โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 114
RC:บทที่ 114 ไม่มีของขวัญ
“พี่ตงฟาง หลินเฟิงเป็นเพื่อนที่ฉันเชิญมาเอง ได้โปรดอย่าชี้นิ้วใส่คนอื่นอีกนะ!” ซูหว่านเอ๋อถึงกับพูดออกมา
“อ้อ?” ตงฟางไม่เคยคิดว่าการที่เขาชี้นิ้วใส่หลินเฟิงจะมีปฏิกิริยาใหญ่โตเช่นนี้
และคนพวกนั้นก็เป็นพวกสาวๆ สาวน้อยหยางเจียนซื่อ ถึงแม้จะยังเป็นเด็กสาวแต่ก็แยกแยะความรู้สึกรักและเกลียดได้
แต่ซูหว่านเอ๋อและมู่หรงหลานถึงกับออกรับแทนหลินเฟิง นั่นทำให้ตงฟางสับสนเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็สนใจในตัวของซูหว่านเอ๋อ ซึ่งหลายคนก็รู้ดังนั้นเขาจึงทนไม่ได้ทีซูหว่านเอ๋อออกรับแทนผู้ชายคนอื่น
“ฮ่าฮ่า ฉันก็แค่ล้อเล่นน่า ทำไมพวกเธอต้องจริงจังขนาดนี้ด้วย? ดูสิ จ้าวหลง กับเจียงเสี่ยวไป่ พวกเขายังไม่เห็นเป็นอะไรเลย?” ตงฟางเสี่ยงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ว่าตงฟางเสี่ยงจะมีรอยยิ้มที่ปาก แต่หลินเฟิงสังเกตได้ถึงแสงเย็นวาบในดวงตาของตงฟางเสี่ยง
“เสี่ยวเฟิง ระวังนะ ชายคนนี้ได้ยินมาว่าพยายามเกี้ยวซูหว่านเอ๋อมาตั้งนานแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จ เขาไม่เป็นมิตรกับทุกคนที่เข้ามาใกล้ซูหว่านเอ๋อ” เถ้าแก่หวังกระซิบที่หูของหลินเฟิง
“และเขาก็เป็นคนใจแคบและเย่อหยิ่ง หลายคนต่างไม่ชอบเขา! นายเองก็คงจะเห็นทัศนคติของคนที่นี่ทั้งหมดแล้ว! มันเป็นเพราะอัตลักษณ์ของสิบตระกูลที่ผู้คนยึดถือเขาเอาไว้” หวังกล่าว
เมื่อได้ฟังเถ้าแก่หวัง หลินเฟิงพยักหน้าอย่างแผ่วเบา
ความอาฆาตของตงฟางเสี่ยงได้ถูกปกปิดไว้ เขากลายเป็นพี่ชายที่อบอุ่น ทักทายทุกคน ทีละคนๆ
“สวัสดี ฉันชื่อ ตงฟางเสี่ยง!” ตงฟางเสี่ยงเข้ามาจับมือทักทายกับหลินเฟิง
“สวัสดี!” หลินเฟิงยื่นมือออกไป และพวกเขาก็จับมือกัน
แต่ขณะที่จับมือกันนั้น หลินเฟิงรู้สึกได้ทันทีถึงแรงบีบมหาศาลที่มือของเขา
หลินเฟิงจึงปล่อยพลังจิตวิญญาณออกมาเพื่อต้านทานไว้
ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนไม่ได้ต่างกันมากนัก
ทายาทตระกูลตงฟางคนนี้ทำให้หลินเฟิงรู้สึกแข็งแรง ลมหายใจของเขาขึ้นไปสูงสุดถึงพลังระดับB
นี่เป็นประเภทของคนที่แข็งแรงที่ก้าวไปสู่อันดับของพลังได้ในทุกเวลา แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่สามารถที่จะล้มหลินเฟิงได้ในครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้นั้น เขาเห็นปากของหลินเฟิงอ้าออก!
“โอ้ย มันเจ็บนะ!” หลินเฟิงร้องออกมา
“ตงฟางเสี่ยง!”
