ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 53
SB:ตอนที่ 53 รังสีอำมหิต
การเลื่อนระดับของต้าเฮ่ยสองครั้งต่อเนื่องกันทำให้ร่างกายของลู่หยางแข็งแกร่งขึ้นแปดพันจิน พละกำลังสูงสุดของผู้คุมอสูรชั้นกลางอยู่ที่ห้าหมื่นจิน ตอนนี้ ลู่หยางไปไกลมากกว่าครึ่งทางแล้ว เมื่อเขามีพละกำลังขึ้นถึงสี่หมื่นกิโลกรัม เขาจะนับว่าอยู่ในกลุ่มผู้คุมอสูรชั้นกลางที่แข็งแกร่งที่สุด หลี่ซิ่วก็อยู่ในระดับนี้ด้วย
ลู่หยางอยู่ไม่ไกลเกินไปที่จะถึงจุดนั้น เขามีอสูรสายเลือดชั้นจักรพรรดิสองตัวอยู่กับเขา เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครทั่วทั่วเซียงหยางจะทำเช่นนี้ได้ อีกทั้งการที่ต้าเฮ่ยเลื่อนระดับขึ้น การผสานร่างก็ได้ประโยชน์ไปด้วย เขาสามารถรวมร่างกับอสูรชั้นจักรพรรดิ์สองตัวในเวลาเดียวกัน กับข้อได้เปรียบเช่นนี้ เขาสามารถสู้กับหลี่ซิ่วได้แน่นอน
“หลี่ซิ่ว เวลาของเจ้าใกล้จะหมดแล้ว รีบตักตวงความสุขในช่วงสุดท้ายของเจ้าซะ” ลู่หยางปลดปล่อยอารมณ์ความอาฆาตแค้นของเขาออกมา
เมื่อเตี่ยซู่เสร็จจากงานแล้ว ลู่หยางพาเขามากินอาหารที่ตำหนักสราญรมย์ ลู่หยางบอกเขาว่า “พรุ่งนี้เราจะไม่ทำงานกัน เรามีบางอย่างยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำ!”
เตี่ยซู่ตื่นเต้นขึ้นทันทีรีบถามว่า “พี่ชายหยาง ท่านกำลังเตรียมจะทำอะไร?” ตั้งแต่ที่เตี่ยซู่อยู่กับลู่หยางมา เขาไม่เคยเห็นลู่หยางจริงจังเช่นนี้ นี่เป็นครั้งแรก หลังจากที่เตี่ยซู่ได้เป็นผู้คุมอสูร เขาสามารถควบคุมหมีพลังเดรัจฉานได้อย่างชำนาญแล้ว แต่เขายังไม่ได้ใช้พลังของเขาเลย หลังจากเลิกงาน เขาก็ฝึกฝน เขายังไม่มีโอกาสที่จะแลกเปลี่ยนทักษะกับผู้อื่นเลย
เมื่อได้ยินลู่หยางว่าจะทำงานใหญ่บางอย่าง กำปั้นของเตี่ยซู่เริ่มคันขึ้นมา เขาลูบกำปั้นแล้วบอกลู่หยางว่า “พี่ชายหยาง ถ้ามีอะไรให้ข้าช่วย บอกมาเลยนะ แม้ว่าข้า เตี่ยซู่ยังไม่แข็งแรงมาก ยังไงข้าก็จะอยู่ข้างหน้าพี่ชายหยางในเวลาคับขันแน่นอน!”
ลู่หยางหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น ด้วยกำลังของเขาตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนบังลูกกระสุนให้ เขาบอกกลับไปว่า “ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก พรุ่งนี้ ข้ากะจะไปชำระหนี้แค้นกับหลี่ซิ่ว ข้าจัดการกับหลี่ซิ่วได้ แต่เขาเป็นถึงผู้ครองเมือง เขาย่อมต้องมีผู้กล้ามากมายอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา” “ดังนั้น ข้าอยากพาเจ้ามาด้วยให้ช่วยกันพวกที่น่ารำคาญพวกนี้ออกไปในเวลาที่คับขัน”
“ได้เลย!” เตี่ยซู่หัวเราะอารมณ์ดี เขาพูดว่า “ในที่สุด พี่ชายหยางก็ได้ตัดสินใจลงมือกับไอ้เฒ่าเลวหลี่ซิ่ว ข้ารอวันนี้มานานแล้ว และตอนนี้ข้าก็คุ้นเคยกับยุทธวิธีของผู้คุมอสูร ข้าจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่าน แก้แค้นมัน!”
ลู่หยางตบไหล่เตี่ยซู่ แล้วพูดยิ้มๆ “ตามข้ามา ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างที่เราคิดหรอก!”
