ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 49
SB:ตอนที่ 49 เอ้อโกวจื่อเข้าเมือง
นายพรานเฒ่านำข้อความของลู่หยางกลับมาในเมือง ผู้คนพอรู้ว่าเขากลับไปติดต่อกับลู่หยางอีก พวกเขาต่างก็พากันหลีกหนีเขา ในอดีต เขาได้รับความเคารพนับถือสูงมากแต่ตอนนี้ทุกคนไม่ต้อนรับเขา นายพรานเฒ่าเศร้าเสียใจมาก เขามาปรับทุกข์กับเอ้อโกวจื่อที่บ้าน
“เฮ้อ” คิดดูสิ ตอนที่ลู่หยางเป็นผู้คุมอสูรใหม่ๆ มีใครรู้ไหมพวกนั้นพยายามทึ่จะประจบสอพลอเขาแค่ไหน?”
เอ้อโกวจื่อตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ข่าวเกี่ยวกับลู่หยาง เขารีบถามผู้เฒ่าสง “ท่านลุงสง หมายความว่าท่านลุงได้พบพี่ชายหยางตอนที่เข้าเมืองไปใช่มั้ย?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ “ตอนนี้ มีเพียงเจ้าที่พูดถึงลู่หยางด้วยตาที่เป็นประกายเช่นนี้ได้ คนอื่นๆทำกับเขาเหมือนเขาเป็นแมลงตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา พวกเราจะไปขายขนสัตว์ในเซียงหยางได้ราบรื่นเช่นนี้เหรอ!”
ไม่เพียงแต่เขาไม่ต้องจ่ายค่าเข้าเมืองแล้ว ก่อนจากกันวันนั้น ลู่หยางยังได้ให้เงินผู้เฒ่าสงจำนวนหนึ่ง เขาบอกว่าจะช่วยทำให้ลุงสงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น ถึงแม้ชื่อเสียงของลู่หยางจะไม่ดี แต่นายพรานเฒ่ายังรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณเด็กคนนี้
เขาพูดกับเอ้อโกวจื่อ “เอ้อโกวจื่อ พี่หยางของเจ้าเป็นคนดีคนหนึ่งจริงๆ ตอนข้าพบเขาครั้งนี้เขาพูดถึงเจ้าโดยเฉพาะด้วย ข้าแค่ไม่รู้ว่าสมควรจะบอกกับเจ้ามั้ย?”
“ท่านลุงสง บอกมา ข้าอยากรู้พี่หยางบอกอะไรข้า”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางจริงจังของเอ้อโกวจื่อแล้ว พรานเฒ่าจึงพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “พี่หยางของเจ้าบอกให้เจ้าหาเวลาไปหาเขาที่เมืองเซียงหยาง ดูเหมือนเขามีบางอย่างอยากให้เจ้า มันก็แค่ ลุงของเจ้าได้พูดบางอย่างที่ผู้คนเขาไม่พอใจ และเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับลุงของเจ้าบ้าง เป็นเพราะข้าพบพี่หยางของเจ้าครั้งเดียว เท่านั้นแหละ ข้าไม่ตำหนิใคร และลุงของเจ้าก็จะไม่คัดค้านถ้าเจ้าจะไปหาพี่หยางของเจ้า แต่เจ้าต้องคิดให้รอบคอบถึงผลที่จะตามมาด้วย!”
เอ้อโกวจื่อตบโต๊ะไม้ตรงหน้าเข้าหนึ่งฉาด แล้วพูดเสียงดังว่า “ข้าจะไป! พี่หยางอยากพบข้า ข้าไม่ไปได้ยังไง นอกจากนี้ ใครจะคิดจะสนยังไงก็ช่าง ข้าจะไปพบใครก็ตามที่ข้าอยากพบ พวกเขาไม่ต้องมาสนใจ”
ผู้เฒ่าตบหัวไหล่เอ้อโกวจื่อเบาๆ “เจ้าทั้งสองช่างเป็นพี่น้องที่ดีจริงๆ ฟังจากคำพูดของเจ้าแล้ว ลุงสงคนนี้ก็เบาใจแล้ว ถ้าอย่างนั้น ไปเมืองเซียงหยางไป พี่ชายหยางของเจ้าอยู่ที่นั่น ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน ผู้คนจะเรียกเจ้าว่า นายท่าน!”