มู่หรงหลานเห็นเหตุการณ์และคำรามออกมา เธอยกเท้าขึ้นทันทีและแกว่งไปทางด้านขวา จากนั้นก็เตะไปที่ตงฟางเสี่ยง เธอช่างมีพลังเหลือเกิน
เห็นได้ชัดว่ามู่หรงหลานนั้นมีพลังเช่นกัน ซึ่งสามารถรู้ได้โดยไม่ต้องคาดเดา เพราะเธอเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักจากสิบตระกูลลี้ลับ มู่หรงหลานต้องเป็นคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด
ตงฟางเสี่ยงเห็นดังนั้น เขาก็แสยะที่มุมปาก และคลายมือของเขาออกเพื่อหลบ แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
เพราะว่าเขาไม่สามารถปล่อยมือนั้น ในตอนนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมมือของหลินเฟิงถึงดูเหมือนจะมีแรงดูดที่มีพลังมหาศาลซึ่งทำให้เขาไม่สามารถที่จะดึงมือออกได้
ในที่สุด ตงฟางเสี่ยงก็ถูกเตะเข้าไปที่หน้าอกโดยมู่หรงหลาน และจากนั้นเขาก็ปลิวไปกองบนพื้นหลังจากที่หมุนคว้างอยู่หลายตลบ
“ตงฟางเสี่ยง ฉันไม่ต้อนรับนะถ้าเธอจะมาล้อเล่นอยู่แบบนี้!” ในตอนนี้ ซูหว่านเอ๋อก็โกรธและดวงตาเธอก็ฉายแววโกรธออกมา
เธอไม่คิดว่าปาร์ตี้งานวันเกิดของเธอจะถูกตงฟางเสี่ยงมาก่อกวนเช่นนี้
ในเวลานี้ ทุกคนก็พบว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามีร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นทางด้านหลังของซูหว่านเอ๋อ ซึ่งเป็นชายแก่ที่ไม่สามารถจะมองเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าเขามาตั้งแต่เมื่อไร
แม้แต่หลินเฟิงเองก็ไม่รู้ เขาไม่ได้สังเกต
เมื่อตงฟางเสี่ยงเห็นชายแก่คนนั้น เขาก็ตกใจ เขารีบเปลี่ยนทัศนคติของเขา
“หว่านเอ๋อ ฉันขอโทษ ฉันมันแย่เอง!” ตงฟางเสี่ยงเหลือบตามองหลินเฟิง จากนั้นก็หยุดพูดและเดินไปหาที่นั่ง
หลังจากที่สถานการณ์ผ่อนคลายลง
“เอาล่ะ ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมปาร์ตี้งานวันเกิดของฉันนะ!” ซูหว่านเอ๋อยืนขึ้นและกล่าวออกมา
“วันเกิด?” หลินเฟิงประหลาดใจ ซูหว่านเอ๋อบอกเขาว่าเชิญให้มาร่วมรับประทานอาหารค่ำนี่นา?
“ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนพากันพูดแสดงความยินดี ทำไมฉันโง่จังนะ?” เพียงเท่านั้นหลินเฟิงจึงได้เข้าใจ
“เอาล่ะ เถ้าแก่หวัง ให้คนนำออกมาได้แล้ว!” ซูหว่านเอ๋อกล่าวกับเถ้าแก่หวัง
“โอเค!” เถ้าแก่หวังลุกขึ้นยืน เขาตบมือและจากนั้นผู้คนมากมายก็ออกมา
ทุกคนล้วนแต่ถืออาหารหลากหลายจากออกมาด้วย สิ่งที่ทำให้ผู้คนเกิดตะกละอยากกินก็คือสามจานสุดท้ายที่เป็นไก่ฟินิกซ์
เมื่อได้เห็นไก่ฟินิกซ์ ทุกคนก็พากันน้ำลายไหล แม้แต่ตงฟางเสี่ยงเองก็ยังไม่ออกจากแถว เขากลืนน้ำลาย
มู่หรงหลานเองก็เช่นกัน เธอช่างโชคดีที่ได้กินไก่ฟินิกซ์สักครั้งหนึ่งในชีวิต มันช่างอร่อยเหลือเกิน
ครั้งนี้มีสามตัว ซูหว่านเอ๋อยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ทุกคนก็รู้สึกอายที่จะเริ่มทาน
ในที่สุดบริกรก็นำเค้กก้อนโตที่มีกระต่ายตัวน้อยอยู่ด้านบนออกมา
เค้กก้อนนี้ใหญ่มาก โดยมีขนาดประมาณหนึ่งเมตรและห่ออย่างบรรจง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ถูกจัดเตรียมโดยเถ้าแก่หวัง
หลังจากที่รอให้บริกรลงไปด้านล่าง พวกเขาก็ช่วยซูหว่านเอ๋อเปิดกล่องเค้กและปักเทียนวันเกิดลงไป
มีเทียนทั้งหมดยี่สิบเอ็ดเล่มซึ่งหมายถึงว่าซูหว่านเอ๋นั้นมีอายุครบยี่สิบเอ็ดปี
“หว่านเอ๋อ มาสิ มานี่! มาเป่าเทียบและอธิษฐาน!”
