โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 160
RC:บทที่ 160 เยว่เฉียว
“เพื่อนของเธองั้นหรือ เธอไปมีเพื่อนเป็นคนหยาบคายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย ฮ่าๆ” ชายคนดังกล่าวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูก
ชัดเจนเลยว่าชายคนดังกล่าวคงสัมผัสพละกำลังของหลิน เฟิงในตอนที่สัมผัสลมหายใจของตนได้ ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่พูดแบบนี้ออกมาหรอก แถมดวงตาก็เต็มไปด้วยความทะเยอะทะยานและความก้าวร้าว
เขาจ้องไปยังดวงตาของหลิน เฟิงและรู้ได้ในเพียงแวบเดียวเลยว่าชายคนนี้มันร้ายกาจนัก ในขณะที่หลิน เฟิงนั้นไม่รู้เลยว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนหนักมากขนาดนี้
“เขาเพิ่งจะกลายเป็นผู้มีพลังน่ะ ก็เลยทำตัวไม่เข้าท่าเท่าไหร่” มู่ ซินซินออกโรงป้องหลิน เฟิง
“โอ้ เจ้าหนู นี่เพราะได้ซินซินช่วยไว้นะ แต่คราวหน้าถ้าแกคิดจะทำตัวไร้มารยาทอีกล่ะก็ ไม่ง่ายแล้วนะเว้ย” ชายคนนั้นจ้องมาที่หลิน เฟิงอย่างเยาะหยันพลางว่าขึ้น
“ได้ค่ะ พี่โจ งั้นไปกันเถอะ เรายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องไปทำนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเตือนขึ้น
“อ้าว ก็มาแล้วนี่ไง” แล้วชายคนดังกล่าวก็ตามไปติดๆ
ก่อนที่เขาจะไปนั้น เขาก็หันมามองหลิน เฟิงด้วยดวงตาที่เย็นยะเยือกเป็นพิเศษ ตั้งตัวเป็นศัตรูชัดเจนและป่วนประสาท พลางยิ้มแสยะที่มุมปาก
“ไอ้หมอนี่”
ถ้าหลิน เฟิงอยู่ที่อื่นล่ะก็ เขาคงแสดงท่าทีหยิ่งยะโสกลับได้มากกว่านี้ แต่เพราะนี่หลิน เฟิงไม่รู้ความเป็นมาของชายผู้นี้เลย นอกจากนี้ ที่นี่เป็นสถานีตำรวจด้วย อย่าทำแบบนั้นเลยจะดีกว่า
“หมอนั่นชื่ออะไรงั้นหรือครับ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“หมอนั่น? เขาน่ะชื่อเยว่เฉียว เป็นผู้นำของกองกำลังกองเล็ก ตัวเขาน่ะไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก พลังก็ด้วย แต่พี่ชายของเขาน่ะเก่งสุดยอดเลย แถมยังเป็นถึงรองประธานของสมาคมมังกรเขียวระดับSเลยนะ พละกำลังของเขาทั้งหมดอยู่ในระดับSเลยล่ะ”
“พละกำลังทั้งหมดอยู่ในระดับSงั้นหรือ” สิ่งนี้ทำให้หลิน เฟิงผู้ซึ่งไม่เคยเห็นว่าคนที่มีพลังระดับSเป็นอย่างไรนั้นอึ้งงไปเลย
“ใช่แล้ว แม้ว่าพี่ชายจะไม่ได้สนใจอะไรในตัวเขามากนัก แต่ก็มีไม่กี่คนหรอกที่กล้ายั่วโมโหเขา นั่นก็เพราะชื่อเสียงตรงนี้นี่ล่ะ” มู่ ซินซินอธิบาย
“แต่ทำไม ชายคนนั้นจู่ๆถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมขึ้นมาล่ะครับ ทั้งๆที่เพิ่งจะเจอกันเป็นครั้งแรก” ดวงตาของหลิน เฟิงเต็มไปด้วยความอึดอัดในขณะที่กล่าว
“ก็ เป็นเพราะว่าเขาตามฉันและก็คอยตื๊อฉันอยู่น่ะสิ แต่ฉันปฏิเสธเขาไป” มู่ ซินซินตอบ
