โปรดเรียกผมว่า วีรบุรุษรีไซเคิล - ตอนที่ 135
RC:บทที่ 135 ความคิดถึง
“เขาจะทำได้ไหมนะ”
หลังจากที่ญาติผู้น้องจื้อเฉิงกลับไปแล้วนั้น จ่าฝูงหมาป่าขาวก็เข้ามาหาหลินเฟิงตรงที่ที่จื้อเฉิงเพิ่งเดินออกไป
“ไม่รู้สิ เฮ้อ อยากจะโทรหาตู๋ กังจังเลยแต่เขากำลังคุมงานอยู่นี่สิ ไม่มีเวลาแล้วด้วย” หลิน เฟิงถอนหายใจ
“ท่านผู้เฒ่า ท่านยังสบายดีอยู่ใช่ไหม แล้วเราจะเริ่มกันได้เมื่อไหร่” หลิน เฟิงถามขึ้น
มังกรดำของหลิน เฟิงนั้นเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ซานหลงนั้นก็ได้ชำระล้างเลือดของมันจนบริสุทธิ์จนกลายเป็นมังกรทองคำ พละกำลังมีมากขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าเพิ่มจ่าฝูงหมาป่าขาวและญาติผู้น้องของเขาจื้อเฉิงเข้าไปด้วยล่ะก็ ก็จะสามารถท้าสู้กับพลังระดับบีทั้งสามนั้นได้เลย
พวกเขาต่างเข้ายึดครองหุบเขาของจ่าฝูงหมาป่าเป็นเวลาหลายวันแล้วและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาไปแล้วหรือยัง พวกเขาอาจจะเอาไปด้วยหรือไม่ก็ทำลายต้นไม้จิตวิญญาณเหล่านั้นไป
“คงต้องรออีกสักสองสามวัน ส่วนตอนนี้ เจ้าคงต้องฝึกฝนจื้อเฉิงให้ได้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่ดียิ่งขึ้น และพอถึงเวลานั้น เราก็จะได้ไม่ต้องขอให้เขาช่วยเหลืออะไรมากนัก ตราบใดที่เขายั้นควบคุมคู่หูนั้นได้อยู่บ้าง” จ่าฝูงหมาป่าขาวกล่าวขึ้น
“เอาล่ะ แบบนั้นก็ดีเลย งั้นอย่างแรก เราไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ ส่วนเรื่องอื่น เดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการเอง” หลิน เฟิงว่าขึ้น
หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น หลิน เฟิงก็เดินกลับบ้าน แต่ถึงแค่หน้าประตูเท่านั้น เขาก็เห็นว่าประตูเหล็กแผ่นใหญ่นั้นกระเดอะออกมา
เขาเดินเข้าไปดูแล้วจึงเห็นว่าประตูนั้นทั้งโดนสนิมกินและมีรอยร้าว
ประตูบานนี้อยู่มาก็เกือบจะสิบปีแล้ว ตั้งแต่ที่เขาเรียนอยู่มัธยมต้น คาดไม่ถึงเลยว่าเพียงพริบตาเดียว ก็ผ่านไปถึงสิบปีแล้ว
ตามกรอบประตูนั้น หลิน เฟิงเห็นบ้านเก่าๆที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวบนก้อนอิฐเรียงตัวกันขึ้นไป แล้วหลังจากผ่านไปห้าหรือหกปี ก็ไม่ได้รับการตกแต่งอีกเลย
“ใช้ประโยชน์จากเงินและเวลาสิ หาใครสักคนมาตกแต่งประตูพวกนี้แล้วเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ใหม่ซะ แล้วทำไมนายไม่สร้างบ้านใหม่ไปเลยนะ” หลิน เฟิงคิดในใจ
แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องคุยกับพ่อแม่ของเขาก่อน หลิน เฟิงจึงกลับบ้านเพื่อไปคุยกับพ่อแม่ตนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที
“ไม่มีทาง”
เมื่อพ่อแม่ของเขาได้ยินว่าหลิน เฟิงกำลังจะทำลายบ้านหลังดังกล่าวเพื่อสร้างขึ้นมาใหม่นั้น พวกเขาก็คัดค้านทันที
“ลูก การหาเงินมาได้สักหยวนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เอาไปทำอย่างอื่นเถอะ ไม่ต้องทำใหม่หรอก นอกจากนี้ พวกเราก็เคยชินกับบ้านหลังนี้เสียแล้ว แล้วก็ไม่อยากไปไหนด้วย” ผู้เป็นแม่ว่าขึ้น
