โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 173
RC:บทที่ 173 ความแข็งแกร่งระดับ S
“พลังหมด? นายท่าน ไม่ใช่ว่าท่านเพิ่งเก็บแก่นวิญญาณมาได้จำนวนหนึ่งหรือ? ” มังกรดำกล่าวอย่างมีความสุข
“ใช่ ทำไมเหรอ?”
“นายท่าน ข้าจะฟื้นฟูพลังวิญญาณของท่านด้วยการถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลเล็กน้อยแต่ไม่มากสำหรับคนที่มีร่างกายแข็งแกร่ง มันถูกเรียกว่าวิธีการกลืนกินความมืด…”
ครู่ต่อมา หลินเฟิงทำตามวิธีของมังกรดำโดยที่ไม่มีใครรู้ เขาถือแก่นวิญญาณอยู่ในมือและดูดกลืนพลังวิญญาณเพื่อแปลงมาเป็นพลังวิญญาณของเขาเอง
จากนั้นสักพัก แก่นวิญญาณก็สลายตัวเป็นเศษเล็กเศษน้อยและตกลงสู่พื้นดิน ขณะที่หลินเฟิงรีบดึงออกมาจากแหวนมิติอีกอันและซึมซับมัน
หลินเฟิงนำออกมาจากแหวนเก็บวิญญาณโดยใช้พลังจิตแทนมือดังนั้นจึงไม่มีใครเห็นเขาเคลื่อนไหว
“พ่อหนุ่ม แกคิดได้หรือยัง!” ขณะที่หลินเฟิงได้ดูดกลืนแก่นวิญญาณก้อนที่สองไปแล้ว ซูจ้านก็เอ่ยถาม
“อย่าเพิ่งเร่งสิ การเข้าร่วมองค์กรราตรีและกราบอาจารย์ สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญ ผมจะตกลงง่าย ๆ ได้อย่างไร? ขอเวลาให้ผมคิดอีกสักนิดหน่อยสิ! ” หลินเฟิงกล่าว
“ท่านซู โปรดระวังกลลวงของชายคนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาถ่วงเวลาเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของเขานะ!” ชายที่เพิ่งพูดกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ในเวลาเพียงสั้น ๆ มันจะฟื้นฟูพลังได้มากแค่ไหนกัน?” ซูจ้านเย้ยหยัน
“แต่ว่า…”
“ไม่ต้องมีแต่อีก ตอนนี้ข้าหรือแกที่เป็นหัวหน้า?” ซูจ้านกล่าวอย่างไม่พอใจ
“ขอรับ โปรดยกโทษให้ผมด้วย!”
“ถอยกลับไป!”
“เจ้าหนุ่ม ข้าจะให้เวลาแกอีกสามนาที อย่าหาว่าข้าทำตัวเสียมารยาทล่ะ! จากนั้นเราจะไปที่สถานีตำรวจ! ” ซูจ้านเร่งหาทางออก
หลินเฟิงไม่ได้ตอบ เขาได้แต่ดูดกลืนพลังของแก่นวิญญาณอย่างสุดจิต
คนธรรมดาคงจะไม่กล้าดูดกลืนพลังวิญญาณด้วยวิธีไร้หลักการแบบนี้ หลินเฟิงรู้สึกขอบคุณวิธีการดูดกลืนพลังมืดที่มังกรดำแนะนำแต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีผลข้างเคียงอยู่บ้าง
ขอเพียงแค่มีร่างกายที่แข็งแกร่งก็จะช่วยลดการบาดเจ็บลงได้ หากมีร่างกายที่อ่อนแอละก็ผลข้างเคียงนั้นคงจะสาหัสน่าดู
ถึงแม้ความก้าวหน้าของหลินเฟิงจะทรงพลังขึ้นมากด้วยวิธีนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกเจ็บไปถึงกระดูกและรู้สึกได้ว่าร่างกายเหมือนจะระเบิดได้ทุกเวลา
ในตอนนั้น ใบหน้าของหลินเฟิงก็แดงปลั่งราวกับจะแตกออก แต่โชคดีที่พลังของหลินเฟิงฟื้นฟูกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
