าดูออกแล้ว ท่านพี่ ท่าท่านคงต้องออกแรงสักหน่อยก่อนกินข้าวแล้ว ข้าจะเฝ้าน้ำแกงเนื้อกระต่ายและแผ่นแป้งไส้เนื้อนี้ไว้อย่างดี ท่านวางใจได้”
“เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว ” หลัวเทียนเฉิงทะยานเข้าไปใกล้ พริบตาก็เตะคนสองสามคนที่ยืนอยู่ใกล้นั้นกระเด็นออกไป
แย่แล้ว เจอยอดฝีมือเข้าแล้ว!
คนเหล่านี้รู้วิชาต่อสู้อยู่บ้าง เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ต่างล้วงเอาอาวุธ แสดงความโหดเ**้ยมของตนออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่หลัวเทียนเฉิงทันที
หลัวเทียนเฉิงแม้นเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บแต่การต่อกรกับคนเหล่านี้กลับมิได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด
บุรุษสองคนที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักส่งสายตาให้กันแล้วแอบย่องไปทางเจินเมี่ยว
ขอเพียงจับภรรยาของเขาไว้ เขามีหรือจะไม่ยอมจำนน!
เสียงการต่อสู้นั้นปิดกั้นเสียงจากภายนอกไว้จนหมด บุรุษสองคนจูงมาเดินใกล้เข้ามาหวังหาที่พัก พวกเขาหยุดอยู่หน้าวัดร้าง เมื่อเห็นเหตุการณ์ข้างในนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง
พวกเขาเห็นบุรุษสองคนเดินเข้าไปล้อมสตรีอ่อนแอผู้หนึ่ง
ผู้มีใบหน้าดั่งเด็กน้อยอยากจะเข้าไปช่วยอย่างยิ่งแต่กลับถูกบุรุษอีกผู้หนึ่งห้ามไว้
“อย่าเพิ่งวู่วาม ผู้ใดจะทราบว่าทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นคนเช่นไร ดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากล่าวเถิด”
คนที่เดินนำหน้าพยักหน้าแล้วหยุด เขาล้วงเอามีดบินออกมา
อาหู่ทั้งหวาดกลัวและตกใจ “พวกท่าน พวกท่านคิดจะทำอันใด? ”
“รีบหลบไปเสีย แล้วท่านปู่จะไว้ชีวิตเจ้า!” คนผู้หนึ่งเอ่ยขู่ขวัญ
เด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบหน้าดูหน้าตาขมขื่นจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาล้วงเอาไม้ง่ามยิงก้อนหินขึ้นมาเล็งใส่คนทั้งสองด้วยมืออันสั่นเทา “อย่าเข้ามาทำร้ายพี่สาวข้าเด็ดขาด มิเช่นนั้น มิเช่นนั้นข้าจะยิงพวกท่านจริงๆ ด้วย”
“หึๆ เจ้าเด็กโง่ เจ้ายิงเลย!” หนึ่งในสองคนนั้นทำหน้าล้อเลียนวิ่งเข้ามาหา
หัวหน้าและพวกของเขากำลังจะไม่ไหวแล้ว พวกเขาควรรีบจับตัวแม่นางน้อยนี้ไว้เสียดีกว่า
พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผาก แล้วเบิกตากว้างขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ
คนอีกผู้หนึ่งเห็นคนตรงหน้าหยุดนิ่ง จึงไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น เขาอ้อมเข้าไปที่ด้านหลังเจินเมี่ยว แต่ร่างก็ต้องหยุดนิ่งไปโดยพลันเช่นกัน
มือที่ลูกห่อผ้าของเจินเมี่ยวนิ่งไป นางมองคนทั้งสองที่นอนล้มอยู่บนพื้นอย่างตกตะลึง
คนทั้งสองมีรูโหว่ที่หน้าผาก โลหิตค่อยๆ ไหลออกมา ครู่เดียวโลหิตก็เปื้อนเต็มหน้าจนมองไม่ออกแล้วว่าเป็นผู้ใด
เจินเมี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึก เสียงที่เอ่ยดูแห้งผากเล็กน้อย “น้องชาย สิ่งนี้ของเจ้าเรียกไม้ง่ามยิงก้อนหินหรือ?”
นี่มิใช่ปืนที่ใส่เสื้อกั๊กจริงๆ ใช่หรือไม่?
หลัวเทียนเฉิงจัดการคนทั้งหลายจนเรียบร้อยไปนานแล้ว จึงยืนไพล่หลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสงบนิ่ง
อาหู่หน้าซีดขาวไปหมด เขาส่ายศีรษะเป็นระวิง “ข้า ข้าขอร้องพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่ฟัง…”
หลัวเทียนเฉิงเดินก้าวยาวเข้ามาตบบ่าอาหู่คราหนึ่ง “น้องชาย ทำได้ไม่เลวเลย”
แล้วหันหลังกลับไปมองคนทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าประตูวัดร้างด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ผู้มีใบหน้าดุจตุ๊กตานั้นถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “ขออภัย เข้าผิดประตูเสียแล้ว…”
——
[1] จือหราน เป็นพืชชนิดหนึ่ง (เมล็ดคล้ายเปลือกข้าว) ดอกมีลักษณะชมพูแดงหรือขาว รูปร่างเรียวยาว ดอกออกในเดือนเมษายน ผลออกเดือนพฤษภาคม มีกลิ่นหอมเข้มข้น ทั้งยังมีสรรพคุณทาง