ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 47
SB:ตอนที่ 47 เฒ่าเฟิงตกตะลึง
เมื่อเข้าร่วมตำหนักเมฆาม่วง ผู้จารึกจะถูกมอบหมายงานตามระดับของตนเอง ยิ่งผู้จารึกทำงานเยอะก็จะได้รับค่าตอบแทนเยอะขึ้น
ผู้จารึกอาวุโสบางคนจะรับผู้จารึกหน้าใหม่มีพรสวรรค์เป็นศิษย์หรือให้เด็กเหล่านี้มาช่วยงาน ค่าตอบแทนที่ได้เป็นของผู้จารึกอาวุโสนั้น เพียงแต่คนอย่างเฒ่าเฟิงมีไม่มากนัก เขาให้รางวัลทั้งหมดที่ได้แก่ศิษย์ของเขา ส่วนมากพวกผู้อาวุโสจะเก็บรางวัลไว้แต่ผู้เดียว
จากเรื่องนี้ ทำให้ลู่หยางมองเฒ่าเฟิงดีขึ้นกว่าเดิม เขารู้สึกว่าแม้เฒ่าผู้นี้จะพูดจาไม่น่าฟังเท่าไร แต่นิสัยเขาไม่ได้แย่เลย เพียงแค่หัวโบราณเท่านั้น
ลู่หยางพึมพำ “วิชาคุมอสูรแปดดาวรึ? ข้าจะลองดู เพียงแต่ข้าต้องการตำราผ้าม่วงเพิ่ม”
“เจ้าต้องการตำราผ้าม่วงเพิ่ม เจ้าล้อข้าเล่นรึ แม้วิชาชั้นสูงก็ยังจารึกได้เพียงสิบหน” เขามีตำราผ้าม่วงจำกัดและเขาไม่ต้องการให้มันแก่ลู่หยางเพิ่มแล้ว
มุมปากลู่หยางยิ้มขึ้น เขาโยนถุงผลึกคืนไปแก่เฒ่าเฟิงโดยไม่สนใจดูจำนวนข้างในแม้แต่น้อย
เขากล่าว “ข้าไม่ต้องการรางวัลอะไร ข้าแค่ต้องการตำราผ้าม่วง ท่านเฟิงตราบเท่าที่ท่านให้มันแก่ข้า ข้าจะทำงานของท่านให้เสร็จ!”
เฒ่าเฟิงได้สติหลังจากอึ้งอยู่นาน เขาเก็บถุงผลึกและกล่าว “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแปลกประหลาดเช่นนี้ แน่นอนหากเจ้าทำได้ข้าจะให้รางวัลเจ้า ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าต้องการตำราผ้าม่วง ข้าให้มันแก่เจ้าได้ตราบเท่าที่เจ้ามีความสามารถ”
ลู่หยางเก็บวิชาฝึกอสูรทั้งหมดที่เฒ่าเฟิงให้แก่เขารวมถึงตำราผ้าม่วงสิบเล่ม
เฒ่าเฟิงจารึกได้เพียงวิชาแปดดาวด้วยความสามารถปัจจุบันของเขา เขามอบงานนี้แก่ลู่หยางเพราะเขาต้องการรู้ฝีมือของลู่หยาง
ด้วยระบบฝึกอสูรและตำราผ้าม่วงเป็นตัวกลาง วิชาจารึกของเขาได้มีระดับถึงสิบดาวแล้ว ดังนั้นเขาทำงานนี้ได้อย่างแน่นอน หลังจากนำทุกอย่างกลับห้องเขา ลู่หยางเริ่มงานทันที
ด้วยระบบ วิชาหนึ่งดาวใช้เวลาเพียงสามนาที แน่นอนว่าวิชาระดับแปดดาวจะใช้เวลาและพลังงานมากกว่า
นอกจากใช้ผลึกชั้นต้นแปดชิ้น เขาต้องใช้ตำราผ้าม่วงอีกชิ้นในการจารึก ด้วยระยะเวลาสองชั่วโมงพร้อมกับอัตราสำเร็จร้อยเปอร์เซ็น ลู่หยางก็มีวิชาฝึกอสูรทั้งสิบอยู่ในมือ ลู่หยางนำตำรามากอดที่อกและกล่างอย่างดีใจ น้องข้า นี่เป็นวิชาฝึกอสูรระดับสูงที่สุดเท่าที่ข้าจะหาได้ ข้าแค่รอเจ้ามาและข้าจะมอบมันให้แก่เจ้า”
