ระบบสัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่ง - ตอนที่ 152
SB:ตอนที่ 152 ความมั่งคั่งของตระกูลหยวน
ในที่สุด ลู่หยางก็ได้กำราบหยวนจิน และตระกูลหยวนของเขา และใช้ศีรษะของหยวนจินเป็นของขวัญให้กับวันเกิดปีที่สิบเจ็ดของเขา
เมื่อไม่มีหยวนจินแล้ว ทางตอนเหนือของเมืองก็ได้กลายเป็นอาณาจักรของสำนักหนึ่งสวรรค์ กลุ่มชนชั้นต่ำต้อยเหล่านั้นที่ได้แสดงความยอมจำนนต่อสำนักหนึ่งสวรรค์แล้วในตอนแรก มาถึงตอนนี้ ผู้คนจำนวนมากขึ้นยิ่งไม่กล้าขัดขืนหรือท้าทายอำนาจของสำนักหนึ่งสวรรค์
ทุกสิ่งทุกอย่างรวมไปถึงพวกยามผู้พิทักษ์ ที่เป็นของตระกูลหยวนก่อนหน้านี้ได้กลายมาเป็นสาวกของสำนักหนึ่งสวรรค์ทั้งหมด กองกำลังทั้งหมดทั้งมวลของสำนักหนึ่งสวรรค์ได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งตอนเหนือของเมือง
ชนชั้นต่ำต้อยผู้ที่ร่ำรวยและมีอำนาจต่างก็หมอบราบกราบกรานลงแทบเท้าลู่หยาง หลังจากที่ได้ผนึกรวมชนชั้นต่ำต้อย และชนชั้นมั่งคั่งแล้ว สำนักหนึ่งสวรรค์ของเขาก็ไปถึงระดับที่เหนือกว่าตระกูลหยวนตอนนั้นแล้ว
ลู่หยางได้กำจัดตระกูลหยวนลงได้โดยสมบูรณ์แล้ว และเขาจะไม่ปฎิบัติกับมันเฉกเช่นเดียวกับที่เขาได้เคยทำกับสมาคมสายลมและเมฆาเมื่อครั้งก่อนแน่นอน
หลังจากที่ได้ทำการเยียวยาอาการบาดเจ็บของซุนวูจนคงที่แล้ว ลู่หยางนั่งอยู่บนบัลลังก์ของหัวหน้าพันธมิตรสำนักหนึ่งสวรรค์ เขากำลังอยู่ในภวังค์ขณะที่ในมือของเขาถือสิ่งประดิษฐ์วิญญาญสองชิ้นอยู่
เมื่อพลังจากในตัวของเขาไหลส่งผ่านเข้าไปในสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นนั้น พื้นผิวของดาบสังหารมังกรยังคงส่องประกายเจิดจ้าอยู่ แต่ไม่ว่าลู่หยางจะส่งผ่านพลังเข้าไปในชุดเกราะวิญญาณมากแค่ไหน มันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้ซักกระเบียดนิ้ว นอกจากนี้ เขายังสังเกตเห็นว่า มีรูใหญ่ๆหนึ่งรูบนชุดเกราะนี้ ชุดเกราะวิญญาณนี้แทบจะขาดออกจากกันแล้ว
ลู่หยางส่ายหัวและถอนหายใจ เขารู้สึกเสียใจเป็นที่สุด “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าใช้พละกำลังมากเกินไปในตอนนั้นทำให้ชุดเกราะวิญญาณดีๆกลายเป็นเช่นนี้ไป…นี่มันสามล้านผลึกเชียวนะ หมดกันแล้ว!”
