โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 137
RC:บทที่ 137 ถุงปริศนา
“พวกนายสามคนอยู่ก่อน” ขณะที่หวัง หานและอีกสามคนนั้นก็กำลังเดินออกไปพอดี หลิน เฟิงก็ขอให้พวกเขาหยุดก่อน
“พี่เฟิง มีอะไรงั้นหรือครับ” หวัง หานถามขึ้น
“มานี่สิ เดี๋ยวพวกนายทั้งหมดสามคนมาช่วยฉันจัดการเรื่องธุรกิจในตอนนี้หน่อย และสำหรับพวกนาย นี่คงยากพอดู แล้วพวกนายคิดว่าเงินเดือนต่ำเกินไปหรือเปล่า” หลิน เฟิงถามขึ้น
หลิน เฟิงเคยจ่ายให้ทั้งสามคนมากกว่าคนงานทั่วไปอยู่ 500 โดยคนงานทั่วไปนั้นจะได้สามพันห้าร้อย ส่วนพวกเขานั้นได้สี่พัน
ในวันนี้ หลิน เฟิงก็ให้รางวัลพิเศษพิเศษแก่ทุกคนอีกห้าร้อย ก็จะเป็นสี่พันห้าร้อย
สำหรับคนชนบททั่วไปนั้น เงินเดือนจำนวนนี้นับว่าน่าพึงพอใจสำหรับพวกเขาทุกคน
“ไม่แลยครับ พี่เฟิง” หวัง ซื่อตอบ
“ใช่ครับ ไม่เลย เราพอใจกับเงินเดือนเท่านี้แล้ว” ญาติผู้น้องจื้อเฉิงกล่าวเสริม
“ใช่แล้ว เราเองก็ไม่เคยได้รับเงินมากกว่า 4000 หยวนสำหรับงานใช้แรงแบบนี้มาก่อนเลยด้วย แต่พอมาทำงานกับพี่เฟิงสบายๆแล้วได้เงิน 4500 หยวนนี่ ก็เล่นเอารู้สึกอึดอัดอยู่บ้างเหมือนกันนะครับนี่” หวัง หานกล่าวติดตลก
“ฮ่าๆ โอเค แต่ถ้ารู้สึกว่ายังน้อยไปล่ะก็ ฉันเพิ่มให้ได้นะ เป็น 5000 หยวน พวกนายก็ต้องไปทำงานให้หนักขึ้นและมากขึ้นแล้วกัน” หลิน เฟิงกล่าว
“ไม่ๆๆ พอแล้วครับ พี่” หวัง หานเป็นคนแรกที่ปฏิเสธ
“อืมๆ ผมรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำงานอะไรเลย ก็แค่คุมคน ก็ได้เงิน 4500 แล้ว แค่นี้ก็พอใจแล้วครับ”
มีเพียงญาติผู้น้องของเขาเท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไร นั่นคงเป็นเพราะการมองเห็นของจื้อเฉิงนั้นไปได้ไกลขึ้น และในตอนนี้ หลิน เฟิงก็ยังรู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นและสติปัญญาในจิตใจอันดีของเขา
“เอ จื้อเฉิง ฉันรู้สึกว่านายดูเหมือนจะไม่ใช่จื้อเฉิงคนเดิมยังไงก็ไม่รู้สิช่วงนี้ ลึกๆแล้วนายรู้สึกยังไงงั้นหรือเกี่ยวกับคำพูดของพี่หลิน เฟิงน่ะ” เมื่อหวัง ซื่อเห็นว่าจื้อเฉิงไม่ได้กล่าวอะไรออกมานั้น เขาจึงหันไปมองและจ้องเขาอยู่แบบนั้น ก็ช่วยไม่ได้นอกจากต้องพูด
“นั่นน่ะสิ ฉันคิดว่าน้องจื้อเฉิงคงไปเจอเรื่องอะไรมา เลยเปลี่ยนไปคนละคนเลยหลังจากผ่านไปสองวัน” หวัง หานนั้นมักจะใจเย็นที่สุดและฉลาดที่สุดในบรรดาสามคน เขาเห็นในสิ่งที่เขาคิดว่าเห็นเพียงแวบเดียวก่อนจะหันมามองหลิน เฟิง
“ใช่แล้ว พี่เฟิง” หวัง หานมองไปที่หลิน เฟิงก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มๆ
“ฮ่าๆ มั่นใจได้เลยว่าเดี๋ยวพวกนายก็จะได้รับเงินตามนั้น เอาล่ะ เอาเป็นว่าตกลงตามนี้ 5000 นะสรุป” หลิน เฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ เดี๋ยวก่อน นี่พี่พูดถึงเรื่องอะไร ทำไมผมถึงไม่เห็นเข้าใจเลยล่ะ” หวัง ซื่อสงสัย
