วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 207
ภายในโลงสีดำนั้นถูกถมไว้ด้วยน้ำแข็งจนเต็ม เมื่อเปิดฝาโลงออกก็คล้ายบรรยากาศรอบตัวหนาวเย็นขึ้นอีกหลายส่วน
สีหน้าของกู่หมิงดูเคร่งขรึมยิ่ง “นายท่านสามสกุลเจิน เชิญท่านดูเถิด”
ที่เขาอยู่ที่นี่ไม่ไปไหนเพราะหนึ่งเขาไม่แน่ใจว่าศพในโลงเป็นหลัวเทียนเฉิงจริงหรือไม่ สองยังหาเจินเมี่ยวไม่พบ หากกลับไปเช่นนี้แล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เขาคงไม่ทราบจะทูลฝ่าบาทเช่นไร
เมื่อคิดว่าทั้งสองตระกูลจักต้องส่งคนมาอย่างแน่นอน ตนจึงรอให้พวกเขามายืนยันศพและตามหาเจินเมี่ยวไปพลาง
นายท่านสามสกุลเจินรวบรวมความกล้าหันไปมองคราหนึ่ง
“นายท่านสามสกุลเจิน ใช่หรือไม่…” กู่หมิงยังมิทันกล่าวจบก็เห็นนายท่านสามสกุลเจินจับขอบโลงไว้แล้วอาเจียนออกมา
แม้นศพนั้นจะใช้น้ำแข็งมิให้เน่าแต่ก็ผ่านมาสักระยะแล้ว ทั้งยังมีคนมาอาเจียนอยู่ข้างโลงอีกทำให้กู่หมิงเริ่มไม่พอใจขึ้นมาแล้วเช่นกัน
เจินฮ่วนกับเจี่ยงเฉินรีบเข้าไปประคองนายท่านสามไว้
เมื่อเห็นว่านายท่านสามหยุดอาเจียนแล้ว กู่หมิงจึงเดินเข้าไปเอ่ยถามอีกว่า “นายท่านสามสกุลเจิน…”
นายท่านสามสกุลเจินเงยหน้าขึ้นมองกู่หมิงแล้วนึกภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อครู่ขึ้นมาอีกจึงร้องอาเจียนขึ้นมาอีกทันใด
กู่หมิงหน้าดำคล้ำไปครึ่งหนึ่ง แต่ต้องกดข่มไว้ด้วยคิดจะเอ่ยถามต่อ นายท่านสามสกุลเจินกลับโบกมือไหวๆ “ประ…ประเดี๋ยวก่อนน ตอนนี้ข้าเห็นหน้าท่านก็มักนึกถึงภาพที่เมื่อครู่ปรากฏขึ้นมา”
ใบหน้ากู่หมิงเหยเกอย่างที่สุด
ดูถูกกันเกินไปแล้ว เขากับผู้ที่นอนอยู่ในโลงนั้นมีความคล้ายคลึงกันเพียงนั้นเชียวหรือ?
กู่หมิงรอให้นายท่านสามสกุลเจินอาการดีขึ้นอีกครั้งแล้วจึงฉีกยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกเจ็บฟันยิ่งนนั้นออกมา “นายท่านสามสกุลเจิน ท่านดูออกหรือไม่ว่าคนในโล่งนั้นคือคุณชายผู้สืบทอดหลัว?”
นายท่านสามสกุลเจินอยากจะอาเจียนขึ้นมาอีก แต่กลับพบว่าไม่มีอันใดให้อาเจียนแล้ว จึงข่มใจเอาไว้ยกผ้าขึ้นมาเช็ดที่มุมปากตนแล้วเอ่ยว่า “อันใดกัน? เจ้าถามว่าศพในโลงนั้นใช่ลูกเขยข้าหรือไม่?”
เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วส่ายหน้า
กู่หมิงไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเศร้าโศก
แม้นตนกับหลัวซื่อจื่อจะเหมือนแข่งขันกันอยู่ในที แต่เขายังหนุ่มแน่นทั้งมีความสามารถถึงเพียงนั้น หากคนที่นอนอยู่มิใช่เขานั้นก็หมายความว่าเขาอาจจะยังไม่ตาย อย่างไรก็นับเป็นเรื่องน่าดีใจ
ยามนี้เขาได้ออกตามหาไปทั่วเป่ยเหอแล้วและยังค้นหาหมู่บ้านและอำเภอใกล้เคียงอีกด้วย แต่ก็ไม่พบเบาะแสแม้เพียงสักเล็กน้อย เช่นนั้นเขาก็จำต้องรีบกลับไปแล้ว หากยืดเยื้อไว้นานเกินไปไม่แน่อาจจะถูกลงโทษก็เป็นได้
กู่หมิงลังเลอยู่ในใจ ขณะกำลังจะสั่งให้คนปิดฝาโลงก็ได้ยินนายท่านสามสกุลเจินเอ่ยว่า “ขออภัย เมื่อครู่ข้ายังดูไม่ชัดเจน”
มารดามันเถอะ!
กู่หมิงหันไปมองด้วยใบหน้าดำมืด เกือบจะด่าออกมาเสียแล้วแต่ก็ข่มไฟโทสะเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นที่เมื่อครู่นายท่านสามส่ายหน้า…”
“ยังดูไม่ชัด ข้าจะพยักหน้าได้หรือ?” นายท่านสามสกุลเจินรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
‘กร๊อบๆ’ เสียงหักข้อนิ้วมือของใครบางคนดังขึ้น พลางกัดฟันเอ่ยว่า “นายท่านสามพูดถูก ยังดูไม่ชัดย่อมต้องส่ายหน้า แต่หากท่านดูยังไม่ชัดแล้วอาเจียนออกมาด้วยเหตุใดเล่า?”
“ก็ข้าเห็นใบหน้าที่ขาดแหว่งเหวอะหวะเช่นนั้นอย่างไรเล่า” น้ำเสียงของนายท่านสามสกุลเจินฟังดูเจ็บปวดยิ่ง
ใบหน้าเช่นนั้นต้องให้ดูต่อไปเรื่อยๆ ถึงอาเจียนได้หรือ? อย่าล้อเล่นน่า!
มารดามันเถอะ!
กู่หมิงอยากจะด่าทอออกไปสักคราจริงๆ
หากใบหน้ามิขาดแหว่ง เขาจะรอคนมาตรวจดูเพื่อยืนยันไปไยกัน?
เจินฮ่วนเดินเข้ามาก้าวหนึ่ง “ขออภัยด้วย ท่านพ่อรีบเร่งเดินทางมานานเกินไป จึงรู้สึกไม่ใคร่สบายตัวนัก”
กู่หมิงหน้าขรึมลง แต่กลับด่ากราดอยู่ในใจ ไม่สบายตัวหรือ? เห็นชัดว่าสติปัญญามีปัญหามากกว่า!
“ให้ข้าดูแทนเถิด” เจินฮ่วนเดินเข้าไป เขาข่มความหวาดกลัวในใจไว้แล้วตรวจสอบศพนั้นอย่างละเอียด
มองเพียงครู่ก็รู้สึกว่ารูปร่างเหมือนกันอย่างยิ่ง จึงเอาแต่จ้องมองใบหน้าอันเละเทะนั้น
เจี่ยงเฉินก็เดินเข้ามาดูเช่นกัน
คนทั้งสองมองอยู่พักใหญ่ แต่ก็รู้สึกลังเล
รูปหน้านั้นหากพยายามดูสักหน่อยก็พอจะมองได้ว่าคล้ายหลัวเทียนเฉิงอยู่มาก
แต่จะใช่หรือไม่ใช่นั้น ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ
ครั้นเห็นท่าทีของพวกเขา กู่หมิงก็ทราบแล้วว่ามิอาจยืนยันได้จึงถอนหายใจออกมาอย่างอดมิได้ ดูท่าคงต้องรอคนจากจวนกั๋วกงเสียแล้ว
เคราะห์ดีที่วันต่อมาคุณชายรองและคุณชายสามก็มาถึง คนทั้งหลายจึงไปดูศพอีกครา คุณชายรอเลิกขากางเกงของคนผู้นั้นขึ้นดูครู่เดียวก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ผิด เป็นพี่ใหญ่ข้าเอง”
ครั้นวาจานี้เอ่ยออกไป บรรยากาศพลันเงียบงันไป เจินฮ่วนกลับเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “คุณชายรอง
แน่ใจหรือ?”