หลังจากลู่หยางมาที่ตำหนักเมฆาม่วงงานของเขาทั้งหมดเขารับมาจากเฒ่าเฟิง ตอนนี้เวลาที่เขาจะรับงานเขาไม่รับงานผ่านตำหนักแล้ว แต่ผ่านเฒ่าเฟิง เดิมทีเรื่องเช่นนี้นั้นไม่เลว และมันไม่แตกต่างกันสำหรับลู่หยางเพราะเมื่อเขาพิสูจน์ความสามารถเขา เขาจะได้เลื่อนขั้นที่สูงขึ้นและรับศิษย์ของตนเองบ้าง
แต่บัดนี้เฒ่าเฟิงมีระดับเพียงแปดดาว งานที่เขาได้รับถูกจำกัดอยู่แค่แปดดาว
ลู่หยางเก็บตำราไว้หนึ่งเล่มและมอบทั้งหมดให้แก่เฒ่าเฟิง เฒ่าเฟิงรับตำราเหล่านั้นด้วยมือที่สั่นสะท้าน เฒ่าเฟิงผู้นี้ต้องใช้เวลาสามวันถึงจะจารึกได้เล่มหนึ่ง แต่นี่เพียงสองชั่วโมงผ่านไปลู่หยางทำงานของเขาทั้งหมดเสร็จแล้ว เขานับดูอย่างถี่ถ้วนและพบว่ามันมีถึงเก้าเล่ม
สีหน้าเฒ่าเฟิงประหลาดใจ ดวงตาเขาเบิกกว้างอย่างกับไข่ไก่ เขากล่าวอย่างโง่งม “อัตราสำเร็จของเจ้าสูงมากจริงๆ เจ้าขาดไปเพียงเล่มเดียว”
ความสามารถเฒ่าเฟิงไม่ถือว่าเก่งในตำหนักเมฆาม่วง แต่ทว่าเขามีอัตราสำเร็จที่สูง เขาจารึกได้เจ็ดในสิบสำหรับวิชาแปดดาว อัตราเช่นนี้ถือว่าสูง และนี่เป็นเหตุผลที่เขามีที่ยืนในตำหนัก
ทว่า ลู่หยางเจ้าเด้กน้อยนี่ ในเวลาเดียววันเดียวมันได้ทำงานของเขาที่ได้รับมอบหมายสำเร็จไปแล้วสองอย่าง และอัตราสำเร็จยังสูงกว่าเขาอีก เฒ่าเฟิงตระหนักว่าเขาประเมินเด็กน้อยนี่ต่ำไป เด็กนี่มันมีความสามารถเช่นนี้ได้นั่นมีเพียงความเป็นไปได้เดียว นั่นคือฝีมือของลู่หยางนั่นเหนือกว่าของตัวมันเองแล้ว
เขากล่าวอย่างตะลึง “เด็กน้อย ที่จริงแล้วเจ้ามีความสามารถเช่นนี้ ฟ่างตงสามารถเลื่อนขั้นให้เจ้าได้เลยและยังสูงกว่าข้าอีก แต่เจ้า ทำไมเจ้ายังรับงานจากข้าและยอมเป็นลูกน้องข้าอีกล่ะ?”
“ท่านเฟิง อย่าพูดอีกเลย รับงานกับท่านนั้นก็ไม่แตกต่างอันใด”
“เจ้าทำแบบนี้ทำไมกัน? ยิ่งเจ้าได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น เจ้าก็จะได้รับการดูแลดีขึ้นกว่าเดิม” เฒ่าเฟิงสงสัย
ลู่หยางยิ้มและกล่าว “ที่จริงแล้วข้าไม่ต้องการให้คนตกตะลึงอย่างที่ท่านเป็นน่ะสิ ท่านแค่นำงานที่ท่านรับมาให้ข้าทำ ส่วนค่าตอบแทนข้าขอเพียงตำราผ้าม่วงเท่านั้นเอง”
“แบบนี้ … เป็นไปได้จริงๆรึ?” เฒ่าเฟิงถามเสียงต่ำ
“ไม่เพียงข้าช่วยท่านจารึกวิชาแปดดาวได้ แต่ข้ายังช่วยท่านจารึกวิชาที่ระดับสูงกว่านั้นได้อีก
เฒ่าเฟิงถึงกับเกือบล้มลงจากความตกตะลึง
“เด็กน้อย เจ้าพูดอะไรนะ เจ้าพูดอีกทีให้ข้าฟังชัดๆซิ!”
