ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 45
SB:ตอนที่ 45 ปฏิบัติการครั้งใหญ่หลวง
หลอหยุนชานหน้ามืดทมึน เขากล่าวกับลู่หยาง “เด็กน้อย เจ้าคิดว่าจะหลอกคนอย่างข้าได้ง่ายๆรึ? แคว้นเซียงหยางแห่งนี้คือถิ่นข้าหากมิใช่เพราะเจ้ามีของบางอย่างในตัว ปีศาจสองตนนั่นจะเสี่ยงไล่ตามเจ้ามาในบ้านตระกูลหลอของข้ารึ?”
ชายแก่กล่าวขณะหรี่ตามองไปที่ลู่หยาง เสียงเขาดังก้องราวกับฟ้าผ่า “เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมว่าปีศาจอเวจีนั้นไม่ได้ปรากฎตัวบนทวีปนี้มาเป็นเวลาช้านานแล้ว หากไม่ใช่เพราะเรื่องสำคัญ พวกมันไม่มีทางเสี่ยงปรากฏตัวบนแคว้นมนุษย์หรอก หากมันถูกมนุษย์พบพวกมันจะตายทันที ยิ่งกว่านั้น…”
หลอหยุนชางพูดไปเพียงครึ่งทางและหยุด จนปล่อยให้ลู่หยางอยากรู้ขึ้นมา “และยังไงต่อรึ”
ชายแก่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เขากล่าวต่อลู่หยาง “เจ้าเด็กน้อย อย่าคิดว่าที่ข้ามาช่วยชีวิตเจ้าได้ในคืนนี้นั้นเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าได้สังเกตการณ์อยู่นานก่อนจะลงมือช่วยเจ้า ข้าเห็นทุกสิ่ง”
ลู่หยางถามอย่างว่างเปล่า “ผู้อาวุโสท่านเห็นอะไรรึ?”
ณ ตอนนั้นเขาปะทะกับปีศาจสองตนอย่างวุ่นวาย ลู่หยางไม่สนว่าใครจะเห็นไพ่ตายของเขา นอกจากระบบฝึกอสูร เขาใช้ทุกอย่างที่มี น่าเสียดายที่เขาพ่ายแพ้ให้กับพวกมัน หากหลอหยุนชานได้เห็นทุกสิ่งจริงๆ อย่างนั้นความลับทุกอย่างของเขาคงถูกเปิดเผย
เมื่อเห็นว่าลู่หยางระมัดระวังรอบคอบเหลือเกิน หลอหยุนชางหัวเราะและกล่าว “เจ้าเด็กน้อย ข้ารู้เจ้ามีความลับซ่อนไว้เยอะ และข้าเห็น ในคืนนั้นสัตว์อสูรที่เจ้าเรียกออกมานั้นระดับสูงน่าดู ไม่แปลกใจที่มันสามารถต่อกรกับปีศาจสองตนนั่นได้อย่างยาวนาน
ท่ามกลางคืนมืดมิดหลอหยุนชางนั้นเดิมทีหลับอยู่ ทว่าเขาตื่นขึ้นมาเพราะกลิ่นอายของปีศาจ ยิ่งกว่านั้น เขามั่นใจว่าลู่หยางได้ปะทะกับสองปีศาจนั่นเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะมาถึง หลอหยุนชานนั้นเข้าใจดีว่าปีศาจสองตนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขารู้ว่าคนที่ต่อกรกับปีศาจนั่นได้จะต้องแข็งแกร่งพอตัว
หลอหยุนชานกล่าวต่อ “ข้ารู้สึกคุ้นกับอสูรตนนั้น ยิ่งเมื่อมันใช้ทักษะเฉพาะตัว มันเป็นระฆังทองคำมหึมา ข้าว่ามันน่าจะเป็นราชสีห์คลั่งขนทองที่ปรากฎตัวในลานหมื่นอสูรครั้งที่แล้ว ณ ตอนนั้นทุกคนในแคว้นพูดถึงมัน ข้าได้ยินว่าผู้ได้มันไปคือชายอ้วนชุดดำ ไม่คาดว่ามันจะตกอยู่ในมือเจ้า
ความลับของเขาถูกเปิดเผยต่อหลอหยุนชานทีละอย่าง เขากระทั่งรับรู้ถึงราชสีห์คลั่งขนทองด้วย บัดนี้เขามิอาจพูดอะไรออกอีก เขาได้แต่ถาม ผู้อาวุโส ท่านเห็นอะไรอีก?”