น้ำเสียงของคุณชายรองดูเจ็บปวดอยู่ลึกๆ “แม้นจะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นความจริง ตอนเด็กพี่ใหญ่เคยถูกสุนัขวิ่งไล่จนล้มลงบนพื้นหิน หัวเข่าด้านซ้ายจึงมีรอยแผลเป็นคล้ายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอยู่”
แล้วชี้ให้ทุกคนดู
ศพของบุรุษผู้นั้นมีแผลเป็นที่หัวเข่าจริงๆ แต่เพราะบาดแผลที่เกิดขึ้นใหม่ก็มีอยู่มากจึงบดบังแผลเป็นเก่าไปมากกว่าครึ่ง แต่หากพยายามดูให้ดีจะเห็นเป็นรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องขอให้ทุกท่านส่งหลัวซื่อจื่อกลับเมืองหลวงแล้ว”
“ยังหาพี่สะใภ้ข้าไม่พบใช่หรือไม่?” คุณชายรองถาม
กู่หมิงส่ายหน้า
“เป็นไปไม่ได้ หลัวซื่อจื่อกับญาติผู้น้องข้าขี่ม้าตัวเดียวกัน จะพบเพียงคนเดียวแล้วไม่เหลือร่องรอยของอีกคนเลยได้อย่างไร” เจี่ยงเฉินที่นิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงหนักแน่น “หากกระโดดลงจากหลังม้า ข้าเชื่อว่าหลัวซื่อจื่อจักต้องอุ้มนางกระโดดลงมาด้วยกันแน่ เช่นนั้นพวกเขาควรต้องอยู่ด้วยกัน”
กู่หมิงเริ่มรู้สึกทนไม่ได้จึงเอ่ยออกมาในที่สุดว่า “ตอนที่พวกเราไปถึงนั้นกำลังมีสัตว์ป่าหลายตัวรุมล้อม…”
เจินฮ่วนฟังแล้วดวงตาแดงก่ำขึ้นมา “ใต้เท้ากู่มิจำเป็นต้องพูดแล้ว หากน้องสาวยังอยู่ต้องเห็นคนตายต้องเห็นศพ มิเช่นนั้นเราจะไม่ยอมกลับไปเด็ดขาด”
เจี่ยงเฉินหลุบม่านตาลง พยายามควบคุมอารมณ์ของตนอย่างเต็มที่
“น้องสาม เจ้าไปส่งพี่ใหญ่กลับเมืองหลวง ข้าจะอยู่ตามหาพี่สะใภ้ก่อน”
“พี่รอง ให้ข้าอยู่เถิด ข้าฝีมือดีกว่าท่าน”
คุณชายรองมองกู่หมิงคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เลิกโต้แย้งได้แล้ว เชื่อข้า มีทหารมากมายเพียงนี้ ฝีมือของเจ้าคนเดียวนับเป็นอันใดได้”
ทุกอย่างจึงเป็นไปเช่นนี้ เมื่อคุณชายสามกินข้าวเสร็จก็รีบเดินทางกลับเมืองหลวงทันที
ระหว่างทางที่ไปส่งนั้นสองพี่น้องจึงเอ่ยล่ำลากัน คุณชายสามอดเอ่ยออกมามิได้ว่า “พี่รอง ศพนั้นเป็นพี่ใหญ่จริงๆ หรือ?”
คุณชายรองเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่พี่ใหญ่จะเป็นใคร รูปร่างหน้าตาเหมือนพี่ใหญ่ทุกกระเบียด ทั้งยังมีรอยแผลเป็นที่ขาอีก เจ้าก็เห็นมิใช่แล้วมิใช่หรือ”
คุณชายสามพลันห่อเ**่ยวลงทันใด เขาเอ่ยเหม่อลอยว่า “ใช่ แต่ข้าเพียงรู้สึกว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงจากไปเช่นนี้ได้”
คุณชายรองถอนหายใจ “ใช่ ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน อย่างไรเจ้าก็ต้องคุ้มครองศพพี่ใหญ่ให้ถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย อย่าให้เกิดความผิดพลาดใดได้ รู้ใช่หรือไม่?”