รูโหว่บนชุดเกราะวิญญาณนั้นเกิดจากการโจมตีครั้งสุดท้ายของลู่หยาง และผู้อาวุโสไป๋ที่ลงมือกับหยวนจิน ไม่เพียงแต่มันจะทำให้หยวนจินพิกลพิการไป มันยังทำให้ชุดเกราะวิญญาณเสียหายไปด้วย โครงสร้างภายในถูกทำลายไปหมดกลายเป็นกองเศษโลหะชิ้นเล็กชิ้นน้อย โชคยังดีที่หลังจากหยวนจินตายไป เขาได้ทิ้งดาบสังหารมังกรเอาไว้ และมันยังอยู่ในสภาพที่ดี ลู่หยางเพียงแค่ต้องทำให้ดาบสังหรณ์มังกรนี้บริสุทธิ์ขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งก่อนที่เขาจะสามารถควบตุมมันได้
ทรัพย์สมบัติจำนวนนับไม่ถ้วนเต็มห้องไปหมด และมันเป็นการยากที่จะวางมันลง ห้องโถงของสมาคมสายลมและเมฆาที่ตอนแรกนั้นเขาคิดว่าใหญ่โตโอฬารเพียงพอแล้วตอนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอแล้วในตอนนี้ และเหนืออื่นใด สำนักหนึ่งสวรรค์ในปัจจุบันไม่เหมือนเดิมดังเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
ลู่หยางแอบตัดสินใจที่จะสร้างตระกูลหยวนที่ได้กลายเป็นซากปรักหักพังแล้วขึ้นมาใหม่ แล้วใช้ที่แห่งนี้สร้างสำนักหนึ่งสวรรค์ขึ้นใหม่หนึ่งชุด ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องสร้างคลังสมบัติที่มโหฬารขึ้นมาเพิ่อเก็บทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ยึดเอามาได้จากตระกูลหยวน
หลังจากที่ได้ปล้นสะดมทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาแล้ว ลู่หยางรู้สึกตกใจเล็กน้อยเพราะมันเป็นทรัพย์สมบัติที่มีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา ถ้าหากสิ่งของภายในนั้นทั้งหมดถูกนำออกมาจัดวาง มันสามารถเทียบเท่ากับตำหนักหมื่นสมบัติทั้งชั้นเลยทีเดียว
เป็นที่แน่ชัดว่าลู่หยางได้ประเมินการสั่งสมนับพันปีของตระกูลหยวนต่ำเกินไป ทรัพย์สมบัติกองโตเท่าภูเขาได้ทำให้เขาตกใจเพียงพอแล้ว แต่วินาทีที่เขาเห็นความมั่งคั่งที่แท้จริงของตระกูลหยวน ลู่หยางตกอยู่ในสภาพตกตะลึงตัวแข็งทื่อเป็นหินไปเลยในทันที
“คุณพระช่วย!”
หากปรียบเทียบกับผลึกกองโตตรงหน้าเขาแล้ว ลู่หยางรู้สึกในทันใดนั้นเองว่าทรัพย์สมบัติก่อนหน้านี้ไม่ได้มีค่ามากเท่าใดนัก
“คุณพระช่วย!” นี่มันผลึกจำนวนมากแค่ไหนกันนี่?”
