โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 159
RC:บทที่ 159 สิ่งที่ไม่เคยได้รู้
หลังจากมู่ เทียนเฉิงเดินออกไป มู่ ซินซินจึงพาหลิน เฟิงไปที่สถานีตำรวจ
“อะไรกัน ไม่มีความสุขหรอ” มู่ ซินซินว่าขึ้น
“ไม่มีอะไรครับ” หลิน เฟิงว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงหม่นเศร้า
เดิมที เขาก็แค่ต้องการจะมาแจ้งข่าวกับตำรวจเท่านั้น แล้วก็จะไปเลย แต่นี่ใครจะไปรู้ล่ะว่าจู่ๆท่านอธิบดีจะเชิญให้เขามาช่วยงานที่นี่
หรือไม่ก็ พวกเขาสงสัยคำพูดและตัวตนของเขามากกว่าที่จะให้มาช่วยจริงๆ หลิน เฟิงเห็นเป็นแบบนั้น
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมหลิน เฟิงจึงสัญญาที่จะอยู่นี่ แต่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น อีกอย่าง จะได้ดูด้วยว่าที่ที่เรียกตัวเองว่าองค์กรราตรีนั้นเป็นแบบไหนกันแน่
“ชื่อของคุณคือกอริลล่างั้นหรือ” ขณะที่ทั้งสองคนเดินอยู่บนทางที่จะไปสถานีตำรวจอยู่นั้น ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร หลิน เฟิงจึงเป็นคนแรกที่พูดทำลายบรรยากาศเงียบๆนี้
“ฉันชื่อมู่ ซิน ซิน ไม่ใช่ชื่อลิงเพศเมียนั่น การออกเสียงเป็นเสียงมาตรฐานอยู่แล้ว ถ้าคราวหน้าพูดแบบนี้อีก ฉันโกรธจริงล่ะนะ” มู่ ซินซินกล่าวด้วยเสียงอันดัง ราวกับว่ารู้สึกรังเกียจที่คนอื่นๆมักเรียกชื่อเธอผิดแบบนั้น
ชื่อมู่ ซินซินกับลิงชิมแปนซีเพศเมียนั้นมีความคล้ายกันอยู่บ้างอย่างไม่ต้องสงสัยเลย จนถึงตอนนี้ การออกเสียงของหลิน เฟิงนั้นก็ยังไม่ได้มาตรฐานอยู่ดี
“ได้ครับ คุณมู่” แล้วหลิน เฟิงก็ไม่พูดอะไรอีก
“ก็น่าจะเป็นอย่างงั้นนั่นแหละ หึ” มู่ ซินซินมีท่าทีปั้นปึ่ง เย็นชาก่อนจะเลิกกังวลถึงปัญหานี้
“แล้วคุณจะเล่าให้ผมฟังเรื่ององค์กรราตรีและสามองค์กรหลักนั่นให้หน่อยได้ไหมครับ เพราะผมไม่รู้อะไรเลย” หลิน เฟิงว่าขึ้น
ไหนๆพวกเขาก็ทิ้งหลิน เฟิงให้เท้งเต้งแบบนี้แล้วนั้น การได้ถามเพื่อให้ได้รู้ว่าพวกพลังภายนอกนั้นมีอะไรบ้างก็น่าจะดีกว่า
“นายไม่รู้อะไรบ้างเลยงั้นหรือ ฉันล่ะสงสัยจังเลยว่าใครกันนะที่พานายมาสู่โลกแห่งพลังเนี่ย” มู่ ซินซินกล่าวขึ้นอย่างฉงน
“ใครน่ะหรือ ไม่มีครับ ผมมาของผมเอง” หลิน เฟิงกล่าวขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ไม่มีใครพานายเข้ามาสู่โลกแห่งพลังงั้นหรือ แล้วงั้นนายมาเป็นผู้มีพลังแบบนี้ได้ยังไง ใครให้ขั้นตอนการทำสัญญากับนายกัน แล้วใครช่วยนายทำให้สัตว์วิญญาณพวกนั้นยอมกันล่ะ” มู่ ซินซินถามเป็นชุด
“หา นี่คุณพูดถึงเรื่องอะไรงั้นหรือครับ” หลิน เฟิงไม่เข้าใจ