“พี่รองวางใจเถิด นอกจากองครักษ์จากจวนเรา ใต้เท้ากู่ยังส่งทหารมาอีกจำนวนไม่น้อย แล้วจะมีอันใดผิดพลาดได้เล่า”
โลงศพสีดำมืดนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากเมืองไปภายใต้สายตาสนอกสนใจของคนทั้งหลาย
ณ วังจั่งกงจู่
ฉงสี่เซี่ยนจู่เดินเข้าไปในห้องบรรทมของจั่งกงจู่ นางถอดรองเท้าปักลายนั้นออกแล้วเดินไปคุกเข่าลงข้างแท่นบรรทม
“ท่านแม่ มีข่าวจากเป่ยเหอบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
สหายมีภัย นางคงทำได้เพียงขอร้องให้จั่งกงจู่ส่งคนออกไปตามหา นอกเหนือจากนี้คงทำได้เพียงรออย่างทุกข์ทนแล้ว
จั่งกงจู่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเข้าใจ “ไม่มี”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ขบริมฝีปากล่างตน “ท่านแม่ หากมีข่าวมาถึง ท่านต้องบอกลูกนะเจ้าคะ”
“แน่นอน”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ลุกขึ้นเดินถอยออกไปเงียบๆ
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่หันไปมองสารที่เพิ่งดึงออกมาจากขานกส่งสารไม่นานก่อนหน้านี้ครู่หนึ่ง แล้วเรียกคนสนิทเมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ส่งคนไปอีกสิบคน ชิงศพของหลัวซื่อจื่อมาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้ส่งเข้าเมืองหลวงมาได้เด็ดขาด”
“ขอรับ” คนผู้นั้นรับคำแล้วก็จากไป
“เดี๋ยวก่อน”
คนผู้นั้นหยุดชะงักทันที
“ห้ามให้ศพเสียหาย ดีที่สุดคือลอบนำมันมาที่วังแห่งนี้ แต่หากทำมิได้ก็หาสักที่เพื่อเก็บรักษาไว้ก่อน”
“ข้าน้อยทราบแล้ว” คนผู้นั้นจึงออกไป
เสียงดังปัง หน้าต่างถูกผลักออก ฉงสี่เซี่ยนจู่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบเรียบร้อย นางมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่โดยมิเอ่ยอันใด
สองแม่ลูกสบตากันอยู่นาน เจาอวิ๋นจั่งกงจู่จึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “ฉงสี่เข้ามาในห้องก่อน”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ก้าวเท้าไร้สุ้มเสียงย่างเหยียบลงบนพรมเดินไปหาเจาอวิ๋นจั่งกงจู่
เมื่อถึงตรงหน้ากลับไม่ยอมคุกเข่า แต่กลับยืนอยู่เช่นนั้นแล้วเอ่ยถามเสียงเบาว่า “ท่านแม่จะมิอธิบายกับลูกสักหน่อยหรือ?”
“อยากจะรู้อันใดหรือ?” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ยังคงท่าทีสงบนิ่งอย่างที่เคยเป็นคล้ายฉงสี่เซี่ยนจู่มิเคยเดินออกไปมาก่อน
ฉงสี่เซี่ยนจู่เม้มริมฝีปาก “อยากจะทราบว่าหลัวซื่อจื่อและเจินเมี่ยวเป็นเช่นใดบ้าง และอยากทราบว่าเหตุใดท่านแม่จึงส่งคนไปขัดขวางการเคลื่อนศพเข้าเมืองหลวงด้วย”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่จ้องมองเล็บที่ทาเป็นสีน้ำเงินแล้วยื่นสารนั้นให้ไป
ฉงสี่เซี่ยนจู่รับมาอ่านครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อ”
“หืม? เจ้าเคยเห็นฝีมือของหลัวซื่อจื่อหรือ?”