ในบรรดาทั้งสามคนนั้น หวัง ซื่อคือคนที่ขยันขันแข็ง พละกำลังมหาศาล ถึงแม้จะฉลาดไม่เท่าพี่ชายอย่างหวัง หาน แต่นี่ก็ถือว่าเป็นข้อดีของเขา
“ไม่มีอะไรหรอก มานี่สิ เดี๋ยวฉันจะเอาถุงของขวัญชิ้นใหญ่ให้ เดาซิว่าคืออะไร” หลิน เฟิงแกล้งทำเป็นไม่รู้
“อะไรล่ะ อะไร” เมื่อหวัง ซื่อได้ยินแบบนั้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในขณะที่อีกสองคนนั้นต่างมองไปที่หลิน เฟิงด้วยสายตาที่คาดเอาไว้แล้ว
“เปิดมือถือนายดูสิ” หลิน เฟิงว่าขึ้น
หวัง ซื่อเป็นคนแรกที่เปิดมือถือของตนขึ้นมา แล้วก็เห็นว่าหลิน เฟิงได้ดึงพวกเขาทั้งสามคนเข้ามาในกลุ่ม โดยส่งเงินมาให้จำนวน 10000หยวนในซองแดงด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นคนแรกที่ได้ในส่วนนี้ไป
ต่อมาก็คือจื้อเฉิง ได้ไปสี่สิบเหรียญ
และคนสุดท้ายก็คือหวัง หานที่ได้ไปสี่สิบสามเหรียญ
“พี่เฟิง นี่หมายความว่ายังไงกันครับ ถุงเงินหนึ่งหมื่นหยวนนี่” หวัง ซื่อสับสน
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ ลองดูมือถือนายสิ” จนหลายๆคนเริ่มสงสัย หลิน เฟิงก็ได้โอนเงินให้ทั้งสามคนอีกตามลำดับ
หวัง ซื่อได้ไป 1700 หยวน
จื้อเฉิว 4000 หยวน
หวัง หานได้ไป 4300 หยวน
“พี่เฟิงเปลี่ยนเป็น 1700 หยวนให้ผมด้วย ฮ่าๆ ดีใจสุดๆไปเลย แล้วพี่ล่ะ ได้ไหม” หวัง ซื่อว่าขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“พี่ได้4000”
“ว่าไงนะ”
“พี่ได้4300”
หืม ทำไมล่ะ” หวังซื่อไม่เข้าใจ
“พี่เฟิง นี่คือสิ่งที่พี่เรียกมันว่าถุงเงินใหญ่สินะ ขอบคุณมากเลย พี่เฟิง” หวัง หานเอ่ยขึ้น
“ขอบใจจริงๆ พี่เฟิง” เขากล่าวขอบคุณจากใจจริง
“นี่ มันเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ แล้วถุงเงินหนึ่งหมื่นหยวนนี่มันคืออะไรกันน่ะ” หวัง ซื่อยังคงไม่เข้าใจ
“พี่เฟิงส่งเงินมาเราโดยอิงตามร้อยละของเงินหมื่นหยวน ค่าร้อยละนั้นก็คือจำนวนเงินที่พวกเราได้ แล้วนายก็ได้น้อยที่สุดเพราะโชคไม่ดีแถมยังแย่งไปได้แค่ 17% เอง” เมื่อได้เห็นสีหน้าสับสนของหวัง ซื่อแล้วนั้น หวัง หานจึงได้อธิบาย (เป็นโปรแกรมฉกซองแดงของประเทศจีน ใครคว้าได้เท่าไหร่ก็เป็นของคนนั้น)
เมื่อได้ยินแบบนั้น หวัง ซื่อจึงเข้าใจในที่สุดก่อนจะล้มลงไป
“หึ เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน อย่าท้อเสียก่อนล่ะ” หลิน เฟิงตบไหล่หวัง ซื่อเบาๆก่อนจะพูดขึ้น
“คราวหน้าก็ได้นี่นา ฮ่าๆ เยี่ยมเลย”
“อาฮะ โอเค งั้นพวกนายสองคนไปได้เลย เดี๋ยวฉันมีธุระต้องทำกับจื้อเฉิงหน่อย” หลิน เฟิงจ้องไปที่พวกเขา
“ครับพี่เฟิง” แล้วหวัง หานกับหวังซื่อก็เดินออกไป