ลู่หยางยื่นหน้าไปใกล้เฒ่าเฟิงจนห่างเพียงสามเซนติเมตรและกล่าว
“ท่านเฟิง ท่านจะเป็นคนได้รับความดีความชอบ ทว่าในอนาคตข้าไม่ต้องการรับงานระดับแปดดาวอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการงานระดับสูงกว่านี้” หลังจากพูดจบ เขาถอยออกมาและเดินออกประตูไป
ไม่นานมานี้เขายังเป็นหัวหน้าของลู่หยางอยู่เลย ทว่าตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่หยาง เขาเป็นราวกับเด็กน้อย ลู่หยางทำให้เขาประหลาดใจมากเกินไป เฒ่าคนนี้ยังไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
ทันใดนั้นเฒ่าเฟิงจับแขนลู่หยางและถาม “น้องชาย ไม่ใช่สิ ท่านลู่หยางหากท่านต้องการวิชาฝึกอสูรระดับสูงกว่านี้ ท่านต้องไปสมัครเป็นผู้อาวุโสของตำหนัก!”
ลู่หยางตอบอย่างเรียบเฉย “ท่านเฟิง ท่านคิดหาหนทางด้วยตัวท่านเองเถอะ ท่านจะลองสมัครรับวิชาฝึกอสูรระดับเก้าจากตำหนักก็ได้ เมื่อถึงเวลาพิสูจน์ความสามารถของท่านให้พวกเขาเห็น พวกเขาจะมอบวิชาระดับสูงขึ้นให้ท่านเอง”
ชายแก่พูดอย่างหมดหนทาง “พูดตามตรง ท่านลู่ วิชาจารึกข้าอยู่ระดับแปดมาสิบปีแล้ว แม้จะผ่านมาสิบปี ข้าก็มิอาจทะลวงขั้นสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ ต่อให้ข้ามีวิชาจารึกขั้นเก้า ข้าก็ไม่อาจฝึกฝนได้ หากข้านำวิชาควบคุมอสูรเก้าดาวมาแล้วไม่อาจจารึกได้หล่ะ?”
ลู่หยางตอบกลับ “ข้าจะจัดการทุกอย่าง”
ลู่หยางกล่าวจบและเปิดประตูออกจากห้องเฒ่าเฟิง เขาหันกลับมามองและคิด ห้องฝึกฝนของท่านนี้สำหรับผู้จารึกระดับสูงจริงๆ มันดูดีกว่าห้องของข้าอีก ไม่นานหรอกข้าจะมีห้องเช่นนี้บ้าง
ลู่หยางทาบมือกับอกเพื่อสัมผัสถึงวิชาระดับแปดดาวและนึกถึงน้องชายของเขา เขาเติบโตมาพร้อมลู่หยางและเป็นญาติพี่น้องที่เขามีไม่กี่คน
ตั้งแต่เขาเป็นผู้ฝึกอสูร ความฝันสูงสุดของน้องชายเขาคือเป็นผู้ฝึกอสูรเช่นพี่ชายเขาและเขาเชื่อว่าลู่หยางจะช่วยให้ฝันเขาเป็นจริง ลู่หยางใส่ใจเรื่องนี้ตลอดเวลา
“เอ้อโกวจื่อขาดแค่เม็ดยานำจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ข้ารอเจ้ามาที่นี่ และเมื่อนั้นข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกอสูร” ลู่หยางคิดในใจ หลังจากทำงานของเขาที่รับมาจากเฒ่าเฟิงสำเร็จ ลู่หยางมีเวลาว่าง เขาจะไปหาฟ่างตงเพื่อคุยเรื่องเม็ดยานำจิตวิญญาณและวิชาฝึกอสูรแปดดาวจะต้องสร้างยอดฝีมือได้อย่างแน่นอน