โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 608 คำเชิญของผู้อยู่ในระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์
RC:บทที่ 608 คำเชิญของผู้อยู่ในระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์
มังกรน้ำแข็ง อสรพิษแห่งแม่น้ำ วิหคแห่งเพลิง!
นี่คือชื่อที่หลินเฟิงมอบให้กับชิปทั้งสามชิ้น เขาจับมันไว้ในมือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานมหาศาล
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หลินเฟิงปราบชิปที่มีพรสวรรค์ทั้งสามชิ้นแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของชิปทั้งสามมอบให้กับเขาด้วย ซึ่งเป็นความสุข ความตื่นเต้น และความหวาดกลัว
“ดีเยี่ยม! ขอบคุณมาก” หลินเฟิงพูดเบา ๆ
เพราะตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลินเฟิงนั้นน่ากลัวมาก แม้ว่าอาณาจักรจะก้าวไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็มีไม่กี่คนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา นี่คือความรู้สึกของหลินเฟิงเองในตอนนี้
ดังนั้นเขาจะไม่สามารถใช้ชิปของขวัญทั้งสามชิ้นได้ในขณะนี้
หลังจากนั้นเจ้าลิงก็พาหลินเฟิงเดินออกไปอีกรอบ การศึกษาวิจัยทั้งสามเดือนนั้นประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ
ต้องบอกว่าเจ้าลิงเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ภาพวาดและสิ่งอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่หลินเฟิงมอบให้เจ้าลิง หลินเฟิงก็ได้รับผลการค้นคว้าจากเจ้าลิงจริง ๆ
เรียกได้ว่าแต่ละอย่างมีความสำคัญของมัน
หลังจากเฝ้าดูสิ่งต่าง ๆ ในสถาบันวิจัยมาครึ่งวัน หลินเฟิงก็พอใจอย่างมาก เขาหายตัวไปจากในแผนกวิจัยทางวิทยาศาสตร์และปรากฏตัวที่สำนักงานใหญ่ของเทียนกง
ในเวลานี้สำนักงานใหญ่ของกลุ่มหลิน ถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องโถงของศาล ซึ่งคล้ายกับตำหนักของจักรพรรดิหลายองค์ในสมัยโบราณ แต่มีความแตกต่างอยู่บางอย่าง
ด้านหน้าคือตำแหน่งหัวหน้าวังสวรรค์ซึ่งอยู่สูงกว่าที่นั่งในจุดอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
ต่อมาก็มีที่นั่งสองแถวของทั้งสองฝั่ง แต่ละแถวมีห้าที่นั่ง ซึ่งต่ำกว่าตำแหน่งหัวหน้าในวังเล็กน้อยซึ่งเป็นตำแหน่งของผู้อาวุโสในวังสวรรค์
ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือเป็นที่นั่งครึ่งวงกลม เป็นที่นั้งสำหรับรุ่นพี่ และอาจารย์จากส่วนต่าง ๆ
เมื่อหลินเฟิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็ปรากฏตัวโดยตรงในตำแหน่งผู้นำของวังสวรรค์ทันที
ในเวลานี้มีการนั่งในหลาย ๆ จุดและตำแหน่ง มีทั้งผู้อาวุโสและสมาชิกหลายคนอยู่ในสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ยังมี หวังหาน,หวังซื่อ, จื่อเฉิง, ตูกัง, ปาเต๋า และสมาชิกคนสำคัญอื่น ๆ กำลังนั่งอยู่
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหลินเฟิงนั้นกระทันหัน ทุกคนก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับหลินเฟิงทันทีพร้อมกับพูดว่า
“เจ้าสำนัก!”
พูดตามตรงหลินเฟิงไม่ชอบการต้อนรับแบบนี้เท่าไหร่ แต่เขายอมเห็นด้วยเกี่ยวกับคำขอของทุกคน
หลินเฟิงมองไปที่สมาชิกและความน่าเกรงขามในร่างกายของเขาถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่มีการปิดบัง เขาโบกมือและพูดว่า “ลุกขึ้น!”