ตอนนี้ ลู่หยางรู้เพียงว่าเขากำลังขาดแคลนผลึกเป็นที่สุด และเมื่อมองเห็นผลึกกองเท่าภูเขาตรงหน้าเขานี่ เขารู้สึกในทันใดนั้นเองว่าโลกใบนี้ช่างสวยงามจริงๆ
ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เฮ้อ นายน้อยผู้นี้ยากจนข้นแค้นมาหลายปีแล้ว และในที่สุดเขาได้กลายเป็นคนร่ำรวยไปแล้ว ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรก ข้าคงจะให้ใครฆ่าหยวนจินไปแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงป่านนี้นะ”
ตอนนี้เป็นเวลาที่กำลังร้อนเงิน ลู่หยางมองไปที่กองผลึกตรงหน้า แล้วแทบจะน้ำลายไหล
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงระดับปัจจุบันของสำนักหนึ่งสวรรค์ และความที่ยังจำเป็นต้องใช้ผลึกจำนวนมากในการพัฒนาสำนักอย่างมั่นคง ลู่หยางอดทนต่อแรงกระตุ้นที่จะเอาผลึกเหล่านี้มาเพิ่อตัวของเขาเอง เขาเพียงแค่หยิบเอาศิลาผลึกชั้นกลางออกมาหนึ่งร้อยก้อน แล้วก็หยุดเท่านั้น
ตราบเท่าที่ผลึกในมือของเขาสามารถยกระดับระบบของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้ ความต้องการของลู่หยางไม่ได้สูงเกินไปเลย สำหรับหนี้สินที่เขายังติดค้างตำหนักหมื่นสมบัติอยู่นั้น เขาคงต้องพึ่งพาทักษะจารึกในการทยอยๆใช้คืนให้
ด้วยผลึกในมือ ลู่หยางเรียกระบบออกมา และปรับปรุงสถานะของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร เตรียมที่จะยกระดับมันขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้น เขาจะสามารถหลอมรวมระฆังทองคำอมตะให้เป็นชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมได้
การเก็บเกี่ยวของเขาครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลย ถ้าเขาสามารถทำให้การป้องกันของชุดเกราะวิญญาณหยวนกลับแข็งแกร่งขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งได้ แต่ทว่าเขาเพิ่งทำมันเสียหายไป แค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเจ็บปวดใจแล้ว
“ติ้ง!” การยกระดับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรต้องใช้ผลึกชั้นกลางหนึ่งร้อยก้อน ท่านต้องการยกระดับทันทีหรือไม่?”
“ ยกระดับทันทีเลย!” ลู่หยางตอบกลับไป
ภายหลังจากการเกิดแสงสีขาว เสียงแจ้งการยกระดับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรก็ดังขึ้น
“ติ้ง!” ระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้รับการยกระดับขึ้นไปสู่ระดับเจ้าโลกแล้ว ส่งผลให้สามารถผสมผสานความสามารถเฉพาะตัวโดยกำเนิดระดับเจ้าโลกให้เป็นสิ่งประดิษฐ์วิญญาณชิ้นหนึ่งได้ ข้าต้องการอาวุธวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น”
ลู่หยางยิ้มขณะที่เขานำชุดเกราะวิญญาณที่เขาได้ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา เป็นที่แน่ชัดว่าความสามารถโดยกำเนิดที่ต้องการจะนำมาหลอมรวมเข้าด้วยกันคือระฆังทองคำอมตะ
“ติ้ง!”ค้นพบอาวุธวิญญาณระดับกลางซึ่งระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรสามารถจัดการได้ โปรดเลือกความสามารถโดยกำเนิดที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน”
“ระฆังทองคำมตะ!”
พื้นผิวของชุดเกราะวิญญาณหยวนซึ่งเดิมทีทำด้วยทองคำถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของทองคำ ทันทีหลังจากนั้น รูประฆังทองคำที่อยู่บนร่างของลู่หยางก็หายไป และบนพื้นผิวของชุดเกราะวิญญาณหยวนกลับปรากฏรูประฆังทองคำขึ้น มันช่างเหมือนกันกับระฆังทองคำอมตะของจริงเลยทีเดียว หรืออีกนัยหนึ่งคือราวกับว่าตราประทับรูประฆังทองคำได้ย้ายจากร่างของลู่หยางไปที่ชุดเกราะวิญญาณหยวน เพียงแค่ว่ามันใหญ่กว่าและพลังอำนาจของมันก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