“ไม่เข้าใจอีก” มู่ ซินซินว่าขึ้น
“ก็ไม่เข้าใจจริงๆนี่ครับ” หลิน เฟิงพูดขึ้นพลางรอคำอธิบายด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
มู่ ซินซินจ้องไปที่ดวงตาที่ไม่รู้เรื่องของหลิน เฟิง จึงทำใจไม่โกรธ
“งั้นฉันจะอธิบายให้นายฟังนะ อย่างแรกเลย เพื่อจะได้รับพลังมานั้นต้องอาศัยเงื่อนไขหลายข้อ อย่างแรกต้องมีสัตว์วิญญาณ อย่างที่สองคือพันธสัญญา นี่ไม่มีใครเริ่มให้นาย แล้วนายทำยังไงสัตว์วิญญาณถึงยอมนายได้ล่ะ แล้วไปทำพันธสัญญากันที่ไหน” มู่ ซินซินถามขึ้น
“เอ่อ ตอนที่ผมได้พลังมา สัตว์วิญญาณก็มาทำพันธสัญญากับผมเองเลยครับ แล้วจากนั้นผมก็ได้พลังมา ไม่มีใครเริ่มทำให้ผมหรอกครับ” หลิน เฟิงอธิบาย
จริงๆแล้ว เมื่อตอนที่หลิน เฟิงทำพันธสัญญากับเสี่ยว เฮยครั้งแรกนั้น เสี่ยว เฮยนั่นล่ะที่เป็นคนเริ่มก่อนเองเลย พร้อมกับพันธสัญญาเสมอภาค ในตอนนั้น หลิน เฟิงก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วย
“ว่าไงนะ สัตว์วิญญาณทำพันธสัญญาให้เองเลยเนี่ยนะ พันธสัญญาของนายกับสัตว์วิญญาณเป็นพันธสัญญาเสมอภาคใช่ไหม” มู่ ซินซินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ครับ เป็นพันธสัญญาเสมอภาค” หลิน เฟิงตอบไป
“ฮ่าๆ ฉันก็ด้วย ออกมาเลย ผีเสื้อสามสี” หลังจากที่มู่ ซินซินพูดขึ้น คิ้วของเธอก็สว่างขึ้นมา แล้วทันใดนั้นเองผีเสื้อสวยๆมากมายก็บินออกมา
ผีเสื้อตัวนี้สวยมาก ตัวของมันมีสามสี จึงถูกเรียกว่าผีเสื้อสามสี และหลิน เฟิงยังรู้มาอีกด้วยว่าผีเสื้อตัวนี้เป็นสัตว์วิญญาณที่มีสายเลือดแรงมาก
“สัตว์วิญญาณบางตัวนั้นก็เชื่อมโยงกับธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อใดที่คนมีจิตเมตตาต่อพวกมัน พวกมันก็จะให้ทำพันธสัญญาเสมอภาคและกลายเป็นสัตว์คู่ใจของมนุษย์ในที่สุด นั่นล่ะที่ฉันเป็น” มู่ ซินซินมองไปที่ผีเสื้อสามสีที่บินไปรอบๆตัวเธอพลางกล่าวขึ้น
“ในตอนนี้ มีพันธสัญญาเสมอภาคอยู่แค่ไม่กี่อัน ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นสัญญาบังคับทำมากกว่า เพียบเลยล่ะ” มู่ ซินซินกล่าวขึ้นพลางแสดงออกให้เห็นถึงอารมณ์เศร้าๆ
สิ่งนี้ทำให้หลิน เฟิงขยับเล็กน้อย จากที่คิดว่าตำรวจสาวจอมแหกกฎนั้นเป็นพวกมีนิสัยไม่สุภาพและไม่น่ารักเอาเสียเลย แต่ที่ไหนได้เธอกลับมีความนิยมชมชอบที่เลอค่าเอามากๆ
“เยี่ยมเลย คือผมไม่รู้อะไรพวกนี้เลย ช่วยบอกอะไรผมบ้างเถอะ” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุภาพขึ้น