ความจริงแล้วสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ใช่ราชสีห์คลั่งขนทองเพราะมันก็แค่อสูรระดับจักรพรรดิ แม้มันจะล้ำค่าแต่ต่อหน้าคนแก่เช่นหลอหยุนชานแล้วมันไม่ได้ล้ำค่ามากขนาดนั้น เขากังวลมากกว่านั้นคือหลอหยุนชานจะเห็นมากกว่าสัตว์เลี้ยงอสูรสิบตัวของเขา
หากความลับเรื่องระบบฝึกอสูรของเขาถูกเปิดเผย แคว้นเซียงหยางคงลุกเป็นไฟ เพราะนี่คือความลับใหญ่ที่สุดของเขา
ทว่าเมื่อลู่หยางกล่าวจบ หลอหยุนชานตบเอวตนเองทันทีและกล่าวอย่างยินดี
“เด็กน้อย เจ้ามีความลับซ่อนอีกจริงๆด้วยสินะ!”
“ทว่า ข้าคนนี้มิได้ชอบนินทาใคร ข้าแค่คิดว่าเจ้านั้นไม่ธรรมดาที่สามารถครอบครองราชสีห์คลั่งขนทองได้โดยคนทั้งแคว้นเซียงหยางไม่รับรู้ ข้ารู้ว่าทุกคนมีความลับ เอาละเจ้าแค่บอกข้ามาว่าปีศาจสองตนนั่นไล่ล่าเจ้าด้วยเหตุใด?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมิได้ล้วงความลับเขาต่อ เขาถอนใจโล่งอก
เมื่อถูกสหายสูงวัยคนนี้จ้อง ลู่หยางรู้สึกราวกับตัวเขานั้นเป็นผลึกโปร่งใสไม่อาจซ่อนความลับใดได้ โชคดีที่อีกฝ่ายอ่อนข้อให้มิได้ยืนยันจะขุดคุ้ย มิเช่นนั้นลู่หยางคงไม่อาจรับมือได้
เขาทำได้แค่หยิบสารลับออกจากอกเสื้อเขาและกล่าวต่อหลอหยุนชาน “ข้าแค่รู้ว่าพวกมันต้องการสิ่งนี้”
“เอามาให้ข้าดู!” หลอหยุนชานตาลุกวาว เขารีบคว้ามือไปจะหยิบสารจากมือลู่หยาง
ลู่หยางเมื่อหยิบสารออกมาเขาเห็นหลอหยุนชานขยับตัว เขาก็รีบชักมือกลับทันทีปล่อยให้ชายแก่คว้าได้แต่อากาศ
“เด็กน้อย อะไรของเจ้า!”
ลู่หยางขำ “ข้าจะให้ท่านรู้แค่นี้ ข้าไม่ให้ท่านดูเนื้อหาในสารหรอก!”