ผ่านไปสักพัก ความแข็งแกร่งทางวิญญาณของหลินเฟิงก็กลับมาอยู่ที่ 80 % เวลานั้นหลินเฟิงมีความรู้สึกที่หลากหลายราวกับถูกรถบรรทุกชน ทั้งร่างถูกกลืนกินและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
“เจ้าหนุ่ม หมดเวลาแล้ว แกตัดสินใจได้หรือยัง?” ซูจ้านถาม
แต่หลินเฟิงก็ยังคงไม่ตอบคำถามของเขาเพราะกำลังเดินพลังวิญญาณเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทั่วร่างในตอนนี้
“ไอ้หนุ่ม ได้เวลาแล้ว ข้าไม่มีเวลามารอแกแล้ว ถ้าแกยังไม่พูดข้าจะเริ่มแล้วนะ!” ซูจ้านหมดความอดทนในที่สุด
“หืม ตอบมาสิ!” เมื่อเห็นว่าหลินเฟิงยังคงคิดอยู่ ซูจ้านอดไม่ได้ที่จะโจมตี
“เดี๋ยวก่อน ผมคิดได้แล้ว!” ขณะที่ซูจ้านกำลังจะโจมตีเขาก็ถูกหลินเฟิงพูดแทรก
“คิดได้แล้วเหรอ? ดีมาก บอกข้ามาเร็ว ๆ ข้าเชื่อว่าแกจะรู้ดีว่าควรจะเลือกทางไหน อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ! ” ซูจ้านดูเหมือนว่าเขากำลังจะกำชัยชนะ
“หลินเฟิง เจ้าคิดดูนะ องค์กรราตรีเป็นหนึ่งในสามขององค์กรมืดที่สำคัญ หากเจ้าเข้าไปแล้วจะไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ตลอดชีวิต!” มู่ซินซินกลัวว่าหลินเฟิงจะตกลงเข้าร่วมองค์กรราตรีขึ้นมาจริง ๆ เลยเตือนเขา
“ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องห่วง ผมคิดดูแล้วว่าในชีวิตนี้ผมคงไม่สามารถเข้าร่วมกับองค์กรราตรีที่ชั่วร้ายได้! ฮ่า ฮ่า ต้องให้คุณเสียเวลาซะแล้ว! ” หลินเฟิงระเบิดหัวเราะออกมา
“ว่าไงนะ? นี่แกกล้าหลอกพวกเรารึ? ” เวลานั้น ซูจ้านไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลินเฟิงไม่ได้สนใจเข้าร่วมองค์กรของพวกเขาเลยสักนิด
แต่ทำไมหลินเฟิงถึงต้องถ่วงเวลาด้วยล่ะ? นี่ทำให้ซูจ้านสงสัยนิดหน่อย
“อ่อ ถ้าอย่างนั้น แกจงตายซะ ข้าจะทำให้ที่นี่ราบเป็นหน้ากลอง!” ซูจ้านพุ่งเข้าใส่หลินเฟิงอย่างเกรี้ยวกราด
ในอีกฝั่ง:
“ฟระ! ฉันว่าแล้วว่าเขาจะไม่ยอมเป็นศิษย์มัน จะนับประสาอะไรกับผู้มีพลังระดับ A ตัวเล็ก ๆ ” ชายชราคิ้วขาวที่มองดูฉากนั้นเอ่ยออกมา
“แต่พ่อหนุ่มคนนี้คงต้องเจอปัญหาซะแล้ว! ฉันจะไปช่วยเดี๋ยวนี้หล่ะ… หือ? มีปรมาจารย์อยู่! ” ทันใดนั้นชายชราก็รับรู้ได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเขาอยากจะเข้าไปช่วยหลินเฟิงแต่เป็นเพราะพลังที่แข็งแกร่ง เขาจึงหยุดชั่วครู่เพื่อรอดูสถานการณ์อยู่ที่เดิมก่อน
ภาวะสงครามที่เกิดขึ้นเพียงด้านเดียวที่มีพลังระดับ A ขององค์กรราตรีอยู่หลายคนโดยแต่ละคนนั้นสามารถรับมือได้สองถึงสามคนนั้น เวลานี้พวกเขาได้รับบาดเจ็บในสถานีตำรวจแทบทั้งหมดและไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว
มีเพียงมู่เทียงเฉิงกับเย่หมิงที่ยังต่อสู้อยู่แต่สถานการณ์ของทั้งคู่ก็ไม่ค่อยดีนัก มู่เทียนเฉิงได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่เย่หมิงกลับมีเพียงรอยแผลเล็กน้อย
ท้ายที่สุด ทั้งสองก็หันหน้าหากันอีกครั้งแล้วบินหนีไป ในยามค่ำคืนพวกเขาก็ค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้น ขณะที่มู่เทียนเฉิงร่อนลงสู่พื้นก็ได้ทิ้งรอยลากยาวยาวเป็นทางและกระอักเลือดออกมา
“ฮ่า ฮ่า ผู้นำมู่เทียนเฉิง ความแข็งแกร่งของคุณช่างเยี่ยมจริง ๆ !” เย่หมิงและมู่เทียนเฉิงต่อสู้มาอย่างยาวนาน เย่หมิงรับมือได้ดีแต่ทั้งคู่กลับไม่มีใครล้มกันได้
“รองหัวหน้าเย่หมิงคงทำให้คุณหัวเราะแล้ว ที่ความแข็งแกร่งของผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แค่ต้องรับมือยากขึ้นหน่อยเอง” มู่เทียนเฉิงกล่าว มีเลือดไหลออกจากมุมปากของเขา
“ผู้นำมู่ไม่จำเป็นต้องสุภาพหรอก ฉันก้าวเข้ามาในวงการนี้ก่อนคุณสิบปีแต่สร้างได้แค่ริ้วรอยบนตัวคุณแทนที่จะเป็นฝ่ายชนะ คุณเก่งกว่าฉันมากนัก” เย่หมิงกล่าว
“แค่ก! ผมได้ท่านรองหัวหน้าแห่งฝ่ายราตรียกยอหรือนี่! ” มู่เทียนเฉิงกระอักเลือด
“คุณไม่ใช่ศัตรูของฉันก็จริง แต่วันนี้ฉันไม่มีเวลามาเล่นกับคุณหรอกนะ” เย่หมิงเอ่ย
“หมายความว่าอย่างไร?” มู่เทียนเฉิงสงสัย
“เพราะผู้นำของพวกเรามาที่นี่แล้วน่ะสิ!” ขณะที่กล่าวจบ ก็ปรากฏพลังที่แข็งแกร่งแผ่ไปยังทุกผู้ทุกคน จากนั้นเงามืดที่สวมหน้ากากจิ้งจอกผู้หนึ่งก็ลงมาจากท้องฟ้า
“เอ๋? พลังนี้ พลังอย่างนี้คือผู้ที่มีพลังระดับ S นี่! ” มู่เทียนเฉิงรู้สึกช็อคจากปรากฏการณ์อันน่าสั่นสะเทือนนี้ พลังอันมหาศาลนี้กดดันให้มู่เทียนเฉิงคุกเข่าลง
“คารวะนายท่าน!”
ในตอนที่เงาของหน้ากากจิ้งจอกปรากฏตัวขึ้น ผู้คนในชุดดำต่างก็คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับประคองหมัดและก้มหัวลง
“อืม ลุกขึ้น!” มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมาจากหน้ากากจิ้งจอก
“มู่เทียนเฉิง ฉันคิดว่าคุณก็เป็นผู้เป็นเสาหลักเช่นกัน ดังนั้นฉันจะไม่ฆ่าคุณในวันนี้ หลีกทางให้ฉันซะ!” หญิงสาวใต้หน้ากากจิ้งจอกกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
อย่างกับดูถูกและเหยียดหยามสุนัขตัวหนึ่ง จากนั้นเธอก็เดินก้าวไปข้างหน้า
“ขอบคุณที่เมตตา แต่ฉัน มู่เทียนเฉิงคงต้องทำให้คุณผิดหวังซะแล้ว!” มู่เทียนเฉิงลุกขึ้นและจ้องไปยังผู้สวมหน้ากากจิ้งจอก
“หืม หากคุณไม่ยอมรับความเมตตาก็คงต้องรับการลงโทษซะแล้ว…”