ทั้งสองคนกินและดื่มกันอย่างเต็มที่ตลอดทั้งคืนก่อนจะทำสงคราม หลังจากนั้น พวกเขากลับไปนอนหลับที่บ้าน เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาออกไปแกะรอยตามหาหลี่ซิ่ว เขาเป็นผู้ครองเมืองชิงเหอ เข่นเดียวกับครอบครัวของซุนวู เขาย้ายมาตั้งหลักที่นี่มานานกว่าสิบปีแล้ว ช่วงนี้ หลี่ซิ่วจะกลับไปตรวจตราดูที่เมืองชิงเหอเป็นครั้งคราว
ลู่หยางเคยถามถึงที่อยู่ของหลี่ซิ่ว แต่ก็ได้รับคำตอบว่าหลี่ซิ่วได้กลับไปที่ชิงเหอสองวันแล้ว อาจจะยังไม่กลับมา หลังจากที่รู้ข่าวนี้ เขารีบพาเตี่ยซู่ตรงไปยังทิศทางของเมืองชิงเหอทันที
เขาบอกว่า “แบบนี้ดีกว่า ฆ่าคนในเมืองเซียงหยางจะไม่เป็นผลดีกับเรา และยังอาจไปกระตุ้นคนของทางการ ให้เมืองชิงเหอเป็นที่ฝังศพมันละกัน!”
ในเวลาเดียวกันนี้ ในทิศทางที่ไปเมืองชิงหยาง ม้าเร็วกลุ่มหนึ่งห้อผ่านด้านข้างของเมืองชิงหยางไป เมื่อลุงสงเห็นม้าพลังมหาศาลกลุ่มนี้ เขารู้สึกว่ามันดูคุ้นๆอยู่
คนกลุ่มหนึ่งประมาณสิบคน ทุกคนขี่ม้าลักษณะดีเช่นเดียวกัน ม้าเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะสูงเป็นพิเศษแล้ว พวกมันยังปกคลุมไปด้วยเกล็ดเล็กๆเป็นชั้นๆ การจะมีม้าเช่นนั้นได้ คนเหล่านี้ต้องมีสถานะที่สูงส่ง และพวกเขาก็เป็นบรรดาลูกของขุนนางจากเมืองเซียงหยาง
ลุงสงเคยเห็นม้ากลุ่มนี้ด้วยตนเองตอนพวกมันเข้าไปที่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นเมื่อไม่นานมานี้ และตอนนี้ เขาเห็นพวกมันออกจากแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น เขารู้เลยว่าพวกมันต้องทำอะไรซักอย่างสำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับนักล่าในบริเวณรอบๆนี้ พวกมันรีบเตรียมทางให้ม้ากลุ่มนี้ผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
“แม่นางอู๋ซวง ท่านรีบร้อนกลับนักล่ะ” “ข้าเกรงว่านายท่านหลอจะมีเรื่องด่วนจะหารือกับเรา” ชายหนุ่มคนหนึ่งบนหลังม้ากล่าวกับผู้นำสาว แม่นางอู๋ซวง
เขาออกมาทำภารกิจชิ้นหนึ่ง แต่แล้วหายเงียบไป ไม่มีข่าวคราวของเขามาเป็นเวลานานยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกเรียกตัวกลับด่วน ดังนั้นแม่นางอู๋ซวงจึงไม่มีอารมณ์จะเจรจากับเขา และเมื่อได้ยินเขากล้าถามเช่นนั้น แม่นางอู๋ซวงเลยโมโหขึ้นมา
นางบอกว่า “หุบปากได้มั้ย? หายไปตั้งหลายวันไม่ส่งข่าวคราวมาซักนิด ข้าคิดว่าเจ้าเป็นเศษสวะที่คิดว่าตัวเองสูงส่ง และมีอำนาจ!”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น แม่นางอู๋ซวง ข้ารู้สึกว่าพวกเราเข้ามาแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นครั้งนี้ ถึงแม้ข้าจะไม่พบอะไร แต่ข้าก็รู้สีกว่ามีบางอย่างผิดปกติ อสูรบ้าคลั่งที่นี่ดูแตกต่างจากเมื่อก่อน!”
แม่นางอู๋ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “นั่นเป็นการอารัมภบทถึงการปะทุขึ้นของกระแสอสูรงั้นสิ!”