“นั่นน่ะสิ สร้างใหม่ก็ต้องแพงอยู่แล้ว หรือถ้าไม่งั้นเราก็ตกแต่งเล็กๆน้อยๆ เพราะถึงแม้ว่ารูปแบบของบ้านนี้นั้นจะล้าหลังไปนิด แต่เราก็อยู่กันมาจนชินแล้ว” เมื่อพ่อและแม่ไม่ต้องการทำบ้านใหม่ หลิน เฟิงก็ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงสัญญาว่าจะตกแต่งบ้านให้แทน
“อืม งั้นก็ตกแต่งเอาก็ได้ครับ” หลิน เฟิงว่าขึ้น
จริงๆแล้ว หลิน เฟิงเองก็อยากจะบอกกับพ่อแม่ของเขาว่าเขาทำเงินได้แล้ว แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงยังไม่พูด ในที่สุด หลิน เฟิงจึงหยิบบัตรสองใบเอาให้พ่อแม่ตน
“เสี่ยวเฟิง นี่มันบัตรอะไรกันลูก ลูกเอาอะไรมาให้พ่อกับแม่” ผู้เป็นพ่อถามขึ้นด้วยความรู้สึกงุนงง
“พ่อครับ แม่ครับ ผมทำเงินจากธุรกิจมาได้บ้าง และในบัตรนี้ก็มีอยู่ 200000 หยวน เอาไว้ให้พ่อกับแม่ซื้อของใช้ เอาไว้กินดื่มก็ได้ เพราะช่วงเวลาปกติผมจะยุ่งๆและแทบไม่ได้กลับบ้านเลย พ่อกับแม่อยู่ที่บ้านจะได้ซื้ออาหารได้มากขึ้นครับ” หลิน เฟิงกล่าว
“เฮ้อ ลูกรัก การทำธุรกิจน่ะจำเป็นต้องใช้เงินนะ แล้วลูกเอามาให้พ่อกับแม่ทำไมกัน พ่อกับแม่น่ะเราไม่ได้กินอะไรกันเยอะหรอก กินไม่หมดด้วย เอากลับไปเถอะลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยเตือน
พ่อกับแม่เป็นคนประหยัดอดออม ไม่ได้เต็มใจที่จะสวมใส่เสื้อผ้าหรือกินอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ใช้จ่ายอะไรที่เป็นเรื่องจุกจิก
“อ่ะ เอาไปเถอะ นี่ก็ถือว่าเป็นจิตใจของลูกเหมือนกัน หรือถ้าลูกไม่มีเงินจริงๆ ก็ค่อยคืนให้เขา เพราะคนที่เก็บสมควรเป็นเธอ” พ่อของเขาพูดขึ้น
ส่วนแม่ของเขานั้นเมื่อได้ฟังในสิ่งที่พ่อกำลังพูดอยู่นั้น แม่ก็อึ้งไปเมื่อรู้ว่านี่คือบัตรของหลิน เฟิง
“ถ้าอย่างงั้นให้แม่เก็บไว้ให้ลูกก่อน จากนั้นค่อยเอาออกไปเมื่อหาสะใภ้มาร่วมหอลงโลงได้แล้วกัน ฮิๆ” ผู้เป็นแม่พูดขึ้นพลางยิ้มๆ
“โห แม่ แต่ถ้าลูกมีเงินให้ใช้แล้ว แม่ก็ใช้ไปเถอะ” หลิน เฟิงอยากจะร้องไห้แบบไม่มีน้ำตาออกมาเสียจริง และหลังจากผ่านไปนานแล้วนั้น แม่ของเขาก็พูดว่าเขาจะต้องหาสะใภ้ แล้วตบแต่งกันเสียให้เรียบร้อยในภายภาคหน้า
“แล้วก็นี่ ลูกจ๊ะ ลูกกับเด็กสาวคนนั้นเป็นยังไงกันบ้าง แม่คิดว่าเธอน่ะดีมากเลยนะ ผิวก็เนียน ทั้งขาว ดูมีเสน่ห์และก็น่ารักจริงๆ ทั้งยังคอยคำนึงถึงคนอื่นด้วย แม่เห็นเลยล่ะว่าเธอชอบลูกมากๆเลยนะ แล้วลูกก็ต้องดูแลเธอให้ดีด้วยล่ะ” ผู้เป็นแม่กล่าวขึ้น
“ครับ แม่ ผมรู้ครับ แต่ตอนนี้การงานของผมกำลังไปได้สวยเลย ยังไงงานก็สำคัญกว่าครับ ก็ต้องรอจนกว่าผมจะรู้สึกทุกอย่างเข้าที่กว่านี้น่ะครับ” หลิน เฟิงโต้กลับไป
“เฮ้อ ลูก ผู้หญิงดีๆเดี๋ยวนี้มันเหลือน้อยแล้วนะจ๊ะ แม่รอไม่ไหวแล้ว นี่ถ้าลูกได้แต่งงาน ลูกชายทั้งหมดของลูกก็คงเข้าอนุบาลไปแล้ว” ผู้เป็นแม่กระซิบกระซาบ
“นี่ๆ เสี่ยว เฟิงไม่ใช่เด็กแล้วนะ จำเอาไว้สิ” ผู้เป็นพ่อที่อยู่ข้างๆว่าขึ้น
“เฮ้อ แล้วต้องทำอย่างไรลูกถึงจะแต่งงานกันน้า เสี่ยวเฟิงก็ยี่สิบกว่าแล้ว ถึงคุณไม่อยากอุ้มหลานชายแต่ฉันอยากนี่”