เขากล่าวต่อด้วยสีหน้าเรียบ “สารนี่มีคนให้ข้ามา และเขามอบหมายให้ข้านำมันไปส่งให้ตระกูลหลอ”
“แล้วเจ้ารออะไรอยู่หล่ะ? เร็วเข้าเอามาให้ข้าดู ข้าอยากรู้ว่าอะไรทำให้ปีศาจนั่นเสี่ยงชีวิตบุกมาในแคว้น!” หลอหยุนชานถามอย่างกระวนกระวาย
สมกับชื่อราชสีห์คลั่ง ด้วยบุคลิกรุนแรงของหลอหยุนชานแล้ว เขาไม่เหมือนชายแก่เลย
ลู่หยางกล่าวอย่างเคร่งเครียด “คนที่ให้ข้ามากล่าวว่า ข้าต้องส่งสารนี่ให้แม่นางอู๋ฮวงเท่านั้น”
หลอหยุนชานเริ่มกระวนกระวาย เขาตบโต๊ะตรงหน้าหักและตะโกนอย่างโกรธเคือง
“อะไรกัน! ข้าคือบิดาของอู๋ฮวง อย่าบอกนะว่าแม้ข้าก็ดูไม่ได้”
ลู่หยางส่ายหน้า “ข้าแค่ทำตามภารกิจ ในเมื่อชายคนนั้นให้ข้าส่งสารนี่ให้แม่นางอู๋ฮวงเท่านั้น ข้าจะไม่ส่งมันให้ใครอื่น”
“เด็กน้อย เจ้ารู้ไหมนี่ที่ไหน เจ้ารู้ไหมกำลังพูดกับใครอยู่ ข้าช่วยชีวิตเจ้านะ และเจ้าอยู่ในถิ่นของข้า ถ้าเจ้าทำให้ข้า ราชสีห์คลั่งบันดาลโทสะละก็ ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ เจ้าเด็กระยำตัวน้อย!” หลอหยุนชานโกรธเสียจนเคราขาวเขาตั้งขึ้น เสียงเขาราวกับอสนีบาต ทว่าแม้รังสีกดดันแผ่มาหาเขา ลู่หยางยังกล่าวด้วยเสียงไม่โอหังและไม่นอบน้อมเกินไป “ท่านอาวุโส ได้โปรดอย่าทำให้เป็นเรื่องยากเลย หากท่านต้องการอ่านสารนี่ ก็ให้แม่นางอู๋ฮวงมาหาข้าเถิด”
“เจ้าเด็กระยำ ข้าบิดาเจ้าช่วยชีวิตเจ้าเสียเปล่าจริงๆ!” หลอหยุนชานคำราม แต่เขายังนั่งลง ท่าทีเกรี้ยวกราดเขาสงบลงเล็กน้อย ลู่หยางถอนใจโล่งอก เขารู้ว่าชายแก่คนนี้เริ่มใจเย็นแล้ว
“หากเจ้าให้ข้าดูสารไม่ได้ ก็อย่ามาอยู่ในบ้านข้าอีกต่อไป ออกไปได้แล้ว เมื่ออู๋ฮวงกลับมา เจ้าค่อยมาพบนางได้”
เขาวาดมือจากนั้นชายสองคนเข้ามาและไล่ลู่หยางออกไป
ลู่หยางไม่คาดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาประเมินอารมณ์ราชสีห์คลั่งต่ำไปจริงๆ เขาคารวะชายแก่และกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าน้อยขอตัวก่อน ข้าหวังว่าเมื่อแม่นางอู๋ฮวงกลับมา นางจะส่งคนมาบอกข้าน้อยด้วย”
“ไสหัวออกไปจากตระกูลหลอเดี๋ยวนี้!”
หลอหยุนชานเต็มไปด้วยโทสะ แต่ดวงตาเขาลุกวาว เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของลู่หยางที่กำลังเดินออกไป มุมปากเขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เขากล่าวในใจ “เด็กดีเอ๋ย เจ้ามีบุคลิกไม่เลว ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ทว่านี่ยังไม่พอ หากเจ้าทนอารมณ์ข้าได้ นั่นจะเป็นพรสวรรค์ที่น่ายกย่อง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”
หลังจากลู่หยางออกจากตระกูลหลอ หลอหยุนชานลุกขึ้นทันทีและสั่งการ “เด็กๆ ไปบอกนายหญิงน้อยให้นางกลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ อย่าลืมว่า เดี๋ยวนี้ ข้าต้องการให้เจ้านำนางกลับมา เดี๋ยวนี้!”
หลังจากที่เขาพูดจบ เงาร่างด้านนอกก็หายวับไปทันที ชื่อเสียงของราชสีห์คลั่งนั้นเลื่องลือไปทั่วแคว้น คำพูดเขาเป็นเหมือนคำสั่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม
หลังจากออกคำสั่ง เขานั่งลงและนึกถึงลูกสาวเขา หลอหยุนชานคิด “เด็กนั่นโตแล้ว ถึงเวลาที่จะหาใครบางคนมาดูแลนาง นางชอบดูแคลนคนในแคว้นเซียงหยางไม่ใช่รึ ครานี้แหละ นางจะพบคนที่เข้าตานางสักที!”
ขณะเขาเดินกลับบ้าน ลู่หยางจามอย่างหนักจนกระทั่งน้ำลายพุ่งออกมาเต็มพื้น
เขาถอนใจ “สหายเฒ่านั้นต้องเคืองข้าอยู่แน่ ไม่งั้นข้าจะจามขนาดนี้ได้อย่างไร!”