“ว่าไงนะ ตามคุณอยู่งั้นหรือ ที่เขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับผมก็แค่เพราะผมยืนอยู่ข้างๆคุณงั้นสิ” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขากลับพูดอะไรไม่ออก
“ก็น่าจะ เขาเป็นแบบนี้ล่ะ ใจแคบ แล้วถ้านายไปเจอเขาอีก ก็อยู่ห่างๆไว้ล่ะ” มู่ ซินซินชี้แนะ
“อยู่ห่างๆ ผมต้องกลัวเขาด้วยงั้นหรือครับ” หลิน เฟิงเป็นผู้ชาย จะให้เขาทำตัวหลบๆซ่อนๆแบบนั้นได้ยังไง
“นายไม่ใช่คู่แข่งของเขา ระดับตอนนี้ของเขาไปถึงระดับBปลายแล้ว” เพราะตอนนี้หลิน เฟิงยังอยู่ที่ระดับCขั้นสูงอยู่ มู่ ซินซินจึงคิดว่าหลิน เฟิงไม่ใช่คู่ที่จะปะมือกับเขาได้
“ระดับBปลายงั้นหรือ ช่วงหลังจากนั้นคืออะไรงั้นหรือครับ” หลิน เฟิงไม่เข้าใจ
“แม้แต่เรื่องนี้ก็ไม่รู้อีก พระเจ้าช่วย นายมันมนุษย์ยุคหินหรือเปล่าเนี่ย ถ้าไม่ใช่เพราะครั้งล่าสุดที่เจอกันล่ะก็ ฉันคงคิดว่านายน่าจะเพิ่งออกจากป่ามาหมาดๆแน่ๆ” มู่ ซินซินเอ่ยขึ้น ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก
“พลังเนี่ย แต่ละขั้นจะแบ่งออกเป็นสี่ขั้นด้วยกัน มีขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสูงสุด และแต่ละระดับก็จะแบ่งออกเป็นหกระดับได้แก่ C B A S SS และSSS” มู่ ซินซินพยายามระงับอารมณ์เครียดขึงในใจก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น
“อ๋อ อย่างงี้นี่เอง” หลิน เฟิงยังไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย
“ฉะนั้น ผมก็อยู่ในระดับCขั้นสูงสุดแล้วสิใช่ไหมครับ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“ถูกต้อง ขาดอีกนิดเดียว นายก็จะไปถึงระดับBแล้ว แต่ลมหายใจของนายมันรุนแรงเกินกว่าที่พวกระดับBจะเป็นกันเสียอีก น่าแปลก” มู่ ซินซินจ้องไปยังหลิน เฟิงก่อนจะว่าขึ้น
“เอ่อ ผมก็ไม่รู้แฮะ” หลิน เฟิงผายมือออกไปก่อนจะพูดขึ้น
ที่จริงนั้น เขาโกหกเพราะเขารู้ว่าที่ตนยังไม่ไปถึงระดับBนั้นก็เพราะเสี่ยว เฮยนั่นแหละที่ยังก้าวไปไม่ถึงสัตว์วิญญาณระดับกลาง
“แล้วว่าแต่ พลังแบบไหนกันหรือครับที่คุณกำลังพูดอยู่นี่” หลิน เฟิงก็เหมือนกับเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น เขาถามคำถามธรรมดาทั่วไปในสายตาของคนอื่นๆ
“สมาคมมังกรเขียวคือกลุ่มพลังระดับS และยังเป็นกองกำลังพลังระดับSที่ทรงพลังเอามากๆด้วย ระดับSนั้นมีอยู่มากมายในประเทศจีน สี่กองกำลังในนั้นน่ะแกร่งที่สุดเลย”
“สี่ไหนหรือ” หลิน เฟิงรู้สึกสงสัย
“มังกรเขียว หงส์แดง เต่าดำ เสือขาว ตั้งชื่อตามสัตว์สุดยอดทั้งสี่ของจีนแล้วก็มีพลังสุดยอดมากๆด้วย” มู่ ซินซินตอบคำถามของหลิน เฟิงได้ทุกข้อราวกับสารานุกรม
“โห เหนือSยังมีกองกำลังSSอยู่อีกงั้นหรือ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“ฉลาดขึ้นมาแล้วนี่ จริงอยู่ที่ว่าเหนือระดับSยังมีระดับSS โดยจะมีกำลังระดับSSอยู่หกกองทัพและอีกสามกองทัพในประเทศจีน อ้อ ช่างเถอะ พูดกับนายไปก็ไม่มีประโยชน์นี่นะ นายก็แค่ระดับC ฟังยังไงก็ดูไกลกับตัวนายโข” มู่ ซินซินส่ายหัวไปมาพลางรู้สึกว่าเรื่องนี้มันยังห่างไกลกับตัวเขานัก
