โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 207
RC:บทที่ 207 คุกเข่าลงต่อหน้าฉันซะ
“สิบเอ็ดคนงั้นหรือ จะยังไงก็เหอะ ฉันต้องหาทางฝ่าออกไปให้ได้ ในเมื่อพวกนายพร้อมจะฝ่าไปกับฉันทุกเมื่อ” แล้วหลิน เฟิงก็เจอวิธีฝ่าออกไปจากคำพูดของตงฟางเซียง
ตอนนี้มีคนอยู่สิบสองคน เกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะหนีฝ่าออกไป
แต่ทว่ามีอยู่คนๆเดียวที่ไม่ได้มีพลังพิเศษ นั่นก็คือจ้าว หลง “เพื่อนเก่า” ของหลิน เฟิง ยิ่งไปกว่านั้น หลิน เฟิงยังเห็นว่าตำแหน่งที่จ้าว หลงอยู่นั้นอยู่ข้างหลังภูเขาที่ไกลออกไป
“ฟังนะ พวกนาย คนพวกนี้เป็นพวกระดับ B ขึ้นไปทั้งนั้น และยิ่งไปกว่านั้น หนึ่งในนั้นมีพลังระดับ A อยู่ด้วย แม้แต่ฉันเองยังรู้สึกไม่ได้เลยว่าพลังของเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน ดังนั้น เราจึงมีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“ถ้าเราฝ่าออกไปไม่สำเร็จ พวกเราทั้งหมดต้องตายที่นี่ นี่ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ เข้าใจไหม”
“ครับ พี่เฟิง” ในตอนนี้พวกเขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายแล้วเพราะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์ใหญ่โตแบบนี้นับตั้งแต่ที่ได้รับพลังมาก่อน
“เดี๋ยวเราจะฝ่าไปถึงจ้าว หลงทีหลัง เพราะเขาไม่ใช่ผู้มีพลัง แค่คนธรรมดา เราจะมีโอกาสฝ่าไปถึงตัวเขาได้ และหลังจากแหวกวงล้อมพวกนั้นไปได้ ฉันจะวิ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งของภูเขาแห้งแล้งนี้ อีกฝั่งนั่นมีพืชหญ้าปกคลุมหนาแน่นที่เอื้อต่อการหลบหนีและการโจมตีกลับของพวกเรา” หลิน เฟิงว่ากระซิบกับพวกเขา
“ครับ”
ผู้มีพลังระดับ B ทั้งสิบคนและคนที่มีพลังเหนือกว่านั้น ครึ่งหนึ่งคือพลังระดับ B ขั้นสูงสุด แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีพลังระดับ A ด้วยนี่สิ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรแบบนี้
กลุ่มที่ดาหน้ากันเข้ามานั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มพลังระดับย่อมๆ ทั้งหลิน เฟิงหรือพวกเขาทั้งสามคนไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้เลย แค่หนีเอาตัวรอดได้ก็นับว่าหรูแล้ว ถือว่านี่เกือบจะเป็นสถานการณ์เฉียดตายเลยก็ว่าได้
“เป็นไงล่ะ หลิน เฟิง ไม่ต้องตกใจมากขนาดนั้นก็ได้นะ หรือตกใจมากไปแล้วล่ะ ถ้าพวกนายทั้งสามยอมคุกเข่า แล้วคลานเข้ามาหาฉันล่ะก็ บางที ถ้าฉันอารมณ์ดี ฉันอาจจะปล่อยนายไปก็ได้นะ” ในตอนนี้ ตงฟาง เซียงดูไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนอันใด เพราะถ้าหลิน เฟิงสามารถหนีไปจากศึกใหญ่ตรงหน้าได้จริงๆ ก็ถือว่าปาฏิหาริย์แล้ว