ลึกเข้าไปในหุบเขาเทวะร่วงหล่น ในตำหนักมืดมิด
ควันดำพวยพุ่งออกจากร่างของเทพปีศาจทมิฬและปีศาจทมิฬ ใบหน้าของมันแสดงอาการเจ็บปวดขณะที่มันนอนอยู่บนพื้น ตรงหน้าของพวกมันเห็นขั้นบันไดเก้าสิบเก้าขั้นสู่อีกฟากของโถงตำหนัก ที่จุดสูงสุดของขั้นบันไดมีชายกลางคนนั่งอยู่บนบัลลังก์สีดำ
ชายกลางคนมองไปที่ร่างอันเละเทะของทั้งสอง เขากล่าวอย่างเคร่งเครียด “มันก็แค่เด็กเมื่อวานซืน แต่เจ้ากลับถูกมันเล่นงานเละขนาดนี้ เจ้าไม่แม้แต่ทำงานที่ข้ามอบหมายให้เสร็จได้ เจ้ายังมีหน้ากลับมาให้ข้าเห็นอีก!”
เป็นนายเหนือหัวที่มาจากอเวจี เมื่อเขาได้รับข่าวว่าเทพปีศาจมืดทำภารกิจล้มเหลวและยังบาดเจ็บกลับมา เขาไม่สงสารด้วยซ้ำและยังบันดาลโทสะขึ้นมา
นั่นเพราะสารนั่นสำคัญอย่างมาก และมันจะกระทบต่อแผนการต่อไปของชายกลางคน น่าเสียดายที่ขนาดทั้งสองตนนี่ลงมือพวกมันยังล้มเหลว ไม่แปลกที่ชายกลางคนจะบันดาลโทสะ
มันทั้งสองรีบอธิบาย “นายเหนือหัวโปรดละเว้นข้า เป็นเพราะเฒ่าตระกูลหลอนั่นเข้ามายุ่ง ไม่งั้นพวกข้าคงนำเด็กนั่นกลับมาได้”
“อะไรนะ!” เมื่อได้ยินชื่อเฒ่าตระกูลหลอ ชายกลางคนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หน้าบึ้งตึงถึงขีดสุด เขาถามอีกที “ปีศาจทมิฬเจ้าพูดชื่อนั่นอีกทีซิ เจ้าแน่ใจรึมันคือหลอหยุนชานจากตระกูลหลอที่ทำร้ายเจ้าด้วยตัวมันเอง!”
ปีศาจทมิฬผงกหัวทันที “ขี้ข้าผู้นี้มั่นใจว่ามันต้องเป็นหลอหยุนชาน หากไม่เช่นนั้นแม้เจ้าเด็กนั่นจะมีอสูรสัตว์เลี้ยงชั้นปราชญ์ มันก็ไม่ใช่คู่มือของขี้ข้าผู้นี้!”
ชายกลางคนอ้วนนั่นราวกับว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาทิ้งตัวลงบนบัลลังก์สีดำและกล่าวปราศจากพลังในน้ำเสียง
“พวกเราบุ่มบ่ามเกินไป ข้าเกรงว่าตระกูลหลอรู้ความเคลื่อนไหวพวกเราแล้ว”
เขาปล่อยแขนขาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ดูราวกับว่าเขาสิ้นหวัง สำหรับปฏิบัติการนี้เขาเตรียมการมากี่ปีใครจะรู้ ทุกอย่างดูเหมือนจะพร้อมแล้วเหลือแค่ลมตะวันออก ทว่าบางอย่างไม่คาดคิดเกิดขึ้นในช่วงสำคัญ และนั่นเพียงพอที่จะทำให้แผนทั้งหมดของเขากลายเป็นอากาศธาตุไป
เขาพึมพำกับตัวเอง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราได้แค่ลองสักตั้ง ในขณะที่แคว้นเซียงหยางยังไม่ได้เตรียมการ พวกเราจะเร่งแผนการขึ้น” เขาคิดบางสิ่งได้ทันที “ไม่สิ! ไม่ใช่เร่งมัน แต่ต้องเป็นตอนนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย!”