“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะตอบนายให้เอง จริงๆแล้ว คำว่า “ผู้มีพลัง” เนี่ย ไม่ได้อ้างอิงถึงแค่คนที่ทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณเท่านั้นนะ แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงคนทั้งหมดที่มีความสามารถเหนือคนธรรมดาอีกด้วย”
“นานมาแล้ว บนโลกนั้นมีพลังวิญญาณอยู่เพียงพอ ทั้งมนุษย์และสัตว์นั้นมีโอกาสได้ฝึกฝน พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณ ดูดซับวิญญาณนั้นมา ก่อนจะปรับปรุงพละกำลังให้ดียิ่งขึ้น”
“ดังนั้น ผู้คนจากทั้งสองฝ่ายก็ต่างมีตัวตนซึ่งกันและกัน แม้จะไม่ได้ทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณเลยก็ตาม แต่พลังของพวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นได้ โดยเราจะเรียกคนพวกนี้ว่าผู้มีพลัง”
“แต่ต่อมา เมื่อร้อยปีก่อนนั้น จิตวิญญาณของโลกก็ค่อยๆลดลง เบาบางลงอย่างต่อเนื่อง และมนุษย์ก็รู้สึกถึงมันไม่ได้อีก เราจึงต้องทำพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณเท่านั้นเพื่อที่จะได้มาซึ่งพลังวิญญาณและได้พลังที่แข็งแกร่งมาด้วย”
“แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะกลายเป็นผู้มีพลังได้ ต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์จะรับสัตว์วิญญาณมาทำสัญญาได้ และก็โชคดีนะที่นายเจอสัตว์วิญญาณที่เข้ามาทำพันธสัญญากับนายเองเลยเนี่ย” มู่ ซินซินว่าขึ้น
“โชคดีงั้นหรือ” หลิน เฟิงสับสนเล็กน้อย สัตว์วิญญาณที่มาทำพันธสัญญากับเขาแต่ละตัวนั้นล้วนแปลกๆอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
“ส่วนเรื่องพลัง พวกมันนั้นมีความสามารถเหนือมนุษย์ธรรมดา ฉะนั้นเมื่อพวกมันใช้พลังออกมาเมื่อใดล่ะก็ ก็จะก่อความเสียหายและคนตายจำนวนมาก”
“ดังนั้นคำว่า “โลกแห่งพลัง” นั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงโดยที่ต่างๆเขาก็จะจัดการพลังทั้งหมดนั่นเอง ก่อตั้งกฏมามากมายพร้อมกับสอดส่องดูแลราวกับเป็นราชวงศ์”
“กองกำลังผู้คุมกฎงั้นหรือครับ แล้วรัฐบาลล่ะครับ” หลิน เฟิงงุนงง ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะได้รับการจัดให้เป็นตัวแทนของประเทศนี่นา
“จริงๆแล้ว นี่ไม่ได้พูดย้อนแย้งนะ แต่รัฐบาลก็ทำงานดูแลคนธรรมดา ส่วนกองกำลังที่ว่านี่ก็คอยควบคุมดูแลพวกมีพลัง สององค์กรนี้ประสานงานกันอยู่” มู่ ซินซินว่าขึ้น
“แล้วพลังที่คุมกฏพวกนั้นชื่อว่าอะไรหรือครับ” หลิน เฟิงถามขึ้น
