ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 62
SB:ตอนที่ 62 คลื่นอสูรระลอกที่สาม
ประตูอเวจีเปิดออกแล้ว อสูรศิลากลืนกินยังคงถูกดูดเข้าไปในประตูอเวจี ไม่ว่าอสูรศิลากลืนกินจะตัวใหญ่แค่ไหน มันไม่มีความหมายแล้วเมื่ออยู่ต่อหน้าประตูอเวจี มันเปรียบเสมือนหลุมที่ลึกมากสุดที่จะหยั่งถึง
“สัตว์เลี้ยงสงคราม: ราชาสุนัขอเวจี”
“ธาตุ : ความมืด”
“ระดับ :อสูรชั้นต้น”
“สายเลือด: ชั้นจักรพรรดิ”
“ความสามารถเฉพาะตัว : ประตูอเวจี (ฉบับปรับปรุงของการกลืนกินมืดมิด) เรียกประตูออกมาจากขุมอเวจีและใช้พลังความมืดเข้ากลืนกินเป้าหมายตรงหน้า ขณะเดียวกันทำให้ร่างกายของตนเองแข็งแกร่งขึ้นมาก เป็นความสามารถเทวะเฉพาะตัวระดับเจ้าโลก”
“แต้มเติบโต: 22/10000”
“แต้มเติบโต: 24/10000”
“26/10000”
“28….”
“30….”
“…..”
“300/10000”
“320/10000”
ลู่หยางตกตะลึงทันที มันเพิ่มขึ้นทีละ 20 แต้ม เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาไม่รู้ว่าต้าเฮ่ยเขมือบอสูรศิลากลืนกินเข้าไปเท่าไหร่ในอึดใจเดียว หรือแม้แต่แก่นผลึกในตัวของอสูรศิลากลืนกินที่ถูกย่อยสลายไปทั้งหมดกลายไปเป็นอัตราเติบโตของต้าเฮ่ยมีเท่าไหร่
แก่นผลึกชั้นต้นหนึ่งแก่นสามารถเพิ่มอัตราเติบโตให้ต้าเฮ่ยเล็กน้อย หลังจากที่ได้กลืนกินอสูรมาระยะหนึ่ง อัตราเติบโตของต้าเฮ่ยยังคงสูงขึ้นอย่างแน่วแน่ ลู่หยางรู้สึกแปลกที่ต้าเฮ่ยจู่จู่ก็เพิ่มทีละ 20 แต้ม
“ข้าคิดว่าข้าเห็นอสูรศิลากลืนกินขนาดมหึมาพุ่งเข้ามาใส่เดี๋ยวนี้……”
อย่างไรก็ตาม ลู่หยางไม่ได้คาดหวังให้ต้าเฮ่ยเป็นอสูรดุร้ายที่ขึ้นถึงระดับกลาง
“ดูเหมือนว่าถ้ายังมีเจ้าลูกหลานของสุนัขล่าเนื้อนั่นอยู่ พวกเราจะยุ่งยากทีเดียวในการที่จะตีประตูเมืองให้แตก” ชายร่างอ้วนถอนหายใจ
ราชสีห์ขนทองหกเนตรแสยะยิ้ม “อย่าห่วงไปเลย นี่แค่คลื่นลูกที่สอง กระแสอสูรในเวลาปกติก็ยังแรงกว่านี้ ภารกิจนี้สำคัญมาก”
“ถ้าเราตีประตูเมืองไม่แตก เราจะทำยังไงต่อ?”
“ถ้าเจ้าเด็กนั่นรู้เดียงสาพอๆกับท่านแผนของเราคงจะราบรื่นขึ้นมาก” ขณะที่ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูดอยู่นั้น ชายร่างอ้วนมองไปที่มันอย่างคาดหวัง
แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรไม่ได้สนใจชายร่างอ้วน เขาตอบไม่เกรงใจว่า ”พวกเจ้าละโมบโลภมากเสมอ อย่าบอกนะว่าที่ข้าช่วยนั่นมันยังไม่พอ?”
“อย่ามาเทียบอสูรชั้นต่ำพวกนั้นกับข้า ในตัวข้ามีสายเลือดของปราชญ์ ในบรรดาอสูรไม่มีตัวไหนที่มีปัญญาเช่นข้า” ชายร่างอ้วนหัวเราะให้กับตัวเองแล้วหันมาถามราชสีห์ขนทองหกเนตรว่า “ท่านมีแผนอะไรต่อ ท่านจะแค่นั่งดูกองทัพอสูรศิลากลืนกินของท่านถูกดูดเข้าไปในประตูอเวจียังงั้นเหรอ?”
