โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 198
RC:บทที่ 198 ความคิดห่ามๆ
ลู่ ซื่อจี้ตามหลิน เฟิงเข้าไปพลางรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ยินหลิน เฟิงพูดออกไปแบบนั้น เมื่อหลิน เฟิงเข้ามา เขาก็ถามถึงเจ้าของร้านอาหารเลย นี่เขาคุ้นเคยกับเจ้าของที่นี่งั้นหรือ
แล้วใครล่ะเป็นเจ้านาย ได้ยินมาว่าร้านอาหารนี้ของเขานั้นเปิดไปทั่วจังหวัด รวมถึงจังหวัดอื่นๆด้วย
เมื่อหลิน เฟิงเข้ามาแล้ว เขาก็เรียกหาเจ้านายเลย ทำเอาลู่ ซื่อจี้นั้นไม่กล้าจินตนาการถึงตัวตนของหลิน เฟิงเลย
“เจ้านายเราเพิ่งจะออกไปค่ะ เหมือนจะไปทำอะไรสักอย่าง ท่านบอกให้คุณรอสักครู่จนกว่าท่านจะมาค่ะ” บริกรสาวว่าขึ้น
ยามที่บริกรสาวเอ่ยอะไรออกมาก็เป็นไปด้วยความเคารพ ก้มตัวอยู่ตลอด น้ำเสียงถ่อมตนและเป็นมิตร
“ถ้างั้น ไปหาอะไรให้เรากินก่อนสิ ขอเป็นไก่ฟีนิกส์ทุกคนเลยแล้วกัน” หลิน เฟิงเดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะนั่งลงและพูดขึ้น
“ทุกคนเลยใช่ไหมคะ” บริกรสาวถามอย่างอึ้งๆ
“ใช่แล้ว ทุกคนเลย มีอะไรงั้นหรือ หรือจะถามอะไร” หลิน เฟิงมองไปที่เธอก่อนจะถามขึ้น
“อ๋อ เปล่าๆค่ะ ไม่มีอะไร รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวดิฉันต้องไปถามหัวหน้าก่อน” บริกรสาวกล่าวขึ้น
ถ้าพวกเขาสั่งอาหารธรรมดาๆ บริกรสาวก็จะเอามาให้อย่างไม่ลังเล แต่หลิน เฟิงกลับสั่งเป็นไก่ฟีนิกส์สี่ตัวนี่สิ ทำเอาเธอลำบากใจเลย
ในขณะเดียวกัน เมื่อลู่ ซื่อจี้ได้ฟังสิ่งที่หลิน เฟิงสั่งแล้วนั้นก็ยิ่งเกือบจะตัวชา นี่เขาเป็นใครกันแน่ ถึงสั่งไก่ฟีนิกส์มาได้ถึงสี่ตัว
ถ้าไม่บอกว่าหาให้เขาไม่ได้ตั้งแต่แรก เธอจะหามาให้เขาได้ไหมล่ะ และควรรู้ไว้ด้วยว่าราคาของไก่ฟีนิกส์น่ะมีราคาเป็นพันต่อหนึ่งมื้อเลยนะ
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ก็กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว่าจำนวนของไก่ฟีนิกส์นั้นมีจำนวนจำกัด จำกัดหนึ่งตัวต่อหนึ่งคน และถ้ามาหลายคนก็สามารถซื้อได้สูงสุดแค่สามตัวเท่านั้น
แต่หลิน เฟิงกลับขอถึงสี่ตัว และสิ่งที่อึ้งมากไปกว่านั้นก็คือบริกรสาวคนดังกล่าวดูไม่มีท่าทีจะโกรธเลยสักนิด แต่กลับเดินออกไปอย่างเงียบๆ
ไม่กี่นาทีต่อมา ชายวัยกลางคนก็เดินออกมา หลิน เฟิงรู้จักเขาคนนี้เพราะเป็นผู้อำนวยการร้านอาหารมิตรภาพแห่งนี้
“คุณหลิน นี่ผมไม่ได้มาที่นี่นานเลย ได้ยินว่าคุณต้องการไก่ฟีนิกส์สี่ตัวงั้นหรือครับ” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามยิ้มๆ
“ฮ่าๆ นี่ผู้อำนวยการลั่วสินะครับ ผมเองก็ไม่ได้ลิ้มรสไก่ฟีนิกส์มานานแล้ว พอมาก็จัดมื้อใหญ่เลยเพราะวันนี้ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการพอดี แล้วก็ ผมขอให้พ่อครัวหวังช่วยทำเพิ่มอีกสักแปดและสิบตัวด้วยนะครับ ผมจะเอาไปฝากพ่อกับแม่” หลิน เฟิงว่าขึ้น
“เอ่อๆๆ เดี๋ยวผมขอตัวแล้วเดี๋ยวมาบอกนะครับ” แล้วชายวัยกลางคนก็เดินออกไป
