โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 176
RC:บทที่ 176 แสง
“เจ้าหนุ่ม แกยั่วโมโหข้าได้สำเร็จแล้ว ข้าคิดว่าแกน่าจะมีทักษะและความแข็งแกร่งอยู่บ้างเลยอยากรับแกเป็นลูกศิษย์ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าแกไม่คู่ควรกับความเมตตานี้แล้ว! อาวุธวิญญาณ ใบมีดเงาเลือด… ” เมื่อกล่าวจบ ตรงใจกลางหว่างคิ้วของซูจ้านก็ปรากฏขอบมีดสีแดงเลือดอันเล็ก ๆ ออกมาอย่างทันที
มันดูเหมือนกริช ทั่วทั้งหมดมีสีแดงเลือดราวกับหล่อขึ้นมาจากเลือดจริง ๆ และเปล่งประกายแสงสีแดง หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงพลังอันสูงส่งในนั้น
“นั่นอะไร?” เมื่อมองเห็นภาพนั้น หลินเฟิงก็รู้สึกประหลาดใจ
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ซูจ้านบาดเจ็บ แต่ยังมีกริชแดงเลือดปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันอีก ขณะที่ซูจ้านถือกริชไว้ทั้งร่างของเขาก็เต็มไปด้วยกำลังวังชาอย่างกับเป็นคนใหม่
ซูจ้านอยู่ที่ระดับ A ดั้งเดิม การมีอยู่ของหลินเฟิงไม่สามารถต่อต้านเขาได้ มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะจัดการหลินเฟิง แต่เขาไม่คาดคิดว่าหลินเฟิงจะกล้าล้อเล่นกับเขา ตอนนี้มันทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก “กรร แสงกำลังส่องมา! แสงมาแล้ว และความมืดกำลังหายไป! “
ขณะที่มังกรแห่งแสงคำราม ลูกบอลสีขาวในปากของมันก็โตมากขึ้น ท้ายสุดมันก็ดูคล้ายกับพระอาทิตย์ที่เปล่งแสงอันอบอุ่น
ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกแตกต่างกันไป
ผู้คนในสถานีตำรวจรู้สึกเหมือนกำลังอาบแดดอยู่ พวกเขาต่างก็เกียจคร้าน ความแข็งแกร่ง, พลัง และสิ่งอื่น ๆ ดูเหมือนจะถูกฟื้นฟูขึ้นมาอย่างฉับพลัน
อีกด้านอีกฝ่าย ทุกคนรู้สึกเหมือนอยู่ในเตาหลอม ทั่วทั้งร่างจะไหม้เกรียมด้วยความร้อนที่ส่งมาจากแสงจ้า แม้จะไม่รู้สึกได้ชัดเจนในตอนแรกแต่ก็รับรู้ได้เมื่อผ่านมาสักพัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบางคนที่มีพลังมืดจะรู้สึกราวกับอยู่ในทะเลแมกม่าและไฟ รู้สึกเหมือนกำลังถูกเผาไหม้
“เอ๋? พลังนี้คืออะไรกัน? ” ซูจ้านที่วางแผนว่าจะโจมตีใส่หลินเฟิงก็ยังรับรู้ได้ถึงปรากฏการณ์นี้
พลังของซูจ้านคือความมืด เขาเลยรู้สึกกลัวและอ่อนไหวต่อพลังแสง, แสงอาทิตย์และแสงอื่น ๆ เป็นอย่างมาก เวลานี้ถึงมังกรแสงที่ยังไม่ได้จริงจังจะไม่ได้ส่งอิทธิพลต่อพลังระดับ A ของเขามากนัก แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกหดหู่มาก
และในตอนนี้ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธและมีเพียงแค่หลินเฟิงอยู่ในสายตาของเขา แม้ลูกบอลแสงสีขาวในปากมังกรแสงจะทำให้เขาไม่สบายตัวนักแต่เขากลับไม่สามารถหยุดความโกรธแค้นที่มีต่อหลินเฟิงได้
“ตายซะ ไอ้หนุ่ม! ตัดเงา! ” ซูจ้านไม่ได้สนใจลูกบอลแสงขาวของมังกรแสงเลย เขาเพียงแค่ขู่คำรามและสะบัดใบมีดของเขาไปที่หลินเฟิงเท่านั้น เขาใช้การเคลื่อนย้ายเงาเพื่อหายไปในความมืดอีกครั้ง
แต่น่าประหลาดใจที่ซูจ้านที่สามารถล่องหนได้ในคราวก่อนกลับค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นในแสงของมังกรแห่งแสง
“กรร!”