“ขอบคุณ” หลังจากนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ลุกขึ้นและมองไปที่หลินเฟิง
หลินเฟิงไม่ชอบความรู้สึกนี้จริงๆ เขาทำให้ตัวเองเหมือนจักรพรรดิโบราณที่เขาไม่ชอบอย่างไงอย่างงั้น
เนื่องจากหลินเฟิงได้รับเลือกให้เป็นผู้นำของวัง เขาจึงหายตัวไปและเก็บตัว หลังจากการปรากฏตัวหลายครั้ง ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงไม่รู้จักหลินเฟิงมากนัก
ในเวลานี้คนอื่น ๆ รู้สึกถึงแรงผลักดันอันน่าเกรงกลัวของหลินเฟิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเพราะพลังนั้นน่ากลัวมาก จนพวกเขามั่นใจว่าพลังของเย่หยูนั้นมุ่งสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แม้แต่ผู้อาวุโสของวังสวรรค์หลายคนก็ยังตกตะลึง พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าเมื่อหลินเฟิงปรากฏตัวครั้งสุดท้ายนั้นเป็นอย่างไร
หลินเฟิงมองไปที่ความสับสนและตกตะลึงบนใบหน้าของแต่ละคน เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่อ้าปากค้าไว้สักแปป: “รอกันมานานแล้วหนิ เกิดอะไรขึ้น เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!”
“ค่ะท่าน!”
คำตอบนั้นมาจากคือลู่ซื่อจี้สามารถพูดได้ว่าเธอเป็นผู้นำที่แท้จริงของเทียนกงในตอนนี้ เพราะหลินเฟิงได้ให้สิทธิ์แก่เธอมากมาย เรียกได้ว่าเธอคือผู้ควบคุมวังแห่งสวรรค์ตัวจริงก็ไม่ผิด
“ ท่านเจ้าสำนัก มีสามสิ่งที่ฉันต้องรายงานแก่ท่านก่อน อย่างแรกคือผู้เฒ่าไป๋แห่งราชวงค์มาที่ประตูสำนักเมื่อไม่กี่วันก่อน และบอกว่าเขาอยากจะเชิญท่านไปประชุม เพื่อพบกับกองกำลังสำคัญในประเทศ หลังจากนั้นสามวันว่ากันว่าหัวหน้าของแปดกองกำลังเองก็จะเข้าร่วมด้วย! ” ลู่ซื่อจี้กล่าว
“การประชุมของกองกำลังสำคัญของประเทศสินะ?” ความประหลาดใจของหลินเฟิงปรากฏขึ้นในใจของเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าการประชุมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นโดยคนระดับดินศักดิ์สิทธิ์ หลินเฟิงไม่มีความเห็นใด ๆ เพราะเขามีความประทับใจในการรวมตัวกันครั้งนี้
“ตกลง! ฉันเข้าใจแล้วไปต่อ!” หลินเฟิงมองไปที่ลู่ซื่อจี้อีกครั้ง
“ เรื่องที่สองคือในช่วงสามเดือนนับตั้งแต่ที่ท่านเก็บตัว มีวัตถุโบราณจำนวนมากปรากฏขึ้นรวมถึงสถานที่ บางแห่งเป็นเขตของกองกำลังก่อการร้ายในสมัยโบราณ มันมีทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วนให้กับกองกำลังสำคัญทั้งหมด ได้มีการเคลื่อนย้ายผู้คนไปสำรวจแล้ว พวกเราจะไปด้วยไหม?” ลู่ซื่อจี้ถาม
“โบราณสถานเหรอ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทั้งหมด แล้วฉันจะตัดสินใจเอง!” หลินเฟิงพูดอีกครั้ง
“เรื่องที่สามคือ สินค้าชุดหนึ่งจากวังสวรรค์ของเราถูกปล้นไปเมื่อพวกเขาเดินทางผ่านจังหวัด K เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดถูกฆ่าตายทั้งหมด สินค้ามีมูลค่าสูงสำคัญพอ ๆ กับจำนวนผู้เสียชีวิต! พวกเราควรที่จะไปเก็บกวาดไหม? ” ลู่ซื่อจี้กล่าว
“อะไรกัน! ใครกล้ามาปล้นวังสวรรค์ของพวกเรา”
“มันกล้าดียังไงปล้นสินค้าของเราและสังหารคนของเราอีก”