แม้แต่ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรศิลากลืนกินก็ยังถูกต้าเฮ่ยเขมือบไปแล้ว ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะหวังพึ่งอสูรร้ายพวกนี้ให้ทำงานใหญ่ให้สำเร็จ
ราชสีห์ขนทองหกเนตรนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วมันก็ส่งเสียงคำรามขึ้นท้องฟ้า เสียงนั้นกึกก้องกัมปนาทราวเสียงฟ้าร้องไปตลอดแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น หลังจากที่เสียงนั้นผ่านไป เสียงร้องคำรามของอสูรดุร้ายก็ดังออกมาจากแนวภูเขากว้างใหญ่ ราวกับว่าพวกมันตอบสนองการร้องเรียกของราชสีห์ขนทองหกเนตร
ตามมาด้วยเสียงกราวก้องของฝูงอสูรร้ายที่พากันกลิ้งลงมาที่ตีนเขาทำเอาฝุ่นควันฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ
ลู่หยางยกเปลือกตาขึ้นอย่างเหนื่อยล้า เขาจ้องไปที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นและดูเหมือนจะเห็นบางอย่างด้วย
“คลื่นอสูรอีกระลอกหนึ่งเหรอ?” “ดูเหมือนครั้งนี้จะหนวกหูซะจริง!”
เมื่อเปรียบเทียบกับครั้งปกติแล้ว นี่เพิ่งจะเริ่มต้น วันแรกๆของกระแสอสูร เมืองเซียงหยางจะถูกโจมตีอย่างรุนแรง แต่ทว่า แต่ละครั้งที่เกิดจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆประมาณสองถึงสามวัน หรือถ้าเป็นระยะยาวก็หนึ่งเดือน
ตามสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ว่าลู่หยางจะสามารถปกป้องประตูเมืองไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่สามารถยื้อไว้ได้นานเช่นนั้นแน่
เขาต้านทานคลื่นโจมตีได้สองระลอก การสู้รบที่ยาวนานทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ ถ้าเขายังคงพยายามต่อไป ไม่พียงแต่เขาเอง แม้ต้าเฮ่ยก็จะไปต่อไม่ไหว
“ไม่ เราจะให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว!”
ลู่หยางรีบตัดสินใจ เขาตะโกนขึ้นไปบนหอคอยประตูเมือง “อสูรกำลังบุกมา! เปิดประตูเมืองเร็ว ให้ข้าเข้าไป”
ก่อนที่กระแสอสูรจะมาถึง ลู่หยางรีบเสร็จภารกิจกับอสูรศิลากลืนกินสองถึงสามตัวสุดท้าย พร้อมๆกับที่ประตูเมืองเปิดออก ลู่หยางมองไปที่กลุ่มฝุ่นควันที่ลอยตลบฟุ้งอยู่ แล้วเขาก็รีบเข้าประตูเมืองไปโดยที่ไม่หันกลับไปมองอีกเลย
ชายร่างอ้วนมองดูขนาดของกองทัพอสูร คลื่นอสูรลูกนี้ไม่เพียงแต่แข็งแรงกว่าคลื่นลูกก่อน พวกมันยังมีจำนวนมากกว่าด้วย ดูจากรัศมีที่แผ่ออกมานี้ ชายร่างอ้วนก็รู้ว่าราชสีห์ขนทองหกเนตรมีความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะทลายหอคอยประตูเมืองให้ได้
เขาหัวเราะขึ้นมา “ดูเหมือนว่าครั้งนี้ท่านจะลงทุนไปมากนะ ท่านส่งอสูรชั้นยอดออกไปมากมาย”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรหัวเราะแล้วพูดว่า “ความจริงก็คือว่ามีสัดส่วนของอสูรร้ายในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นที่ยังคงฟังคำสั่งจากข้า ครั้งนี้ ข้าจะล้างเมืองเซียงหยางด้วยเลือด!”
“โอ้ ดูเมือนว่า พละกำลังของวานรเกราะทองคำนี่ดีจริงๆ มันสามารถแข่งขันกับท่านในหุบเขาเทวะร่วงหล่นนี้ แม้แต่ท่านก็ไม่สามารถสั่งการอสูรร้ายในเขตแดนของมันงั้นเหรอ?”