“เอ่อ ผมก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้มันจะไกลตัวผมนักหรอกครับ อาจจะอีกไม่กี่ปี ผมก็ต้องไปเป็นกองกำลังนั่นด้วยใช่ไหมครับ” หลิน เฟิงพูดล้อๆ
“ฮ่าๆ หวังว่างั้นนะ” มู่ ซินซินไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับหลิน เฟิง
หลิน เฟิงเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็เป็นความแข็งแกร่งระดับอำเภอเล็กๆอย่างจิ้งเฟิงเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ พอออกมาจากอำเภอ ตัวเขาก็ไม่มีอะไร
“ถ้าอย่างงั้น ตระกูลลึกลับทั้งสิบไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“ตระกูลทั้งสิบงั้นหรือ นี่นายรู้จักตระกูลทั้งสิบด้วยงั้นหรือ” มู่ ซินซินรู้สึกประหลาดใจในตัวหลิน เฟิงเป็นครั้งแรก
แม้แต่ระดับขั้นของพลังง่ายๆ หลิน เฟิงยังไม่รู้ ยังแยกแยะไม่ได้เลย แต่นี่เขากลับรู้จักการมีอยู่ของตระกูลทั้งสิบ ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ
“ผมเองก็ไม่ได้รู้จักมันดีมากนักหรอก รู้จักแค่เพื่อนคนสำคัญๆของตระกูลทั้งสิบเท่านั้นเอง” หลิน เฟิงว่าอย่างเงอะงะ
“พระเจ้าช่วย นายรู้จักแม้กระทั่งสมาชิกคนสำคัญของหนึ่งในตระกูลทั้งสิบเลยงั้นสิ สุดยอดเลยอ่ะ” มู่ ซินซินจ้องไปที่ของมีค่าหายากก่อนจะกล่าวชื่นชม
มู่ ซินซินไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เพราะตระกูลทั้งสิบนั่น เป็นตระกูลที่ไม่ใช่ใครจะเข้าไปหาได้
เพราะตระกูลทั้งสิบนั้นเป็นตระกูลที่มีเกียรติ เป็นสัญลักษณ์ และเป็นที่น่าภาคภูมิใจในภายภาคหน้า เป็นที่ยอมรับและความน่าเกรงขามไปทั่วโลก
“นี่ คุณยังไม่ได้บอกผมเลยนะ” หลิน เฟิงจ้องไปที่มู่ ซินซิน จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เหตุผลที่ว่าทำไมตระกูลลึกลับทั้งสิบนั้นถึงกลายเป็นสิ่งลึกลับไปได้นั้นก็เพราะพวกเขาทุกคนต่างได้รับสืบทอดกันมาเนิ่นนานแล้ว ส่วนนานแค่ไหนไม่มีใครรู้ มีเพียงแต่พวกเขาเท่านั้นที่รู้”
“ตระกูลพวกนี้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มาเนิ่นนาน เป็นที่จับตามองเรื่องความเปลี่ยนแปลงของตระกูลที่ต้องผจญแดดลมฝนแต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ บางคนก็สงสัยว่าตระกูลพวกนี้ไม่ใช่คนบนโลก ฮ่าๆ นี่ต้องเป็นเรื่องตลกของโลกใบนี้แน่” มู่ ซินซินกล่าวขึ้น
“ตระกูลทั้งสิบนี่ขึ้นอยู่กับการมีอยู่ขององค์กรและกองกำลังอื่นๆ มีคนหลายคนในตระกูลทั้งสิบนั่นที่ทำงานอยู่ในองค์กรและกองกำลังอื่นๆ แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
“เอ่อ งั้นเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่านะ ดูนั่นสิ คนพวกนั้นลงทะเบียนกันแล้ว เดี๋ยวฉันจะพานายไปลง…”