หลังจากที่จุดเทียนวันเกิด ซูหว่านเอ๋อก็เป่าเทียนในครั้งเดียวและอธิษฐาน
“พี่หว่านเอ๋อ พี่อธิษฐานอะไรคะ?” หยางเจียนซื่อถาม
“เป็นความลับจ้ะ ฉันไม่บอกเธอหรอก!” ซูหว่านเอ๋อกล่าวอย่างซุกซน
“หว่านเอ๋อ มานี่สิ! นี่เป็นของขวัญของเธอ!” มู่หรงหลานนำสร้อยข้อมือออกมาและยื่นให้กับซูหว่านเอ๋อ
สร้อยข้อมือนี้ล้อมรอบด้วยสีเขียวเข้มและสีน้ำเงินอ่อน ภายใต้แสงสว่างของแสงมันส่องแสงแปลกๆ และมหัศจรรย์มาก
“ว้าว ช่างเป็นสร้อยข้อมือที่สวยอะไรเช่นนี้! ขอบคุณค่ะพี่มู่หรง!” ซูหว่านเอ๋อรับสร้อยข้อมือไปด้วยความดีใจ
“คุณหว่านเอ๋อ นี่เป็นของขวัญสำหรับคุณครับ!” จากนั้นหยางฉิงชานก็นำเอาจี้หยก ซึ่งมีลวดลายที่แปลกประหลาด ดูแปลกตายิ่งนัก
“ฉันได้จี้หยกนี้มาจากต่างประเทศในช่วงต้นปี มันมีประกายความเข้มข้นที่ดีนัก ฉันหวังว่าเธอคงจะชอบมันนะ!” หยางฉิงชานยื่นให้
“ขอบคุณค่ะ ฉันชอบมากเลย!” หว่านเอ๋อรับของขวัญจากหยางฉิงชาน
“คุณหว่านเอ๋อ นี่เป็นของขวัญสำหรับคุณ!”
“คุณหว่านเอ๋อ นี่ของผม…”
…
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณ ขอบคุณ!” ทุกคนได้นำของขวัญของตัวเองมามอบให้เธอ ในเวลานี้ เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว หลินเฟิงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเขาไม่ได้นำของขวัญมาด้วย
ซูหว่านเอ๋อเพียงแค่เชิญให้เขามาทานข้าวด้วย หลินเฟิงคิดว่ามันคงเป็นแค่การทานข้าวธรรมดา ใครจะไปรู้ว่านี่เป็นงานวันเกิดของซูหว่านเอ๋อ
ในตอนนี้ หลายคนได้ให้ของขวัญของพวกเขา หลินเฟิงรู้สึกแพ้และไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“อ้าว หลินเฟิง ทำไมนายถึงไม่ขึ้นไปและเอาของขวัญให้เธอล่ะ? นายคงจะไม่มีของขวัญสินะ! ฮ่าฮ่า!” ขณะที่หลินเฟิงกำลังคิดหาหนทางอยู่ จ้าวหลงก็พูดขึ้นมา
เมื่อสิ้นเสียงของจ้าวหลง ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันเงียบ เงียบมากจนหากแม้ว่ามีเข็มสักเล่มหล่นลงบนพื้นก็ยังได้ยินเสียง
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอก ฉันลืมบอกหลินเฟิงไปว่านี่เป็นงานวันเกิดของฉันน่ะ…”