“อืมม” ราชสีห์ขนทองหกเนตรทำฮึดฮัด น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความดูหมิ่น มันพูดว่า “มันก็แค่กำลังของสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีมันสมอง อสูรบ้าคลั่งก็เป็นได้เพียงอสูรบ้าคลั่ง”
“มาเฝ้าดูกัน ครั้งนี้ ถ้าเรายังเปิดประตูเมืองไม่ได้ ข้าจะลงมือเอง”
เหนือสิ่งอื่นใด มันก็ยังคงเป็นอสูรร้าย แม้ว่ามันจะมีปัญญา มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนสันดานกระหายเลือดของอสูรร้ายได้ ขณะที่มันพูด มันเผยให้เห็นถึงเขี้ยวดุร้ายที่มุมปากของมันซึ่งแสดงให้เห็นถึงท่าทีกระหายเลือดของมัน
ลู่หยางยืนมองอยู่บนยอดหอคอย เขายืนจ้องไกลออกไปราวกับจะให้เห็นถึงแนวหุบเขาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เขาไม่รู้ว่าทำไมเขารู้สึกเหมือนมีใครเฝ้ามองเขาอยู่ ที่สนามรบนั่นก็เช่นกัน เขาไม่ได้ทำอะไร แต่ทว่าลึกเข้าไปในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขาได้รับการตอบสนองเหมือนว่าแผนการที่เกิดขึ้นนี้มุ่งเป้ามาที่ตัวเขา
“สารลับฉบับนั้นได้ส่งถึงมือท่านผู้เฒ่าหลอเรียบร้อยแล้ว เขาจะใช้ดุลยพินิจของเขาเองและเตรียมการล่วงหน้าไว้ สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำในตอนนี้ก็คือคุ้มกันการโจมตีของคลื่นอสูร และสำหรับเรื่องที่ว่าใครอยู่เบื้องหลังหุบเขาเทวะร่วงหล่นนั้น ก็ช่างมันเถอะ”
พวกอสูรบ้าคลั่งได้เริ่มโจมตีกำแพงเมืองแล้ว เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่แค่ประตูเมืองแต่เป็นกำแพงเมืองด้วย อสูรบ้าคลั่งบางตัวอาศัยที่ตัวมันใหญ่โตและพละกำลังน่ากลัวเข้าโจมตีกำแพงเมืองโดยตรง ลู่หยางและคนที่เหลือยืนอยู่บนกำแพงเมือง พวกเขารู้สึกได้ว่ากำแพงเมืองสั่นสะเทือนอยู่ภายใต้เท้าของพวกมัน
ลู่หยางขมวดคิ้ว เขาพักไม่ลง
ลู่หยางถามหลอชิงหัวค่อยๆว่า “ในอดีต เมืองเซียงหยางรับมือกับกระแสอสูรยังไงหรือ?เราแค่มองดูอสูรบ้าคลั่งพวกนี้โจมตีประตูเมืองงั้นเหรอ?”
ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่ประตูเมืองที่แข็งแรงก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของอสูรรัายที่ระดับนี้ได้ ไม่เร็วก็ช้า ประตูเมืองต้องแตกแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ลู่หยางเห็นอสูรร้ายชั้นยอดปะปนอยู่ในฝูงอสูรระลอกนี้ด้วย
จริงๆแล้วอสูรร้ายเหล่านี้แค่พยายามที่จะโจมตีประตูเมือง ทันทีที่พวกมันลงมือจริงๆขึ้นมา ประตูเมืองต้องแตกภายในพริบตาแน่ ถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปแล้วที่จะมาคิดถึงวิธีการตอบโต้
หลอชิงหัวก้มศรีษะใช้ความคิดอยู่ แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “มันมี มันมีอาวุธชนิดหนึ่งในเซียงหยางเรียกว่าคันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิง และลูกศรแห่งเทพเจ้าเพลิง อาวุธทั้งสองนี้สามารถใช้กับอสูรดุร้ายได้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้มีอสูรดุร้ายมากเหลือเกิน”
“ถ้าท่านไม่นำคันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงออกมาตอนนี้ มันจะสายเกินไป!”