เอ้อโกวจื่อตาโตขึ้นมา และพูดว่า “นั่นมันไม่อภิสิทธิ์ไปมากกว่าหลี่ซิ่วเหรอ?”
“ไอ้เด็กสกปรก เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ !?” “หลี่ซิ่วเป็นคนชนิดไหน ไม่ว่าพี่หยางของเจ้าจะเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดไหน เจ้าจะเอาเขาไปเปรียบเทียบกับมันไม่ได้!”
มีเพียงเอ้อโกวจื่อที่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แม้ว่าตอนนี้ลู่หยางจะไม่มีอะไรเลย เขาก็ยังคงเป็นพี่ชายหยางของเขาอยู่ดี
เขานึกถึงสิ่งที่ลุงสงบอกเขาอยู่เงียบๆ เช้าตรู่ของวันที่สอง เอ้อโกวจื่อไม่แม้แต่จะไปทักทายป้าหวาง
เป็นเพราะไม่เคยเดินมางมาเมืองเซียงหยางมาก่อน เอ้อโกวจื่อใช้เวลาครึ่งวัน และในที่สุดเขาก็เห็นเมืองที่โอ่อ่าใหญ่โตแล้ว เห็นแค่แวบเดียว เขาก็รู้สึกหลงใหลในความสง่างามหรูหราของเมืองนี้
“พี่ชายหยางได้อยู่ในสถานที่ที่ดีเช่นนี้มาตลอดสินะ มิน่าล่ะพี่หยางถึงไม่ค่อยได้กลับไปชิงหยางบ่อยนัก”
แท้ที่จริงแล้ว เอ้อโกวจื่อรู้ถึงสาเหตุนั้นดี เป็นเพราะทัศนคติของชาวบ้าน มิเช่นนั้นแล้ว ลู่หยางต้องอยากกลับไปที่ชิงหยาง
“ถ้าข้าสามารถอยู่ในเมืองใหญ่อย่างนี้เช่นพี่ชายหยาง”
แม้ว่าชีวิตประจำวันของพวกเขาที่อยู่ในเมืองเล็กๆจะสงบสุขดี แต่ชาวบ้านทุกๆคนต่างก็พากันกังวลเกี่ยวกับอสูรร้ายที่อยู่ในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น พวกชาวบ้านกลัวว่าวันดีคืนดีพวกมันเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาแล้วพากันอพยพเข้ามาในเมืองของพวกเขา
เหตุการณ์ดังกล่าวเรียกว่ากระแสอสูร เกือบทุกสิบปีกระแสอสูรจะหลั่งไหลมาจากแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่น และเพราะไม่มีกำแพงเมืองคอยปกป้อง เมืองเล็กๆทนก่อการจู่โจมของกระแสอสูรไม่ได้ ทุกครั้งที่กระแสอสูรระเบิดออกมา ชาวบ้านต้องหลบหนีเข้ามาในเมืองเซียงหยางที่ที่มีกำแพงเมืองและเหล่าผู้กล้าที่จะปกป้องชีวิตพวกเขา
เมืองเซียงหยางยืนตระหง่านอยู่ภายในแนวหุบเขาเทวะร่วงหล่นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว และได้ประสบกับกระแสอสูรนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันทำอะไรเมืองนี้ไม่ได้ ไม่เพียงแต่เป็นเพราะกำแพงเมือง แต่เป็นเพราะเมืองเซียงหยางซึ่งเป็นเมืองระดับสาม มีผู้กล้าจำนวนมากมายด้วย ที่แข็งแกรงที่สุดคือผู้คุมอสูรระดับสูงที่แท้จริง พวกอสูรธรรมดาๆเอาชนะพวกเขาไม่ได้แม้จะเป็นกระแสอสูรกลุ่มใหญ่ก็ไม่สามารถฝ่าเข้ามาได้