“พี่เฟิง มีอะไรให้ผมช่วยงั้นหรือครับ”
“อืม ดูจะคุ้นเคยกับการควบคุมพลังจิตแล้วสิ ใช่ไหม” แล้วหลิน เฟิงก็วางมือบนไหล่ของจื้อเฉิงพลางรู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณที่ไหลเวียนไปทั่วร่างของเขา
“ขอบคุณนะครับ พี่เฟิง ผมได้ฝึกพลังวิญญาณนี้จนเชี่ยวชาญแล้วครับ ต้องขอบคุณหมัดนรกเย็นของพี่เฟิงมากที่มอบพลังให้มากขนาดนี้” จื้อเฉิงพูดขึ้นแล้วร่างทั้งร่างก็นิ่งไป แล้วทันใดนั้นเองลมหายใจอันเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
“อืม ไม่เลวเลย ดูเปลี่ยนไปบ้างเหมือนกันนะ งั้นไปกันเถอะ ไปหาที่ฝึกกัน ขอพี่ดูหน่อยว่าฝีมือนายก้าวหน้าไปมากแค่ไหนแล้ว” หลิน เฟิงตบไหล่จื้อเฉิง จากนั้นจึงเดินไปตามทางข้างหน้าโดยมีจื้อเฉิงตามไป
หลังจากนั้นอีกสักพัก หลิน เฟิงก็มาที่สวนหลังบ้านพร้อมกับความมุ่งมั่นและเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาของคนสองคนนั้น สัตว์วิญญาณทุกตัวจึงมารวมตัวกันที่นี่
สุนัขนรกเสี่ยวเฮย มังกรดำ ซานหลง จ่าฝูงหมาป่าขาวและหมาป่าตัวเล็กๆสีขาวและฝูงหมาป่า หลิน เฟิงจัดให้พวกมันอยู่เป็นวงกลม โดยมีหลิน เฟิงและจื้อเฉิงอยู่ตรงกลาง
“เอาสิ เริ่มสงครามสัตว์เลี้ยงได้เลย” หลิน เฟิงว่า
“ครับ พี่เฟิง แมงป่องน้ำแข็ง!”
ทันทีที่พูดจบ ลำแสงน้ำแข็งสีน้ำเงินก็ปรากฏขึ้นที่คิ้วของเขา แล้วจากนั้นแมงป่องน้ำแข็งสีน้ำเงินก็โผล่ขึ้นมา ลายเส้นสีทองบนร่างของมันนั้นฉายชัดขึ้นกว่าเก่า อีกทั้งลมหายใจที่แข็งแกร่งมากกว่าเดิมหลายเท่า
“สมแล้วที่เป็นถึงจ่าฝูงแมงป่องน้ำแข็ง แค่หลังจากที่ได้กลายมาเป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำ มันสามารถปล่อยลมหายใจที่ทรงพลังได้ขนาดนี้เลยหรือเนี่ย” หลิน เฟิงถอนหายใจ
ลมหายใจของแมงป่องน้ำแข็งนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าของเสี่ยวเฮยเมื่อตอนที่เป็นสัตว์วิญญาณระดับต่ำเสียอีก เทียบกันไม่ได้เลย และนั่นก็เพราะพวกมันอยู่กับคนละชั้น นี่ล่ะข้อดีของการมีระดับเลือดสูง
“ซานหลง มานี่ซิ เล่นกับแมงป่องน้ำแข็งเขาหน่อย”
หลิน เฟิงขอให้ซานหลงเล่นกับแมงป่องน้ำแข็ง สิ่งที่เขาอยากเห็นไม่ใช่แค่พละกำลังของแมงป่องน้ำแข็งเท่านั้นแต่ยังอยากเห็นพละกำลังของซานหลงตอนแปลงร่างด้วย
ทั้งสองตัวนี้ต่างมีเลือดระดับสูงเฉกเช่นเดียวกัน
“เอาเลย เข้ามา โจมตีฉันเลย ด้วยกำลังทั้งหมดที่นายมี พี่ชายของนายก็ตะได้เห็นพละกำลังของนายนี่แหละ” หลิน เฟิงพูดขึ้น
“ได้เลย พี่เฟิง งั้นผมไม่ออมมือนะ” หลังจากพูดจบ จื้อเฉิงก็กำหมัดแน่น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาหลิน เฟิงในทันที
แต่ทว่า หลิน เฟิงกลับไม่ขยับไปไหนเลย ยังคงยืนนิ่งๆอยู่แบบนั้น