ส่วนคนอื่นๆต่างจ้องไปที่หลิน เฟิงด้วยสีหน้าดูถูก การสั่งสมพลังของหลิน เฟิงนั้นอยู่แค่ระดับขั้นกลาง ส่วนญาติผู้น้องของเขาและหวัง หานนั้น พวกเขาไม่คิดจะชายตามองเลยด้วยซ้ำ เพราะคนที่มีพลังอยู่ในระดับ C ไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขาอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่อยากเข้าไปยุ่ง
ผู้คนที่มารวมตัวกันตรงนี้ล้วนมาจากตระกูลตงฟางทั้งนั้น แล้วพวกเขาก็ล้วนเก่งกาจกัน พลังธรรมดาๆไม่อาจใช้ต่อกรกับพวกเขาได้เลย หลิน เฟิงรู้สึกได้จากแรงที่พวกเขาส่งมา
ท่ามกลางคนพวกนี้ หวู่ เย่วและลั่ว จิ้วชานยืนขนาบข้างคู่กันกับจ้าว หลง แรงส่งที่ทั้งสองส่งมาจากทางนั้นเป็นแรงที่อ่อนมาก หวู่ เยว่น่ะแรงดีอยู่หรอก แต่ลั่ว จิ้วชานน่ะไม่ได้มีแรงเอาซะเลย
แม้พลังของพวกนั้นจะอยู่ในระดับ B แต่ก็ไม่ได้มีมากไปกว่าญาติผู้น้องของเขากับหวัง หานเลย
ดังนั้น จุดที่พวกเขาจะฝ่าออกไปก็คือจ้าว หลงซึ่งทางนั้นซึ่งเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะลอดไปได้
“ถ้าผมคุกเข่าและหมอบคลานไปหาคุณสามหน คุณจะปล่อยพวกผมไปใช่ไหมครับ” หลิน เฟิงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ดูราวกับขอทาน
“หึ เสียของจริงๆ ฉันคิดว่าคนที่หว่านเอ๋อร์เลือกมาจะดูพึ่งพาได้มากกว่านี้เสียอีกไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลัวตายแบบนี้ ฮ่าๆ” ตงฟาง เซียงว่าขึ้นพลางหัวเราะลั่น
“นายน้อย ก็ปกติไม่ใช่หรือครับ จำนวนคนที่มีพลังปาไปเกินครึ่งยังมากกว่าพลังที่เขามีอยู่อีก แค่คนหรือสองคนก็ล้มพวกมันได้แล้ว ก็เลยมาร้องขอความเมตตาแบบนี้ยังไงล่ะครับ” ในตอนนั้นเอง ชายสูงวัยที่อยู่ข้างๆตงฟางเซียงจึงได้เอ่ยขึ้น
เพียงแวบเดียว หลิน เฟิงก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้นขึ้นมาเงียบๆนั่น รับรู้ราวกับว่านั่นคือกระแสทะเลในหมู่หิน
“แย่ของจริงแล้ว พลังนี่มันระดับ A เลยนะ” หลิน เฟิงว่าขึ้นในใจ
ชายสูงวัยคนดังกล่าวให้ความรู้สึกเดียวกับตอนที่หลิน เฟิงอยู่ที่สถานีตำรวจเลย ในตอนนั้น หลิน เฟิงเองก็เกือบถูกซู จ้านฆ่าตาย ถ้าผู้เฒ่าไป๋ไม่มาช่วยไว้ก่อนล่ะก็ เขาคงตายไปแล้ว
ด้วยเหตุนั้น หลิน เฟิงจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ โดยในตอนนี้เขาได้เดินไปทางพวกตงฟาง เซียง
“นายท่านตงฟาง ผมมันโง่ที่ทำให้คุณไม่พอใจในตอนแรก ถ้าการหมอบคลานครั้งนี้สามารถใช้แลกกับชีวิตได้ล่ะก็ โปรดรับไว้ด้วยเถอะนะครับ” หลิน เฟิงพูดไปเดินไป
“ฮ่าๆ ไอ้หมอนี่จะหมอบคลานจริงๆด้วยเว้ย นี่มันคิดว่าหลังจากหมอบคลานแล้ว นายน้อยตงฟางเซียงของเราจะปล่อยมันไปจริงๆอย่างงั้นหรือ”
“ใช่ๆ พวกเราเป็นคนไปฟ้องเรื่องนี้กับนายน้อยน่ะ ยังไงซะจุดจบของคนที่ขัดใจนายน้อยก็ไม่สวยอยู่แล้ว เรื่องที่ไอ้หมอนี่จะก้มหัวหมอบคลานขอชีวิตยิ่งกลายเป็นเรื่องตลกไปเลยล่ะ” คนที่มีพลัง B ระดับกลางกล่าวขึ้น