เอ้อโกวจื่อมาถึงหน้าประตูเมืองเซียงหยางแล้ว ขณะที่เขาถอนหายใจอยู่นั้น ฮานปินทำตัวเหมือนเดิมมาหยุดเขาไว้
“ไอ้หนู ช่วยจ่ายมาก่อนที่จะเข้าเมือง!” ยามเมืองพูดจาไม่สุภาพ
เอ้อโกวจื่อจ้องกลับก่อนจะตอบว่า “อ้าว?” “ต้องจ่ายเงินก่อนที่จะเข้าเมืองเหรอ ทำไมพี่ชายหยางไม่เคยบอกข้ามาก่อน”
“เจ้าหมายความว่ายังไง พี่ชายหยางของเจ้าก็พี่ชายหยางของเจ้า เขาคิดว่าเมืองเซียงหยางเปิดได้โดยครอบครัวของเขางั้นรึ?” “ไอ้หนู เร็วหน่อย เอาเงินออกมาแล้วเข้าเมืองไป ถ้าไม่มีเงิน ก็ไปอยู่ข้างๆโน่น”
“แต่พี่ชายหยางของข้าบอกให้ข้าเข้าเมืองไปหาเขา พวกท่านไม่ให้ข้าเข้าไป งั้นข้าควรทำยังไงล่ะ?”
ฮานปินแผดเสียงขึ้นมาอย่างหมดความอดทน “พี่ชายหยางอีกแล้วเหรอ? เจ้ากำลังพูดถึงใครกันแน่ พี่ชายหยาง เจ้าช่างกล้าไม่ยอมจ่ายค่าธรรมเนียม ถ้าเจ้ามีความสามารถ ไปบอกพี่ชายหยางของเจ้าให้มาพบข้าสิ ถ้าเขากล้าพูดเช่นนั้นต่อหน้าข้า เจ้าก็ไม่ต้องจ่าย”
เอ้อโกวจื่อไม่เคยอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นมาก่อน อีกทั้งตัวเขาเองก็ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว เขาทำได้แค่บอกความจริงกับฮานปิน “พี่ชายหยางของข้าถือได้ว่าเป็นคนมีชื่อเสียงในเซียงหยาง ท่านให้ข้าเข้าไปก่อนและเมื่อข้าพบพี่ชายหยาง ข้าจะให้พี่หยางมาพบท่าน”
“ไอ้หนู เจ้ากำลังล้อข้าเล่นรึ? เจ้ากล้าเรียกพี่ชายหยางต่อหน้าพวกเรางั้นรึ? เจ้ากล้าดีจริงๆ!”
“ไอ้หนู ตามที่เจ้าพูดเมื่อกี้นี้ ไม่เพียงเจ้าจะได้เข้าเมืองโดยไม่ต้องจ่ายเงิน หัวหน้าของเราอาจหาเวลาไปเยี่ยมเยียนพี่ชายหยางของเจ้าบ้าง ให้เขาจำไว้ เรื่องของยามเมืองปล่อยให้เขาจัดการตามใจเขาด้วยละกัน”
ยามเมืองกลุ่มนั้นพูดเพ้อเจ้อกันไปเรื่อย ฮานปินโบกมือและพูดกับเอ้อโกวจื่อว่า
“ไหนบอกข้ามาซิ ใครคือพี่ชายหยางกันแน่”
“จริงๆแล้วเขาชื่อลู่หยาง แต่ข้าชอบเรียกเขาพี่ชายหยาง”
“อะไรนะ!?” “พี่ชายใหญ่ของเจ้าคือลู่หยาง!” ฮานปินกระโดดลุกขึ้นทันที
เมื่อฮานปินได้ยินคำสองคำว่าลู่หยาง เขาปวดหัวขึ้นมาทันทีและโบกมือไล่เอ้อโกวจื่อไป
เขามองดูพื้นเพเอ้อโกวจื่อด้วยความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ “ระยำ! แม้แต่ไอ้เด็กบ้านนอกกล้าใช้ชื่อลู่หยางมาข่มขู่ข้าที่นี่ ถ้าไม่ใช่…..”