ลู่หยางร้องขึ้น หลอชิงหัวก็ตกใจ เขารีบสั่งการให้ลูกน้องของเขานำศาสตราวุธเทวะปกป้องเมืองออกมา
คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงเป็นคันธนูหน้าไม้ที่ใหญ่มหึมา เมื่อใช้คู่กับลูกศรแห่งเทพเจ้าเพลิงแล้ว พลังอำนาจที่ปล่อยออกมานั้นจะมีอานุภาพมากมาย สามารถทลายการป้องกันของอสูรร้ายชั้นยอดได้ แต่ทว่าเป็นเพราะคันธนูใหญ่เกินไป คนๆเดียวควบคุมไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีสามถึงห้าคน ตอนนี้ มีคนอยู่บนหอคอยประมาณสี่สิบถึงห้าสิบคน ดังนั้นพวกเขาสามารถใช้คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงประมาณสิบคันซึ่งไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่เมื่อนำมาใช้กับอสูรร้ายนับพันตัว
ถึงจุดนี้ ลู่หยางไม่สนใจอะไรแล้ว แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าเขาจะต้านทานอสูรร้ายได้อีกไม่นาน เขายังอยากจะลอง ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เชื่อว่าผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองเซียงหยางจะสามารถทนดูเมืองเซียงหยางแตกได้จริงๆ ในเมืองเซียงหยางไม่ได้มีเพียงญาติสนิทมิตรสหายของลู่หยางเท่านั้น แต่ยังมีครอบครัวของผู้ยิ่งใหญ่พวกนั้นด้วย
ในไม่ช้า คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงสิบคันถูกนำมาไว้บนหอคอย และแต่ละคันมุ่งไปที่ฝูงอสูรด้านล่าง
ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของคนสี่คน คันธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงยิงลูกธนูเพลิงออกไป ลูกธนูเทวะนี้ลุกเป็นไฟในอากาศ กลายเป็นจรวดพุ่งเข้าใส่อสูรร้ายหนึ่งตัวแล้วลุกลามไปในฝูงอสูรอย่างเร็ว ลูกธนูแห่งเทพเจ้าเพลิงทุกอันจะฝังตัวอักขระพิเศษไว้ซึ่งพลังของตัวอักขระนั้นจะระเบิดออกทันทีที่ลูกธนูถูกยิงออกมา ยิ่งไปกว่านั้น เปลวเพลิงนั้นไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดาๆ ซึ่งแม้แต่อสูรร้ายยังกลัวทันทีที่มันลุกติดไฟ ก็ยากที่จะดับลงได้
หลังจากสู้กันได้หนึ่งยก ในที่สุด อสูรร้ายที่หน้าประตูเมืองก็ถูกกำจัดหมดไป อย่างไรก็ตาม ในกองทัพอสูรนี้ มีอสูรดุร้ายมากเกินไป ตัวหนึ่งล้มลง อีกตัวรีบเข้ามาแทนที่ ลู่หยางและคนอื่นๆวุ่นอยู่กับการพิฆาตเหล่าอสูรร้าย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์
ประตูเมืองที่แข็งแกร่งเริ่มจะพังทลายลง แม้แต่กำแพงเมืองใต้เท้าที่พวกเขาเหยียบอยู่เริ่มมีรอยแตกจากการพุงเข้าชนของอสูร ลู่หยางรับมือไม่ไหวแล้ว
เมื่อเห็นว่าประตูเมืองใกล้จะแตกแล้ว ลู่หยางกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเมืองเหมือนกับว่าจะกระโดดลงมาแล้วใช้ทั้งร่างกายของเขาสู้กับกองทัพอสูรร้ายด้วยชีวิต เขาต้องการพลีชีพ
ขณะที่ลู่หยางกำลังจะกระโดดนั้นเอง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งจับเข้าที่หัวไหล่เขาไว้ทัน เสียงที่ฟังดูคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังเขาว่า “น้องชาย คิดให้รอบคอบเสียก่อนนะ ยังมีญาติพี่น้องรอให้เราปกป้องอยู่ในเมืองเซียงหยางนะ ถ้าเจ้าโดดลงไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้กลับขึ้นมาอีก”
ลู่หยางรีบหันกลับไปมองทันทีแล้วเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้า เขาตกตะลึงแล้วก็ตะโกนเรียกชื่อ “ท่านพี่ซุนวู….”
ซุนวูหัวเราะ “ถ้าข้ามาไม่ทัน เจ้าคงจะกระโดดลงไปแล้ว เจ้าไม่เคยคิดเลยเหรอว่าพี่ใหญ่ของเจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่?”
ด้านหลังซุนวูมีเด็กหนุ่มรุ่นๆกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนยู่ในเมืองเซียงหยาง พวกเขาไม่ได้มีอำนาจหรือครอบครัวที่ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขากับซุนวูแน่นแฟ้นมากทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าซุนวูแม้จะเป็นขุนนางตัวเล็กๆเทียบไม่ได้กับพวกคนมั่งคั่งของรุ่นที่สอง แต่เขามีอำนาจในหมู่สามัญชนเหล่านี้ เพียงแค่เขากวักมือ เหล่าผู้กล้าวัยเยาว์ก็ขึ้นมาช่วยเขาบนหอคอย อันที่จริง ผู้กล้าวัยเยาว์กลุ่มนั้นมีมากกว่าสามร้อยคน