“พลังที่ใช้ปกครองและสอดส่องนั้นสร้างขึ้นโดยสามองค์กรยุติธรรมระดับSSS ชื่อว่าราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ก็เหมือนกับรัฐบาลของคนธรรมดาที่จะดูแลเป็นพิเศษเรื่องการสอดส่องดูแลเรื่องของพวกมีพลังทุกคนนั่นแหละ ยิ่งไปกว่านั้น ราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์กับรัฐบาลคือหนึ่งเดียวกันซึ่งทำให้ประเทศจีนมั่นคง”
“มีคนบอกว่ามันก็มีทั้งด้านดีกับไม่ดี มันพ่วงไปด้วยกันเสมอ นับตั้งแต่มีราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็มีกองกำลังชั่วร้ายเกิดขึ้น สามองค์กรมืดนั่นก็คือตัวแทนที่ว่านั่น”
“แม้ว่าสามองค์มืดนั่นจะไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนกับราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกนั้นก็เจ้าเล่ห์และอันตรายเวลาลงมือทำอะไรสักอย่าง และในตอนนี้ องค์กรราตรีก็เป็นหนึ่งในองค์กรมืดนั่น”
“อีกอย่าง ในเมื่อทุกคนมีพลัง พวกเขาก็ต้องมาลงทะเบียนที่สถานีตำรวจ นายคงยังไม่ได้ลงทะเบียนล่ะสิท่า เอาล่ะ นี่เรามีเวลาแล้ว เดี๋ยวฉันจะพานายไปลงแล้วกัน” มู่ ซินซินว่าขึ้น
“อืม ก็ได้ครับ” หลิน เฟิงลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกไป
“แต่นี่คงไม่จำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลใช่ไหมครับ” จู่ๆหลิน เฟิงก็ถามขึ้น
“ไม่อยู่แล้ว ตราบใดที่นายไม่ได้ทำเรื่องไม่ดี โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ก็เหมือนเวลาที่คนทั่วไปมาทำบัตรประชาชนนั่นแหละ เข้าใจหรือยัง” มู่ ซินซินมีความอดทนในการอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างให้หลิน เฟิงฟัง
“อ้อ ดีเลย” จากนั้นเขาก็ไปพร้อมมู่ ซินซิน
ไม่นาน เขากับมู่ ซินซินก็เดินมาถึงอีกฝั่งของสถานีตำรวจ จะบอกว่าสถานีตำรวจนั้นเล็กๆไม่ได้แล้ว เพราะหลังจากที่ได้เข้ามา พวกเขาก็ได้เห็นอะไรอื่นๆอีก
อีกฟากหนึ่งที่มีการจัดการเรื่องของพลังกันจริงๆ
เมื่อหลิน เฟิงกับมู่ ซินซินเดินผ่านเข้าไป พวกเขาก็เจอกับคนที่เดินไปเดินมา หลิน เฟิงสัมผัสถึงอะไรขึ้นมาได้เล็กน้อย พลันเขาก็รู้ว่าทุกๆคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้มีพลัง ชายสามคนกับหญิงอีกสองคน มีลมหายใจที่เข้มแข็งและความอ่อนแอต่างกันออกไป
“การไปตรวจดูพลังคนอื่นแบบนั้นตามอำเภอใจเนี่ย ไม่สุภาพเอาเสียเลยนะ คราวหน้า ระวังหน่อยละกัน” มู่ ซินซินเอ่ยขึ้น
“อ้อ รับทราบครับ” หลิน เฟิงกล่าว
“นี่ ซินซิน อยู่นี่เองหรือ เธอไม่ได้ทำงานตรงโน้นแล้วหรือไง มาที่นี่ได้ยังไงกัน” ท่ามกลางผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา มีชายคนหนึ่งที่เห็นมู่ ซินซินปุ๊บก็ปรี่เข้ามาหาทันที
“อ๋อ ฉันพาเพื่อนมาดูรอบๆนี้นะ”
“เพื่อนของเธองั้นหรือ”