ชายตรงหน้าเป็นชายร่างเตี้ย อ้วน เนื้อบนใบหน้าอวบอูม แต่ทว่าพละกำลังนั้นไม่ใช่กระจอกเลย
“ก็ปกติไม่ใช่หรือไง ตอนที่จะตาย ฉันยังจำได้เลยว่านายก็ขอร่วมทีมกับนายน้อยด้วยนี่ แถมยังหมอบคลานมาหานายน้อยเองอีกต่างหาก” หนึ่งในผู้มีพลังระดับ B ขั้นสูงสุดว่าถากถาง
“นี่นาย…”
“เฮ้ย พวกนายสองคนหยุดพูดเรื่องนั้นเถอะน่า ไอ้เด็กนี่มันกำลังจะหมอบคลานมาหาแล้วนั่นไง” ผู้มีพลังระดับ B อีกคนว่าขึ้น
ในตอนนั้นเอง หลิน เฟิงเดินเข้ามาตงฟางเซียงใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยญาติผู้น้องของเขาอย่างจื้อเฉิงรวมถึงหวัง หาน พวกเขาต่างคิดว่าหลิน เฟิงกำลังจะหมอบคลานเข้ามาจริงๆ
ไม่มีใครสังเกตเลยว่าตำแหน่งที่หลิน เฟิงยืนอยู่นั้นไม่ได้อยู่ตรงกลาง แต่เบี่ยงไปยังทิศทางที่จ้าว หลงยืนเล็กน้อย และสิ่งที่หลิน เฟิงทำนั้นก็เป็นเรื่องลับสุดยอดด้วย เพราะแต่ละคนต่างมุ่งความสนใจไปที่การกระทำของพวกเขา จึงไม่มีใครใส่ใจเรื่องตำแหน่งที่พวกเขาอยู่
ไม่ว่าจะยังไง ตราบใดที่หลิน เฟิงยังอยู่ในวงล้อม เขาก็ไม่ต่างอะไรกับนกในกรง ที่เฝ้ารอวันตาย
ในตอนนั้น ระยะทางระหว่างหลินเฟิงกับตงฟางเซียงนั้นใกล้เข้ามาเต็มที และในที่สุด หลิน เฟิงก็มายืนอยู่ในจุดเดียวกันก่อนจะมองตงฟางเซียง แล้วค่อยๆงอเข่าทั้งสองข้างลง
“นั่นแหละ คุกเข่าลง ต่อหน้าฉัน ถ้าฉันอารมณ์ดี บางทีฉันอาจจะปล่อยนายไปก็ได้นะ”
ตงฟางเซียงจ้องไปยังเข่าของหลิน เฟิงที่กำลังงอลงมาอย่างช้าๆ คนทั้งหมดในนั้นรู้สึกได้ถึงชัยชนะที่เต็มเปี่ยม
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิน เฟิงทำท่าทางแปลกๆบริเวณหลังมือของตนซึ่งมีเพียงหวัง หานกับจื้อเฉิงเท่านั้นที่เข้าใจ
“คุกเข่าลง” ในตอนนั้นเอง ขณะที่หลิน เฟิงงอเข่าลงอยู่นั้นเอง คิ้วของเขาก็เปล่งแสงขึ้นมา ก่อนที่กิ่งก้านหนาแกร่งนับเจ็ดหรือแปดกิ่งจะแตกแขนงออกมาราวกับแท่งเหล็กเข้าโจมตีตงฟางเซียงในทันที
ในเวลาเดียวกัน ญาติผู้น้องของเขากับหวัง หานเองก็ผสมโรงด้วยแท่งน้ำแข็งและใบเลื่อยลม
ในขณะที่กิ่งก้านพวกนั้นรวมถึงต้นไม้พิลึกนั่นกำลังฟาดไปที่พวกนั้น เข่าที่โค้งของหลิน เฟิงก็ยืดออกก่อนจะกระโดดไปยังทิศทางที่จ้าว หลงยืนอยู่
“เหอะ สมองนายฉลาดเท่าเม็ดถั่ว” ในขณะที่คิ้วของหลิน เฟิงเปล่งแสงขึ้นมา ชายสูงวัยระดับ A ก็ได้อ่านการเคลื่อนไหวของหลิน เฟิงเล็กๆน้อยๆนั่นได้ล่วงหน้าแล้ว
ชายสูงวัยคนดังกล่าวยืนอยู่ตรงหน้าตงฟางเซียง ที่ยิงสวนต้นไม้แปลกๆทั้งสองต้นนั่น นอกจากนี้ยังมีพวกเขาห้าหรือหกคนที่ยิงไปที่คนอื่นๆอีกด้วย
การจู่โจมดังกล่าวเกิดขึ้นแบบกะทันหัน คนพวกนั้นจึงได้แค่มองกิ่งของต้นองุ่นนั่นไม่กี่กิ่ง ก่อนที่จะไม่ได้นึกสนใจมันอีกต่อไป บางคนก็หนีไปซ่อนตัวเงียบๆ ส่วนบางคนก็เอามือปัดมันออกไป
แต่ทว่าในเวลาต่อมา คนพวกนั้นกลับต้องเจอเรื่องน่าเสียใจอย่างใหญ่หลวง