อย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ภายใต้สภาวะปกติ กระแสอสูรหรืออสูรบุกเมืองจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งทุกสิบปี และนี่ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่กระแสอสูรจะเกิดขึ้น แต่จากที่หลออู๋ซวงสังเกตเห็นในช่วงสองถึงสามวันที่ผ่านมานี้ กระแสอสูรดูเหมือนจวนจะระเบิดขึ้นแล้ว
มันดูเหมือนเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ราวกับว่ามีผู้บงการคอยควบคุมฝูงอสูรอยู่เบื้องหลัง ทำให้ฝูงอสูรนี้ปะทุขึ้นก่อนเวลา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาของหลออู๋ซวงจับจ้องอยู๋ที่นักล่าอสูรข้างหน้าเขา นางถามว่า “ข้าไม่รู้ว่าทำไมกระแสอสูรถึงจะเกิดเร็วขึ้นครั้งนี้ ท่านไปแจ้งพวกชาวบ้านที่นี่ให้พวกเขาเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา และให้อพยพเข้าไปในเมืองเซียงหยาง”
“นี่ เอ่อ….” สีหน้าชายหนุ่มผู้นั้นดูเหมือนไม่เต็มใจ เขาพูดค่อยๆว่า “แม่นางอู๋ซวง พวกนั้นก็แค่คนสามัญชนธรรมดาๆ ไม่จำเป็นต้องไปเตือนพวกเขาหรอก ถูกมั้ย?”
หลออู๋ซวงจ้องเขม็งไปที่ชายคนนั้น แล้วตำหนิว่า “พวกเจ้าทั้งหมดมันไม่เอาไหน พวกเจ้ามีตั้งมากมาย แต่หลายวันมานี้จะหาเบาะแสซักอย่างยังไม่ได้ ข้าคิดว่าเมื่อกระแสอสูรออกมาแล้ว ข้าควรจะโยนพวกเจ้าให้เป็นอาหารของมันดีมั้ย?”
“แม่นางอู๋ซวงพูดถูกแล้ว! ข้าจะรีบไปแจ้งพวกชาวบ้านเดี๋ยวนี้!”
เขากลัวคำพูดของหลออู๋ซวงจนแทบจะฉี่ราด เขารีบควบม้าตรงไปยังทิศทางของเมืองชิงหยาง
“พวกเรากลับกันเถอะ!” “ รีบไปรายงานท่านพ่อข้าถึงสถานการณ์ที่นี่กัน”
ร่างของหลออู๋ซวงพลิ้วไหวราวกับสายลมสีขาวบริสุทธิ์ขณะที่นางควบม้าคู่ใจเจ้าอาชาศึกเขาเดียวไปตามถนน ทิ้งให้ชายผู้สูงศักดิ์อยู่ข้างหลัง
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะการแจ้งเตือนของหลออู๋ซวงแล้ว พวกชาวบ้านก็ยังไม่รู้ว่ากระแสอสูรกำลังจะเกิดขึ้น หลังจากที่รู้ข่าวนี้ พวกพรานที่ยังล่าสัตว์อยู่แนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นต่างพากันกลับมาที่บ้านในเมืองเพื่อเตรียมเก็บข้าวของเพื่ออพยพเข้าเมืองเซียงหยางกันกับครอบครัว
เป็นเวลาห้าวันแล้วที่หลอหยุนชานส่งข้อความไปถึงหลออู๋ซวง ในห้าวันนี้ หลอหยุนชานได้ส่งคนกลุ่มหนึ่งออกตามหาหลออู๋ซวง และในที่สุดพวกเขาก็พบนางแล้ว ทั้งหมดรีบเร่งเดินทางหลับเมืองเซียงหยาง
ในใจของหลอหยุนชานนั้นยังกังวลถึงเรื่องสารลับที่อยู่กับลู่หยาง เขารีบส่งคนไปเชิญลู่หยางให้มาที่ตำหนักหลอฟู่ แต่ตอนนี้ ลู่หยางอยู่ที่เมืองชิงเหอแล้ว
หลอหยุนชานจำต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อนรอลู่หยางกลับมา เมื่อเขารู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นแล้ว ผู้มากประสบการณ์อย่างหลอหยุนชานยังถึงกับตกใจ
เขารู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น และนั่นทำให้เขาไม่สบายใจมาก
“เจ้าหมายถึง ครั้งนี้มีคนตั้งใจทำให้มันเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ?”หลอหยุนชานถามหลออู๋ซวง
หลออู๋ซวงพยักหน้าและพูดแน่วแน่ว่า “อสูรเหล่านี้ดุร้ายขึ้นมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่มีใครควบคุมพวกมันอยู่เบื้องหลัง สถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น”
หลอหยุนชานคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เมื่ออสูรดุร้ายเหล่านี้เกิดบ้าระห่ำขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง กระแสอสูรก็จะระเบิดขึ้น ถ้ามีใครอยู่เบื้องหลังพวกมันจริงๆ มันต้องเป็นพลังอะไรซักอย่างที่พวกเราไม่รู้จัก ถึงตอนนั้น พลังที่ว่านี้ต้องปรากฏออกมาแน่นอน”
เมื่อกำลังพูดถึงพลังที่ไม่รู้จักกันอยู่นั้น จู่จู่ก็มีแสงเทวะปรากฏขึ้นบนหน้าผากเหี่ยวๆของหลอหยุนชาน เขาตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “หรือทั้งหมดนี้จะเกี่ยวกับปีศาจอเวจี!?”
การปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันของตระกูลปีศาจอเวจี และความวุ่นวายที่คาดไม่ถึงของเหล่าอสูรร้ายที่หุบเขา ถ้าใครจะบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญ ตัวหลอหยุนชานเองไม่กล้าคิดเช่นนั้น แต่เขากลับคิดถึงแผนการยิ่งใหญ่ของใครบางคนแทน
เมืองชิงเหอ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่หยางมาที่เมืองชิงเหอ และมาพร้อมกับความความโกรธเกลียดอาฆาตอยู่เต็มอก ลู่หยางเข้าไปตีสนิทกับนายพรานเฒ่าผู้หนึ่งเพื่อหวังจะถามถึงบ้านของหลี่ซิ่ว และก็เป็นไปตามที่ลู่หยางนึกภาพไว้ คนสถานะอย่างหลี่ซิ่วต้องพักอยู่ในใจกลางเมืองและต้องเป็นบ้านที่หรูหราที่สุด
ขณะนี้ใกล้จะค่ำแล้ว บ้านหลังใหญ่ตรงหน้าเขามีไฟเปิดอยู่ หลี่ซิ่วอยู่ข้างในนั้นจริงๆ ลู่หยางเงยหน้ามองท้องฟ้าและพูดว่า “แสงจันทร์คืนนี้ช่างงามจริงๆ แต่น่าเสียดาย เป็นคืนพระจันทร์สีเลือด!”
“ใช่แล้ว! เจ้าหมอนี่ให้อภัยไม่ได้ มันเป็นคนเลว เราให้เจ้าหมีหมิงอวี่เป็นพยานได้ ข้าจะอยู่กับพี่ชายหยาง ลงโทษคนชั่วและไม่มีคุณธรรม ลบล้างชื่อมันออกจากแผ่นดิน!”
“ไอ้เฒ่าสารเลวหลี่ซิ่ว! ออกมานี่!”
ลู่หยางรวบรวมกำลังระเบิดเสียงออกมา เสียงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งชิงเหอ
หลี่ซิ่วกำลังจะกินอาหารเย็นจู่จู่ก็ได้ยินเสียงท้าทายเขามาจากนอกบ้าน รอยยิ้มโหดร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาหันไปบอกชายรูปร่างกำยำหลายคนข้างหลังเขาว่า “ไอ้เด็กระยำ! มันมาหาข้าเร็วนัก พวกเจ้าออกไปหามัน แก้แค้นให้ลูกชายข้า!”
ชายประมาณแปดคนรีบแจ้นออกไป ภายใต้แสงจันท์สลัวๆ พวกมันยืนเผชิญหน้ากับลู่หยางที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลี่
“ไอ้เด็กระยำ! ข้าไว้ชีวิตเจ้าครั้งที่แล้วให้เจ้าได้อยู่กับความเจ็บปวดที่สุดในโลกนี้ ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะทนไม่ได้แล้ว จึงต้องรีบมาหาที่ตายตามไป” หลี่ซิ่วพูดฉุนเฉียว
สีหน้าลู่หยางสลดลง ความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าคนที่เป็นที่รักต้องมาถูกฆ่าตายนั้นกลับมาอีกครั้ง ลู่หยางจ้องหน้าหลี่ซิ่ว เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “สุนัขเฒ่า! วันนี้ข้าจะมาสะสางความแค้น ข้าจะเอาชีวิตถ่อยๆของแกล้างแค้นให้แม่ของข้า
อยากจะฆ่าข้านักรึ มาดูซิว่าเจ้าจะทำได้มั้ย!?”
หลี่ซิ่วร่ายแขนไปมาในอากาศ ฉับพลันนั้น ปรากฏอสูรร้ายรูปร่างสูงสามตัวอยู่ข้างหน้าลู่หยาง และขณะนี้ ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลหลี่ปกคลุมไปด้วยรังสีอำมหิตทันที
“พลังของไอ้สุนัขเฒ่านั่นไม่ธรรมดาจริงๆ อสูรร้ายทั้งสามตัวเป็นอสูรชั้นกลางมีสายเลือดชั้นยอด ถึงกระนั้นก็ตาม ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว พวกมันไม่ธรรมดาเลย”
“ดูเหมือนจะเป็นการสู้รบที่ดุเดือดนะวันนี้ “ลู่หยางกวาดสายตามองพวกมัน และเขาก็รู้ทันทีว่าชายเจ็ดคนที่อยู่ข้างหลังหลี่ซิ่วเป็นผู้คุมอสูรทั้งหมด
“ได้สู้เคียงข้างพี่ชายหยาง ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!” เตี่ยซู่ตะโกนออกมา