“ใครไม่อยากจะมีหลานชายกันล่ะ พ่อก็อยากอุ้มนา แต่มันอาจจะเป็นการเร่งเร้าลูกเกินไป”
“แม่รอไม่ไหวแล้วนะที่จะให้ลูกแต่งงาน…”
หลิน เฟิงเองก็นึกไม่ถึงว่าจะได้พูดคุยถึงเรื่องของตน เขาบอกไปแล้วว่าเรื่องนี้ก็ขอให้พ่อแม่เป็นธุระจัดการให้ก็แล้วกัน แล้วเขายังได้โอกาสเหมาะที่จะปลีกตัวออกมาอย่างไว
“ในที่สุดก็หลุดออกมาได้” หลิน เฟิงว่าขึ้น
“ไม่รู้เลยว่าเธอเป็นยังไงบ้าง ฉันกลับมาบ้านพักนึงแล้ว ไม่รู้เลยว่าเธอกลับมาหรือยัง” หลิน เฟิงหยิบมือถือขึ้นมาก่อนจะเปิดรายชื่อผู้ติดต่อพลางมองชื่อของเด็กสาวคนนั้น
เขาอยากจะกดมันจริงๆ นิ้วโป้งมาจ่ออยู่ที่หน้าจอแล้ว แต่เขายังไม่ได้กดลงไป
“นี่ เอาน่า ถ้าเธอกลับมาแล้ว เดี๋ยวก็คงติดต่อกลับมาเองแหละ” หลิน เฟิงพูดขึ้นในขณะที่มองชื่อนั้น
ในขณะที่อีกฝั่งนั้น ณ สถานที่ห่างไกลออกไปนั้น มีตึกสูงมากมายที่มีลักษณะเรียบง่ายและสูงเสียดฟ้า
ที่แห่งนี้ ตึกที่สูงที่สุดราวกับเจดีย์นั้น มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆหน้าต่างพลางถือมือถือไว้ในมือก่อนจะมองไปยังดาวอันแสนไกลโพ้น แต้มด้วยแววตาแห่งความคิดถึง
“หลังจากนั้น ทำไมคุณถึงไม่ติดต่อฉันมาเลยล่ะ” ในขณะที่มองชื่อที่อยู่บนมือถือ เด็กสาวก็กล่าวกับตัวเธอเอง “พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องไปทำพันธสัญญาแล้วแท้ๆ แล้วพันธสัญญานั่นจะสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะรอดหรือตายก็ยังไม่รู้ ฉันคิดถึงคุณเหลือเกิน”
“ถ้าฉันทำไม่สำเร็จ ฉันก็จะไม่ได้กลับมา คุณจะลืมฉันไหมนะ แต่ถ้าฉันทำได้สำเร็จแล้วกลับไปไม่ได้ ก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว” เด็กสาวคนดังกล่าวพูดกับตัวเองพร้อมน้ำตาที่คลอก่อนจะไหลหยดลงบนพื้น
“พี่หว่านเอ๋อร์” ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะที่ด้านนอกของประตู
“พี่หว่านเอ๋อร์ พี่อยู่ในนั้นหรือเปล่า” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“พี่อยู่ในนี้ มีอะไรหรือเปล่า” ซู หว่านเอ๋อร์รีบปาดน้ำตาให้แห้งก่อนจะเปิดประตู
“พี่หว่านเอ๋อร์ พี่สบายดีนะ” คนที่เข้ามาเป็นเด็กสาว อายุสิบแปดหรือสิบเก้าปี เมื่อเห็นดวงตาแดงเรื่อของหว่านเอ๋อร์ เธอจึงเอ่ยถามขึ้น
“เด็กสาวคนดังกล่าวทักเปีย แต่งหน้าเบาๆ และเธอก็เป็นคนสวยมากเพราะปรากฏรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์อยู่บนใบหน้า ซึ่งทำให้รู้สึกอุ่นใจ
“พี่…พี่สบายดี เธอมีอะไรหรือเปล่า” ซู หว่านเอ๋อร์เอ่ยถาม
“หืม หนูเกือบลืมไปได้ยังไง คุณหมอบอกว่าพี่ควรตรวจสุขภาพอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าจะไม่มีปัญหาในตัวพันธสัญญาพรุ่งนี้น่ะค่ะ” เด็กสาวว่าขึ้น
“พวกเขาก็เช็คไปสองครั้งแล้วไม่ใช่หรือ” เธอว่าขึ้นอย่างร้อนรน
เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เธอได้รับการตรวจไปแล้วถึงสองครั้งนับตั้งแต่ที่มาที่นี่ และแต่ละครั้งก็ทำเอาเธอไม่สบายตัวเอามากๆ เธอจึงรู้สึกแหยงไปเลย
“คือว่า ครั้งนี้ คุณหมอบอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย…”