ฮานปินไม่อยากพูดถึงลู่หยางอีก มันเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่สร้างปัญหา กับเงินแค่ห้าตำลึง เขาไม่คิดที่จะยั่วให้ลู่หยางกลับมา
“ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ จากนี้ไปเราไม่รับเงินค่าธรรมเนียมเข้าเมืองแล้ว” “เราห้ามให้เขาขุ่นเคืองไม่ได้ แต่เราหลีกเลี่ยงได้ ฮานปินพูดกับน้องน้องเขาอย่างช่วยไม่ได้!”
พวกเขาเก็บค่าธรรมเนียมมาหลายปีแล้ว ในอดีตมีนายน้อยอู๋คอยจัดการปัญหาให้ แต่หลังจากครั้งที่แล้ว นายน้อยอู๋ไม่ได้ใส่ใจชีวิตของพวกเขาอีกเลย เมื่อปราศจากกองหนุน เขาก็อยู่อย่างใจเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยกังวลว่าสักวันหนึ่งลู่หยางอาจโผล่มา สุดท้ายแล้วเขาตั้งใจหันหลังให้กับเรื่องไม่ดีแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่
ไม่มียามเมืองคนไหนคัดค้านเรื่องนี้เลย พวกเขากลับกระโดดโลดเต้นไปด้วย เขาตะโกนใส่ผู้คนที่กำลังจะเข้าเมือง “จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการเรียกเก็บเงินค่าเข้าและออกจากเมืองเซียงหยาง! ทุกๆคน ถ้าอยากเข้าเมือง รีบๆมา เข้าไป!”
ทันทีที่เสียงนั้นดังออกมา เริ่มมีความชุลมุนเกิดขึ้นที่หน้าประตูเมือง ฮานปินตะโกนใส่ฝูงชน “อย่าผลักกัน! อย่าผลักกัน!”
ตามคำแนะนำของลุงสง หลังจากที่เอ้อโกวจื่อเข้าประตูเมืองเซียงหยางแล้ว ให้เขาหาที่ตั้งของตำหนักเมฆาม่วง ในที่สุดเขาก็หาพบแล้ว
หลังจากเสร็จงานแล้ว ลู่หยางมาพบฟางตง ตอนนี้ฟางตงเป็นหัวหน้าผู้จัดการแล้ว นอกจากผู้อาวุโสของตำหนัก และนายท่านของตำหนักแล้ว ฟางตงเป็นผู้จัดการระดับสูงคนหนึ่งของตำหนักเมฆาม่วง เทียบกันไม่ได้กับเมื่อก่อนเลย
ดังนั้น การที่ลู่หยางขอความข่วยเหลือจากเขาครั้งนี้จะมีประโยชน์กว่าแต่ก่อนมาก
ลู่หยางดึงฟางตงมาข้างๆแล้วถามว่า “ท่านผู้จัดการฟาง เรื่องที่ข้าขอให้ท่านช่วยเมื่อครั้งที่แล้วเป็นยังไงบ้าง?”
ฟางตงขมวดคิ้วแล้วตอบฉงนๆว่า “เรื่องเกี่ยวกับอะไรเหรอ? มันอะไรนะ ข้าลืม….”