“ไม่ แต่ลูกเชื่อความรู้สึกของตนเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “และสายตาของเจินเมี่ยวด้วย”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่คลี่ยิ้มบางเบา “ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกัน”
เด็กหนุ่มผู้นั้นเคยเผยกระบวนท่าวิชาที่ฝึกออกมาอย่างไม่รู้ตัว และมันก็เหมือนกับภาพวาดในตำราลับเล่มนั้นที่นางเก็บรักษาไว้เมื่อหลายปีก่อน ช่างแปลกเหลือเกินจริงๆ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางสามารถยืนยันได้ นอกจากเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดแล้ว เขาผู้ซึ่งมีเคล็ดวิชานั้นย่อมไม่มีทางตายไปง่ายๆ เช่นนี้แน่
“เช่นนั้นเหตุใดท่านแม่ยังทำเช่นนี้อีก?”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ลูบผมฉงสี่เซี่ยนจู่คราหนึ่ง “เราไม่เชื่อ ใช่ว่าผู้อื่นจะไม่เชื่อ อย่างไรก็ต้องมีคนเชื่อ ขอเพียงเรื่องที่หลัวซื่อจื่อเป็นที่ยอมรับ เช่นนั้นไม่ว่าจะหาคุณหนูสี่สกุลเจินพบหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว ใจคนยากคาดเดา หากตำแหน่งผู้สืบทอดนี้เปลี่ยนมือไป เช่นนั้นหลัวซื่อจื่อก็ได้แต่ต้องตายไปตลอดกาลแล้ว”
หายสาบสูญ ไร้หนทางพิสูจน์จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาในขณะนี้ อย่าน้อยในระยะเวลาสั้นๆ นี้จะไม่มีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องตำแหน่งผู้สืบทอดแน่
ขอเพียงหลัวเทียนเฉิงยังมีชีวิตอยู่ แม้นจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใดก็ต้องกลับมาเมืองหลวงภายในหนึ่งปีนี้แน่
หากเกินเวลานี้ไปยังไม่กลับมา เช่นนั้นศพที่ถูกส่งเข้าเมืองหลวงในครั้งนี้คงเป็นของจริง ถึงยามนั้นหากตำแหน่งผู้สืบทอดนี้จะตกแก่ผู้ใดก็ไม่มีความจำเป็นให้ผู้อื่นต้องกังวลใจแล้ว
“ฉงสี่ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ฉงสี่เซี่ยนจู่เงยหน้าขึ้น มุมปากเคลือบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ท่านแม่ เรื่องพวกนี้ลูกเข้าใจ แต่อยากถามว่าเหตุใดท่านต้องทำเช่นนี้เล่า?”
กล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาที่ฉ่ำวาวดุจสายธารนั้นจ้องมองเจาอวิ๋นจั่งกงจู่นิ่ง แล้วเอ่ยถามออกมาทีละคำว่า “เหตุใดท่านแม่ต้องช่วยเหลือหลัวซื่อจื่อถึงเพียงนี้ด้วยเล่า?”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่อึ้งไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เป็นคำขอของฉงสี่เองมิใช่หรือ?”
ม่านตาฉงสี่เซี่ยนจู่สั่นระริกคราหนึ่ง ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา “ขอบพระคุณท่านแม่มากเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นเงาด้านหลังของฉงสี่ค่อยๆ ห่างออกไป เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ก็อยากจะถามเหลือเกินว่าเจ้าเชื่อหรือไม่ แต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มออกมา
ในที่สุดหลัวเทียนเฉิงที่เจาอวิ๋นจั่งกงจู่คาดเดาว่าเขาจักต้องมิพบเจอเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดนั้นก็รักษาอาการบาดเจ็บจากการพบเคราะห์ร้ายอย่างที่สุดหายเสียที เขาพาเจินเมี่ยวออกเดินทางจากหมู่บ้านแห่งนั้นและยังมีอาหู่ที่อยากจะไปเผชิญโลกภายนอกเดินตามหลังมาอีกผู้หนึ่ง