มังกรแห่งแสงคำรามอีกครั้งและพ่นลูกบอลแสงขนาดมหึมาในปากของมันออกไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็ลอยตัวอยู่กลางท้องฟ้าเปล่งแสงสว่างส่องไปบนโลก
ลูกบอลแสงนี้ขนาดเท่ากับพระจันทร์ มันอยู่ตรงข้ามกับดวงจันทร์และเปล่งแสงออกมาไม่หยุด
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน เมืองบนฝั่งซ้ายของเมืองจิ้งเฟิ่งสว่างราวกับตอนกลางวัน ขณะที่อีกฝั่งมืดราวกับน้ำหมึกไม่มีแม้แต่แสงใด ๆ เลย จึงทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างสองฝั่งนี้อย่างเห็นได้ชัด
ซูจ้านถูกอาบไปด้วยลูกบอลแสงขาวของมังกรแสงและร่างที่ล่องหนของเขาก็ปรากฏขึ้นมา
“เอ๋? เกิดอะไรขึ้น? ” ซูจ้านมองไปรอบ ๆ ตัวเอง และไม่รู้ตัวเลยว่าความสามารถของสัตว์คู่หูของเขาถูกทำลายไปหมดแล้ว
ตั้งแต่สัตว์คู่หูของเขาวิวัฒนาการมาเป็นค้างคาวเงาเลือดและได้เรียนรู้ความสามารถนี้ เขาก็อยู่ยงคงกระพันท่ามกลางเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน
เขาไม่คาดคิดเลยว่าความสามารถของเขาจะถูกหลินเฟิงทำลายลง
“พลังเคลื่อนย้ายความมืดถูกทำลายแล้ว? ข้าคงปล่อยให้ชายคนนี้อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว หากถูกเปิดเผย ทุกคนก็จะระวังตัว มันแย่สำหรับข้ามากนัก! ” ซูจ้านคิดในใจ
กล่าวได้ว่าซูจ้านเชื่อมั่นในฝีมือการต่อสู้ของเขากับคนระดับเดียวกันเป็นอย่างมาก และถึงแม้จะคงกระพันแต่เขาก็ยังเชื่อฝีมือการเคลื่อนที่หนีของเขาอีกด้วย
จากผลลัพธ์นั้น หลินเฟิงในตอนนี้จะต้องถูกซูจ้านฆ่าตายไปแล้ว
“พ่อหนุ่ม ข้าไม่เคยคิดเลยว่าแกจะหยุดการเคลื่อนที่ของข้าได้ แม้ว่าแกจะทำมันได้ แต่ตอนนี้แกก็ไม่เหลืออะไรที่จะมารับมือข้าแล้ว จงยอมรับการลงโทษตายนี้ซะ!” เมื่อเอ่ยจบ เขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาหลินเฟิงด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
“ไม่ ฉันจะต้องมาตายในตอนนี้จริง ๆ เหรอ?” หลินเฟิงที่นอนอยู่บนตัวของมังกรดำพึมพำออกมา
เวลานั้น หลินเฟิงอยู่สภาพไร้พลัง พลังวิญญาณทั้งหมดของเขาสูญสลายไปหมด เขาไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนขึ้นด้วยซ้ำ
มังกรดำก็ไม่ยกเว้น แม้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ที่รุนแรงเกินไปของทั้งสอง แต่แรงกระทบอย่างมากที่มาจากการต่อสู้ของหลินเฟิงกับซูจ้านที่เกิดขึ้นกับมันทุกครั้งเมื่อถูกโจมตีและบินอยู่ในอากาศ
ดังนั้น สภาพในตอนนี้ของมังกรดำจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