“ถ้าพบว่าฆาตกรเป็นใคร พวกเราจะไม่มีวันยกโทษให้… “
อย่างไรก็ตามกลุ่มของพวกเขาเพิ่งเสร็จเป้าหมาล่าสุดมาใหม่ ๆ การก็ตั้องกลุ่มเทียนกงนั้นทำให้มีผู้คนไม่เห็นด้วย แต่การกระทำแบบนี้ทำให้ดขาโกรธมากจริง ๆ
ตั้งแต่ก่อตั้งวังสวรรค์มาก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เขาโกรธได้ขนาดนี้เลย ท้ายที่สุดนี่เป็นกองกำลังใหม่ที่สร้างขึ้นโดยพันธมิตรของทั้งสี่ตระกูล ก็ยังคงศักยภาพที่ทรงพลังที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งหมดอยู่ดี
หลินเฟิงไม่คาดคิดมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น มันอาจจะเป็นเพียงการยั่วยุให้เกิดความพลาดพลังของวังสวรรค์ก็ได้
“จังหวัด k เป็นอาณาเขตของใคร” หลินเฟิงถาม
“จังหวัด K ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้หรือตะวันตกเฉียงเหนือเป็นสถานที่ที่สำคัญมากและพื้นที่ของมณฑลนี้ก็เพียงพอที่จะติดอันดับหนึ่งในสามของประเทศ ในปัจจุบันกองกำลังทั้งแปดต้องการเข้ายึดครองเขตนั้น แต่ก็ยังไม่มีฝ่ายใดทำสำเร็จ!” ชายคนหนึ่งลุกขึ้นและกล่าว
ชายคนนี้เป็นคนที่เชี่ยวชาญข้อมูลด้านภูมิประเทศ เขาเป็นคนสำคัญมากภายใต้การนำของลู่ซื่อจี้และความสามารถของเขาก็ยอดเยี่ยมมากและเป็นที่ประจักษ์
“และสิ่งนั้นดูเหมือนว่าจะทำให้เราตกเป็นเป้าหมาย! ใครคือผู้ซื้อสินค้าในตอนแรก และสินค้านั้นคืออะไร ส่งจากที่ไหนไปที่ไหน ตรวจสอบเรื่องนี้ทั้งหมด เมื่อพวกเราได้ตัวคนร้ายแล้วจะไม่มีความเมตตาใด ๆ “ หลินเฟิงกล่าว
หากอีกฝ่ายเป็นคนเลือกว่าต้องการต่อสู้ หลินเฟิงก็ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาบุกเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วแบบนี้ เขากังวลว่าเขาจะหาคู่ต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ครับ/ค่ะ ท่าน!”
หลังจากนั้นหลินเฟิงและผู้อาวุโสหลายคนได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันและจุดประสงค์ของการประชุมกองกำลังสำคัญของประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น นั้นที่เปิดตัวศาลศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี หลังจากการสนทนาเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงจบลง การประชุมก็สิ้นสุดลง
หลินเฟิงกลับไปเขาพบเสี่ยวหยางเล่าเรื่องวันนี้ให้เขาฟัง เสี่ยวหยางเองก็แนะนำให้เขาไปร่วมการประชุมระดับดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ หลินเฟิงพบว่าสถานะของเสี่ยวหยางดูผิดแปลกไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาก็ไม่แน่ใจ เท่าไหรนัก หลินเฟิงรู้สึกงงงวยอย่างบอกไม่ถูก
เขาคิดว่ามันอาจเป็นเหตุผลของบุคลิกอื่น ๆ ในตัวเสี่ยวหยางก็ได้ เขาจึงไม่สนใจ
ไม่นานเสี่ยวหยางก็พยักหน้าให้
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับหลินเฟิงอีกเลย เขาเงียบมากและฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ ซึ่งทำให้หลินเฟิงรู้สึกงงงวย
อย่างไรก็ตามหลินเฟิงไม่ได้พูดอะไรและกลับบ้านไป
หลังจากหลินเฟิงจากไปร่างโปร่งแสงก็ปรากฏตัวข้าง ๆ เสี่ยวหยาง