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ลู่ ซื่อจี้ก็ไม่รู้จะบรรยายออกมาได้อย่างไร
ไก่ฟีนิกส์พวกนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความมีอันจะกินและมีฐานะนี่
หรือข่าวลือเล็กๆน้อยๆที่ร่ำลือกันหนาหูเรื่องนี้จะเป็นเรื่องโกหก
ไม่งั้นหลิน เฟิงจะมาพูดแบบนี้กับที่นี่ได้อย่างไร ราวกับว่ามาซื้อผักในตลาดกับเจ้านายอะไรแบบนั้นเลย
แต่ต่อมา ลู่ ซื่อจี้ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว เพราะจานไก่ได้มาอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมของไก่ลอยฟุ้งขึ้นมา ส่วนบริกรที่ยืนอยู่รอบๆได้แต่กลืนน้ำลาย เอียงหน้ามองมาตรงนี้ ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากมองด้วย
เพราะตราบใดที่เห็นและได้กลิ่นหอมๆนี้ น้ำลายก็ไหลอย่างห้ามไม่ได้
ไก่จานนี้เหมือนกับนกฟีนิกส์ที่นอนหลับอยู่ แทบจะมีวัตถุดิบทุกอย่างในนั้นเลย เป็นไก่อบที่เพิ่งออกจากเตาร้อนๆ
ลู่ ซื่อจี้มองไก่ในจาน น้ำลายไหลอย่างห้ามไม่อยู่
“ลู่ ซื่อจี้” ตอนนั้นเอง หลิน เฟิงก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเธอ
“หืม มีอะไรงั้นหรือ” ลู่ ซื่อจี้มองอย่างงงๆ
“”นี่ไง” หลิน เฟิงชี้ไปที่โต๊ะ เป็นหยดน้ำลายไม่กี่หยดบนนั้น
“ว๊าย” ลู่ ซื่อจี้ร้องออกมาเบาๆ หน้าเปลี่ยนเป็นแดง นี่เธอปล่อยให้น้ำลายไหลต่อหน้าผู้ชายเยอะแยะเลยเนี่ยนะ
เธอจึงหยิบเศษทิชชู่จากหลิน เฟิงมาก่อนจะเช็ดมันออก
“เอาล่ะ คุณหลิน ทุกอย่างพร้อมแล้ว ค่อยๆกินนะครับ” หลังจากที่บริกรจัดวางทุกอย่างเสร็จแล้วนั้น เขาก็เดินออกไปพร้อมกับกลืนน้ำลายที่มีอยู่เต็มปากลงไปก่อนจะเดินกันออกไป
ในตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเครื่องดื่มหรืออาหาร
“เอาล่ะ มากินกันเถอะ” หลิน เฟิงพูดขึ้นก่อนจะเริ่มลงมือกิน
ทั้งหวัง หานและจื้อเฉิงต่างก็ไม่ได้รักษามารยาทบนโต๊ะอาหารกันเลย พวกเขาต่างฉีกขาไก่กิน
มีเพียงแค่ลู่ ซื่อจี้เท่านั้นที่รู้สึกอายๆอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นทั้งสามกินแล้วนั้น เธอก็ได้แต่น้ำลายไหล และในที่สุดเธอก็ไม่สงวนท่าทีอีกแล้วก่อนจะเริ่มลงมือกินในทันที
ในตอนแรกๆ ก็กินแบบผู้หญิงเรียบร้อยอยู่หรอก แต่ต่อมาก็ใจกล้ามากขึ้น เธอใช้มือฉีกไก่ สุดท้าย เธอก็ถือไว้ทั้งชิ้นพลางเคี้ยว ถ้ามองว่าจริงจังก็จริงจัง
หลิน เฟิงและคนบนโต๊ะก็ได้แต่ตะลึงงัน
ไม่นาน หลังจากที่ทุกคนทานเสร็จ เขาก็ได้แต่นั่งอยู่บนโต๊ะอยู่คนเดียวเพราะหนักพุง
แม้แต่สาวรูปร่างบอบบางอย่างลู่ ซื่อจี้เองก็นั่งท้องป่องและอายที่จะลุกขึ้นยืน
หลังจากนั้น พวกเขาจึงเข้าไปพักในห้องส่วนตัวที่ถูกจัดไว้ให้เพื่อรอหวัง ฮ่าวหมิงและเติ้ง เทียนฝู
หลังจากที่รออยู่เป็นเวลานาน หวัง ฮ่าวหมิงและเติ้ง เทียนฝูก็มาถึง
เมื่อเห็นหลิน เฟิงและคนอื่นๆ พวกเขาต่างก็อึ้งไป ก่อนจะมองหน้ากัน สายตาทุกคนต่างอยู่ในอาการช็อค