ซูจ้านไม่เหลือเวลาใด ๆ ให้หลินเฟิงและมังกรดำได้ตอบกลับหรือหลบหนีเลย เขาพุ่งเข้าใส่ที่ลำตัวของมังกรดำแทน กริชเลือดแดงในมือของเขาถูกเขวี้ยงออกมาพร้อมกับเปล่งแสงสีแดงเข้ม ตัดผ่านไปยังหลินเฟิง
ที่ประตูคุกของสถานีตำรวจ
เวลานั้น มีร่าง ๆ หนึ่งบินไปมาอย่างต่อเนื่อง ชนเข้ากับพื้นและผนังรอบ ๆ
บนพื้น บนผนังและที่อื่น ๆ ต่างก็ทิ้งรอยหลุมขนาดใหญ่ไว้
แต่ทุกครั้งที่ร่างนั้นหล่นลง เขาก็บินขึ้นอีกครั้งและขวางที่ประตูคุกอีกครั้ง จึงกล่าวได้ว่าจะไม่มีใครผ่านด้านหน้าของเขาไปได้
ชายคนนี้ก็คือมู่เทียนเฉิง ผู้นำของเมืองจิงเฟิ่ง
“หลีกทางซะ!” คนที่สวมหน้ากากจิ้งจอกยิงใส่มู่เทียนเฉิงที่อยู่ตรงประตูคุกของสถานีตำรวจและตะโกนขึ้น
“หน้าที่คือต้องไม่ปล่อยให้คนร้ายออกไปได้!” มู่เทียนเฉิงพยายามลุกขึ้นยืน กางแขนออกและพูดออกมาเสียงดัง
“ท่าน อธิบดี! ยอมแพ้เถอะครับ! เรา เราไม่สามารถต้านองค์กรราตรีได้หรอก! ” พลังระดับ A ที่กำลังนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นคนหนึ่งเอ่ย
“ใช่แล้ว หัวหน้า! แม้แต่แม่มดจิ้งจอกราตรีที่เป็นหัวหน้าของกองกำลังที่ห้าก็ยังมา เธอเป็นถึงระดับ S ซึ่งเราไม่สามารถต่อต้านได้เลย หากต้านต่อไปก็มีแต่บาดเจ็บล้มตายมากขึ้น! ” พลังระดับ A อีกคนที่นอนอยู่บนพื้นเช่นกันกล่าวขึ้น
แม่มดจิ้งจอกราตรีคือฉายาของผู้หญิงที่สวมหน้ากากจิ้งจอก
“ใช่ ใช่…”
ฝ่ายสถานีตำรวจมีพลังระดับ A ประมาณสี่ถึงห้าคน เวลานี้แต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนลงบนพื้น พวกเขาทุกคนมองไปยังมู่เทียนเฉิงด้วยความสิ้นหวัง
“พวกนายนอนพักได้ พวกนายยอมแพ้ได้ แต่ฉัน มู่เทียนเฉิงไม่สามารถทำได้! แม้ต้องตายก็จะยืนตาย! ” มู่เทียนเฉิงเอ่ยออกมาอย่างเสียงดัง
“ฮึ่ม ดี! มู่เทียนเฉิง คุณน่าเอาอย่างจริง ๆ ไม่เลว! มันคงจะดีมากหากในบรรดาผู้ชายของฉันมีคุณอยู่ในนั้น! ” แม่มดจิ้งจอกราตรีก้าวไปหามู่เทียนเฉิงทีละก้าว
“แต่ทว่าคุณก็ไม่ใช่ลูกน้องของฉัน ฉันจะถามคุณอีกครั้ง ถ้าคุณไม่ยอมหลีก อย่ามาหาว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน!” แม่มดจิ้งจอกราตรีกล่าว
“จะปล่อยมันออกมาไม่ได้! หากฉันต้องสิ้นชีพในสนามรบ มู่เทียนเฉิงก็จะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอต่อกองกำลังความมืดของแก! ” มู่เทียนเฉิงยกหัวขึ้นมาแล้วจ้องมองไปยังท้องฟ้า
ขณะนั้นเขาจึงได้เห็นลูกบอลแสงสีขาวราวกับพระอาทิตย์กำลังลอยขึ้นอย่างช้า ๆ ในท้องฟ้า มันเปล่งแสงสว่างส่องลงมาบนโลก
“ฮึ่ม หากแกอยากจะตาย ก็จงตายซะ…”