“คนมีเกียรตินี่ขี้ลืมจังเลย ตอนท่านยังเป็นเจ้าของร้าน ท่านสัญญาว่าจะจำใส่ใจไว้”
ในที่สุดฟางตงก็จำได้ ตอนนั้นลู่หยางขอให้เขาช่วยหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางให้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ที่เขาได้เลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้าผู้จัดการทำให้มีงานยุ่งขึ้นมากจนเขาลืมเรื่องของลู่หยางไป
ตอนนี้ ดูเหมือนเขาจะตระหนักถึงเรื่องบางอย่าง “อ๋อ ท่านกำลังพูดถึงยาเม็ดชักนำจิตวิญญาณระดับกลางใช่มั้ย? ของสิ่งนั้นหายากจริงๆ ข้าได้ส่งคนไปถามดูแล้ว แต่ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย ทำไมท่านไม่รออีกสักหน่อยล่ะ?”
“ข้าคอยไม่ได้แล้ว”
ลู่หยางได้ฝากความกับท่านลุงสงให้บอกเอ้อโกวจื่อให้มาพบเขาที่เซียงหยาง เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาจะจัดการเรื่องของเอ้อโกวจื่อและช่วยให้เขากลายเป็นผู้คุมอสูรที่แท้จริง
ถ้าหากเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางหาได้ยากยิ่ง เขาไม่สนใจนัก เขาสามารถใช้เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับเริ่มต้นกับวิชาฝึกอสูรที่เขาได้เตรียมไว้ อันดับแรกคือต้องให้เอ้อโกวจื่อฝึกฝนวิชาฝึกอสูรแปดดาวก่อนแล้วค่อยหาสิ่งที่ดีกว่านี้
ดังนั้น เขาบอกฟางตงว่า “ในเมื่อเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางนั้นหาได้ยากยิ่ง ถ้าอย่างนั้น ท่านช่วยหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับต้นให้ข้าที นี่คงไม่ยากแล้วใช่มั้ย?”
“ไม่มีปัญหา!” ฟางตงตบโต๊ะทันที “ข้าไม่สามารถจัดหาเม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับกลางได้ แต่เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณระดับต้นเป็นเรื่องเล็ก ท่านต้องการเมื่อไหร่น้องชาย”
ลู่หยางยิ้มบางๆแล้วพูดว่า “ข้าต้องการทันที! ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ท่านลุงสงกลับไปได้หนึ่งวันแล้ว ลู่หยางเดาว่าไม่เกินสองหรือสามวัน เอ้อโกวจื่อก็จะมาถึง เด็กคนนี้เชื่อฟังลู่หยางมากที่สุด ยิ่งเขาไม่ได้พบลู่หยางมานานแล้ว พอได้ข่าวว่าลู่หยางมีบางอย่างจะบอกเขา เขาต้องรีบแจ้นมาแน่ ดังนั้น ก่อนที่เอ้อโกวจื่อจะมาถึง เขาต้องแน่ใจว่าเขาเองก็พร้อม วิชาฝึกอสูรได้เตรียมไว้แล้ว เม็ดยาชักนำจิตวิญญาณจะได้ตอนกลางคืน แต่แค่สองอย่างนี้ยังไม่พอสำหรับการที่จะเป็นผู้คุมอสูรต้องมีอสูรดุร้ายเป็นสัตว์เลี้ยงสงครามด้วย มีเพียงผู้คุมอสูรที่สยบสัตว์เลี้ยงสงครามได้จึงจะเป็นผู้คุมอสูรที่แท้จริง
ด้วยความที่เมืองเซียงหยางเป็นเมืองใหญ่ ตราบใดที่มีผลึก ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา ลู่หยางคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว เมื่อไหร่ที่เอ้อโกวจื่อมาถึง เขาจะเริ่มฝึกวิชาฝึกอสูรให้ทันที ทันทีที่เขาสำเร็จวิชาแล้ว ลู่หยางจะใช้ผลึกซื้ออสูรดุร้ายให้เขา