จากนั้นพวกเขาก็มองไปที่หวัง หานและจื้อเฉิงมากกว่าสองครั้ง จากนั้นจึงค่อยเป็นปกติ
“เสี่ยวเฟิง อาหารที่นี่อร่อยดีสินะ พี่หวัง” เติ้ง เทียนฝูว่าขึ้นพลางยิ้มๆ เขาได้ยินมาว่าตอนที่หลิน เฟิงมาถึงก็สั่งไก่ฟีนิกส์ไปตั้งสี่จานแถมยังสั่งกลับบ้านอีกแปดหรือเก้าตัวด้วย
“อร่อยมากๆ อิ่มเอมสุดๆไปเลยครับ ฮ่าๆ” หลิน เฟิงหัวเราะ
“น้องหลิน นี่เราปล่อยให้น้องรอ เรามาสายสินะเนี่ย” หัวหน้าหวังพูดขึ้น
“ไหนๆก็ไหนๆ นี่ก็เป็นเวลาอันสมควรแล้ว คงได้เวลาที่จะพูดเรื่องต่างๆหลังจากที่พวกคุณกินดื่มกันมาพอแล้วล่ะนะ” หลิน เฟิงว่าขึ้น
“อืม ไปคุยเรื่องนี้กันในห้องส่วนตัวเถอะ”
จากนั้นหวัง ฮ่าวหมิงก็พาหลิน เฟิงและเติ้ง เทียนฝูเข้าไปในห้องใหญ่ห้องหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นออฟฟิศมากกว่า ห้องนั้นทั้งกว้างและใหญ่ โต๊ะขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลางพร้อมกับเก้าอี้
ในตอนนี้ มีคนสองคนนั่งรออยู่ตรงนั้นแล้ว เมื่อหลิน เฟิงได้เห็น เขาก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นทนายความ พอเขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคงเป็นคำเชิญจากคุณหวังและคุณเติ้ง
“อ้าว ซื่อจี้ เธอก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกันหรือ” ตอนนั้นเอง ทนายทั้งสองก็เอ่ยทักลู่ ซื่อจี้ขึ้นมา
“หนูก็คาดไม่ถึงว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนจะมาอยู่ที่นี่เหมือนกันค่ะ” ลู่ ซื่อจี้เองก็ประหลาดใจ
“ฮ่าๆ ทั้งสามคนรู้จักกันนี่ อย่างนี้ค่อยคุยอะไรๆกันได้ง่ายหน่อย เอาล่ะ พวกเราต่างก็รู้จักกันแล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดล่ะมั้ง” คุณหวังว่าพลางยิ้มๆ
หลิน เฟิงขอเพราะทั้งสามเป็นทนายที่มาจากบริษัทกฎหมาย
“ผมรู้จักพวกเขาทั้งหมด แล้วก็ไม่มีนอกมีในอะไรด้วย มาเริ่มกันเถอะ ครั้งนี้ ขอผมพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดเป็นคนแรกด้วยนะครับ พี่เติ้ง และผมก็หวังว่าข้าวของต่างๆของหลิน เฟิงจะขายให้กับเราเท่านั้น เพราะถ้ามีอีกตระกูลโผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง…” หัวหน้าหวังกล่าวความต้องการของตนทั้งหมดออกไป
“พี่หวังพูดถูก แต่เขาดูแลเรื่องไก่ฟีนิกส์นี่ ส่วนผมก็ดูแลเรื่ององุ่น จริงๆแล้ว ผมเองก็หวังว่าจะขายผลไม้อื่นๆให้กับผมด้วยนะ ตั้งแต่ที่เสี่ยวเฟิงปลูกองุ่นแล้วไปได้ดี ทำไมเราไม่ลองกับผลไม้อื่นๆบ้างล่ะ” เติ้ง เทียนฝูถามขึ้น
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เสี่ยว เฟิงเลี้ยงไก่ก็ออกมาอร่อยมาก ทำไมไม่ลองเลี้ยงเป็ด ปลาหรืออย่างอื่นดูบ้างล่ะ นอกจากนี้ ฉันก็หวังว่าเสี่ยวเฟิงจะมอบสิทธิ์ให้เราดูแลเรื่องนั้น เราจะได้กำไรถึง 50% เลยเชียวนะ” หวังเสริมขึ้น
หลังจากพูดจบ ทั้งสองคนก็มองไปที่หลิน เฟิง
“จริงๆแล้ว ผมมีความคิดห่ามๆอย่างหนึ่ง