ตอนนี้ ลู่หยางรู้สึกได้ถึงพลังงานธาตุโละหะที่แน่นหนาไหลเวียนอยู่ภายในชุดเกราะวิญญาณ เช่นเดียวกับแก่นแท้โลหิตของลู่หยาง ขณะที่นิ้วมือของเขาสัมผัสลูบไล้ไปบนชุดเกราะวิญญาณหยวนอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นเอง เขารู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อมัน
หลังจากที่ได้สวมใส่ชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมอีกครั้งหนึ่ง ลู่หยางรู้สึกราวกับมีชั้นของเกล็ดอยู่บนร่างกายของเขา ชุดเกราะวิญญาณดั้งเดิมได้หลอมรวมเข้ากับเขาโดยสมบูรณ์ และมันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
ลู่หยางพูดพร้อมกับถอนหายใจ “ในที่สุด ข้าก็มีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรของตัวเองแล้ว ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ต่อให้หยวนจินจะมีดาบสังหารมังกร ก็จะไม่สามารถตีฝ่าทะลุผ่านการป้องกันของข้าได้”
เมื่อคิดแล้ว ลู่หยางก็หยิบเอาดาบสังหารมังกรออกมาทันที และความคิดที่จะเปลี่ยนดาบสังหารมังกรไปเป็นอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรชิ้นหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจของเขา
“การโจมตีหลักของดาบสังหารมังกร…เอ่…แล้วความสามารถโดยกำเนิดอันไหนจะดีกว่านะ?” ลู่หยางคิด แล้วเขาก็พบคำตอบโดยเร็ว
ตอนนี้ เขามีความสามารถโดยกำเนิดหลายอย่างทีเดียว แต่ที่เหมาะสมที่สุดนอกเหนือจากแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตรก็คือ พายุหมุนเฮอริเคนของราชาวิหคขนสีฟ้า เป็นที่แน่ชัดว่า ความสามารถในการโจมตีที่วิเศษที่สุดคือแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตร แต่เพียงแค่ว่า ราชสีห์ขนทองหกเนตรมีธาตุแสง ขณะที่ดาบสังหารมังกรเป็นอาวุธวิญญาณธาตุลม คุณสมบัติทั้งสองนี้เข้ากันไม่ได้ ดังนั้น แม้จะหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว มันจะยังคงส่งผลกระทบต่อพลังอำนาจของอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร
“ดูเหมือนว่า ข้าจะทำได้เพียงแค่ถอยหลังก้าวหนึ่ง ว่าแต่การโจมตีของพายุหมุนเฮอริเคนก็กำแหงมากเช่นกัน อีกทั้งมันมีคุณสมบัติเดียวกันกับดาบสังหารมังกร อาภรณ์เทวะควบคุมอสูรที่หลอมรวมขึ้นมานี้จะต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังแน่นอน!”
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ลู่หยางเรียกระบบขึ้นมาทันทีอีกครั้งหนึ่ง
“ติ้ง!” ค้นพบอาวุธวิญญาณระดับกลาง ซึ่งระบบอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรสามารถปลดปล่อยได้ โปรดเลือกความสามารถโดยกำเนิดและหลอมรวมมันเข้าด้วยกัน!”
“พายุหมุนเฮอริเคน!”
รูปพายุหมุนสีเขียวปรากฏขึ้นที่ดาบสังหารมังกร และเครื่องหมายดังกล่าวบนร่างของลู่หยางก็ได้หายไป แต่ทว่า อาภรณ์เทวะควบคุมอสูรมีส่วนที่พิเศษขึ้น ดังนั้นมันก็คุ้มค่าแล้ว
ด้วยมีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีชุดเกราะวิญญาณอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรด้วยแล้ว ลู่หยางรู้สึกถึงจำนวนของพลังอำนาจที่ไม่คาดคิดมาก่อนอัดแน่นอยู่ในร่างกายของเขา ถ้าตอนนี้เขาต้องแลกหมัดกับหยวนจิน เขาจะเอาชนะหยวนจินได้แน่นอน
เพียงแต่ว่า หยวนจินได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไปแล้ว หลังจากที่เอาชนะหยวนจินได้แล้ว เป้าหมายของลู่หยางก็ยิ่งทะเยอทะยานมากขึ้น และนั่นก็คือนายน้อยผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลคุน คุนเผิง!
คนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับเหลืองที่แท้จริง และความแข็งแกร่งของเขาเหนือกว่าหยวนจินมาก ในทั่วทั้งเมืองตงไหล เขายังคงอยู่ในระดับหัวกะทิ แม้จะมีอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรอยู่ในมือแล้ว ลู่หยางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อส้ของเขา
“หลังจากคำนวณเวลาดูแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสามวันจนกว่าจะถึงเวลานัดหมาย ถึงตอนนั้น เราต้องเผชิญหน้ากับตระกูลคุนแล้ว”
ย้อนกลับไปตอนนั้น มันเป็นความยากลำบากมากที่เขาได้เวลาหนึ่งเดือน ซึ่งทำให้เขาต้องพัฒนาสำนักหนึ่งสวรรค์ขึ้นมา มาถึงตอนนี้ สำนักหนึ่งสวรรค์ได้ปกครองทั่วทั้งตอนเหนือของเมืองแล้ว การพัฒนาของมันดำเนินไปโดยเร็วทีเดียว แต่มันยังไม่เพียงพอที่จะเปรียบเทียบกับสิ่งที่ใหญ่โตมีอำนาจเช่นตระกูลคุน ลู่หยางอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล
“ถ้าเพียงแต่ข้าสามารถหลอมรวมแสงเทวะหกเนตรของราชสีห์ขนทองหกเนตร และประตูอเวจีของต้าเฮ่ยให้เป็นอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรได้แล้วละก็ พลังอำนาจของมันจะยิ่งร้ายแรงกว่าอาภรณ์เทวะควบคุมอสูรในปัจจุบัน บางที แค่อาศัยอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร ข้าก็จะสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเหลืองได้แล้ว”
ราชสีห์ขนทองหกเนตรรู้ถึงความคิดของลู่หยาง และในทันใดนั้น เขาได้สาดน้ำเย็นๆถังหนึ่งใส่ลู่หยาง “ความคิดนั้นช่างงดงามนัก แต่ความจริงนี่สิช่างโหดร้ายนัก แม้ว่าเจ้าจะหลอมรวมดวงตาทั้งหกของข้ากับอาภรณ์เทวะควบคุมอสูร เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับเหลืองอยู่ดี”
“แค่เขาเคลื่อนไหวครั้งเดียว เขาก็ทลายภูเขาลงได้แล้ว!” ราชสีห์ขนทองหกเนตรพูด
ถ้าแม้แต่ราชสีห์ขนทองหกเนตรยังพูดเช่นนั้น ลู่หยางยิ่งรู้สึกว่าหมดหวัง เขาถอนหายใจอย่างหมดหนทาง “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาชนะคุนเผิงได้ยังไงล่ะ?” ท่านอยากให้ข้าหาสำเนาวิชาฝึกอสูรระดับเหลืองมาสักเล่มมั้ย แล้วก็กลายเป็นผู้มีอิทธิพลระดับเหลืองไปเลยมั้ย? ปล่อยให้ข้าตายเสียยังจะดีกว่า!”
เช่นเดียวกับการหาวิชาฝึกอสูรระดับสูงในเมืองเซียงหยาง วิชาฝึกอสูรระดับเหลืองยิ่งมีค่ามากกว่า แม้แต่ในเมืองตงไหล ก็มีปริมาณไม่มากแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทีที่ผิดหวังของลู่หยางแล้ว ราชสีห์ขนทองหกเนตรกลอกดวงตาเล็กๆของมันแล้วพูดอย่างสบายๆว่า “อันที่จริง มันก็มีหนทางอยู่นะ แต่ก็แค่ลำบากนิดหน่อย มีเพียงหนทางเดียวที่จะเอาชนะยอดฝีมือระดับเหลืองซึ่งมีระดับการฝึกฝนที่สูงกว่าพวกเราๆในระดับผู้คุมอสูรชั้นสูง”
“วิธีอะไรเหรอ?” ลู่หยางตาเป็นประกายขึ้นมา ท่าทีของเขาออกจะประหม่าขณะที่ถามราชสีห์ขนทองหกเนตร