ระบบร้านค้าออนไลน์ - ตอนที่ 129
TB:บทที่ 129 มวยใต้ดิน (1)
“เสี่ยวเฉิน ผมเจอคนที่โดดเด่นแบบคุณมามากมายในชีวิตแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคุณแบบคุณ” ซูชิงเฟิ่งมองเฉินหลงด้วยความรู้สึกบางอย่าง
หยกชิ้นที่เหลือทั้งสามชิ้นของเฉินหลงต่างก็มีแร่หยกล้ำค่าที่อยู่ภายใน ซูชิงเฟิ่งจึงชื่นชมสายตาของเฉินหลง เมื่อได้ยินคำชมจากซูชิงเฟิ่ง เฉินหลงก็ถามอย่างสงสัยว่า
“คุณซู ผมเป็นคนประเภทไหนหรอครับ? ผมแตกต่างจากคนที่คุณพูดถึงหรอครับ?”
“เอ่อ ผมรู้สึกถึงออร่าแปลกๆรอบตัวคุณ เหมือนกับว่าคุณเกิดมาเหนือพวกเรา” ซูชิงเฟิ่งมองเฉินหลงอย่างระแวดระวัง
“ไม่ได้หมายความว่าคนแบบผมเกิดมาเป็นจักรพรรดิเหมือนในสมัยก่อนหรอกนะครับ?” เฉินหลงพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูชิงเฟิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่กลับพยักหน้าอย่างจริงจัง
เฉินหลงจงใจส่ายหัวด้วยสีหน้าที่เศร้าบ่นตลก
“โถ! ผมเกิดมาผิดยุคหรือนี่ มิเช่นนั้นแล้วผมคงจะได้เป็นจักรพรรดิปกครองประชาชนนับล้าน
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ? นี่คุณยังคิดถึงสามพระตำหนักหกหมู่เรือน 72 พระสนม(三宫六院 七十二妃)อยู่อีกหรอ? ” อยู่ๆจี้โม่ซีก็พูดขึ้นมา
มุมมองของหญิงสาวกับเหตุการณ์ตอนนี้มันช่างแตกต่างกับผู้ชายอย่างเราเสียจริง
“เอ่อ ผมแค่พูดเล่นนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของจี้โม่ซี เฉินหลงก็แสดงออกอย่างหมดหนทาง เรื่องที่เกิดขึ้นจึงทำให้ต้อง[1]กินน้ำส้มสายชูด้วยความรู้สึกที่หึงหวงมากไป
[1]เรื่องเล่าในสมัยราชวงศ์ถัง ว่า’มีขุนนางผู้หนึ่งได้ทำความดีความชอบ ฮ่องเต้จึงได้ประทานสาวงามให้แก่เขา แต่ภรรยาของขุนนางเป็นคนขี้หึงจึงไม่ยอมรับ จึงทำฮ่องเต้ไม่พอพระทัยสั่งให้ภรรยานางนั้นเลือกว่าจะยอมรับหญิงคนนั้นหรือจะกินยาพิษ ซึ่งจริงๆแล้วมันคือน้ำส้มสายชูเนื่องจากฮ่องเต้ต้องการพิสูจน์ว่าภรรยาของขุนนางจะอุทิศตนให้ชายผู้เป็นที่รักได้หรือไม่ การน้ำส้มสายชูจึงเป็นตัวแทนของการหึงหวงหรือความโรแมนติก [2]三宫六院 七十二妃 ที่อยู่ของพระสนม
เมื่อมองไปที่เฉินหลง ซูชิงเฟิ่งถึงกับยิ้ม ส่วนเฉินหลงหลังจากที่พูดโต้จี้โม่ซีไปสองคำ เขาก็รีบพูดกับซูชิงเฟิ่งว่า
“คุณซู จริงๆแล้วคุณก็มีสายตาที่ไม่เลวเลยนะครับ แถมยังมีพ่อบ้านโจวคอยช่วยอีก”
คนปกติธรรมดาปล่อยให้ปรมาจารย์ขอบเขตกำเนิดมาเป็นพ่อบ้าน ซูชิงเฟิ่งคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“จริงๆแล้ว มันเหมือนเป็นโชคชะตาที่ทำให้ผมได้มาเจอกับต้าวฝานตอนที่ผมอายุได้ 30 ปี ผมเจอกับต้าวฝานในการแข่งมวยใต้ดิน ตอนนั้นเขาได้เข้าร่วมต่อยมวยด้วยแถมยังตัวเล็กกว่าคุณตอนนี้อีก ส่วนเรี่ยวแรงก็น้อยกว่าคุณเยอะ แต่เมื่อถึงเวลาที่เขาสู้ เหมือนกับเสือที่หลุดออกมาจากกรง ทั้งดุร้ายและหาตัวจับได้ยาก ถึงอย่างไรพละกำลังของเขาตอนนั้นยังไม่แข็งแกร่ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่กล้าหาญ แต่ก็ไม่สามารถชดเชยเป็นความแข็งแกร่งที่เขามีไม่มากพอได้ ในการแข่งขัน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นสำหรับนักมวยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสถือว่าไม่มีราคามูลค่าสำหรับมวยใต้ดินแล้ว ยังมีคนอีกมากมายที่แข็งแกร่ง ดังนั้น เขาจึงถูกทิ้งอย่างไร้ความปราณี จากนั้นก็ปล่อยให้ไปมีชีวิตหรือไม่ก็ตาย” ซูชิงเฟิ่งหวนคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี ซึ่งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึง
ตอนนี้ โจวต้าวฝานหรือพ่อบ้านโจวคนที่อยู่เคียงข้างซูชิงเฟิ่งพูดว่า
“เป็นโชคดีของผมมากที่นายท่านเอาใจใส่ผมขนาดนี้ หลังจากที่ผมโดนต้นสังกัดโละทิ้ง นายท่านก็ได้ช่วยผมไว้ เขาขอให้หมอที่ดีที่สุดมาดูอาการ รักษาและให้ยาที่ดีที่สุดกับผม ตอนนั้นผมสาบานกับตัวเองว่า ทั้งชีวิตของโจวต้าวฝานจะเป็นของนายท่าน ไม่ว่าใครที่ต้องการทำร้ายเขาต้องข้ามศพเขาไปก่อน”
“ต้าวฝาน นายกับฉันเกิดที่เมืองเดียวกันแล้วก็เป็นพี่น้องกันมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงยังเรียกฉันแบบนี้อีก?” ซูชิงเฟิ่งมองชีวิตที่หมดหนทางและเหมือนเกือบตายที่ผ่านมาหลายปีของเขา ความรู้สึกที่เป็นเหมือนพี่น้องยังคงเหมือนเดิม แต่เหตุใดโจวต้าวฝานมักเรียกตนว่านายท่านเสมอ
“นายท่าน ผมเรียกแบบนี้มาก็หลายปีแล้วนะครับ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของโจวต้าวฝาน “มีการแข่งมวยใต้ดินจริงๆหรอค่ะ? ” จี้โม่ซีถามด้วยความอยากรู้
จี้โม่ซีรู้เพียงว่าการชกมวยและ[3]สานต่า (散打) มักจะถ่ายทอดสดทางทีวี แต่มวยใต้ดินเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้คนที่เคยผ่านการต่อสู้ของมวยใต้ดินมาก่อนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว มันจึงทำให้เธอยากรู้อยากเห็นมาก
เมื่อโจวต้าวฝานเห็นว่าจี้โม่ซีอยากจะรู้เรื่องมวยใต้ดิน เขาจึงอธิบายให้เธอฟังง่ายๆว่า
“แน่นอนว่ามีที่นึงในเซียงเจียงครับ มวยใต้ดินจะไม่เหมือนการแข่งชกมวยทั่วไป พวกเขาไม่มีกฎ เว้นแต่ห้ามใช้อาวุธ จนกว่าอีกฝ่ายจะตายหรือสูญเสียประสิทธิภาพนการต่อสู้ การแข่งขันก็จะจบลงทันที”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากโจวต้าวฝาน จี้โม่ซีก็รู้ว่ามันดูไร้ปราณี สีหน้าของเธอจึงแสดงออกอย่างเวทนา
“มวยใต้ดินโหดขนาดนี้แล้ว ทำไมยังมีนักมวยเข้าไปแข่งละคะ? พวกเขาถูกบังคับหรอคะ?”
คำพูดของจี้โม่ซีเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา จนทำให้โจวต้าวฝานอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“ถึงแม้ว่ามวยใต้ดินจะไม่มีกฎ บางครั้งก็มีคนตาย แต่นักสู้ที่เข้าร่วมสมัครใจเข้าไปเองทั้งนั้น นักสู้บางคนอยากจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองด้วยการเดิมพันระหว่างชีวิตกับความตาย บางคนยินดีที่จะเป็นคนที่ถูกฆ่า และมีนักสู้บางคนเข้าร่วมการแข่งขันเพราะเงินและโบนัส”
“ตอนนี้ยังมีมวยใต้ดินเหลืออยู่ไหมคะ?” จี้โม่ซีไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร จู่ๆเธอก็ได้ไอเดียว่าอยากจะไปดูกับตา
“ยังมีครับ ตอนผมมีเวลา ผมก็จะไปดูกับนายท่าน คืนนี้ก็มีมวยใต้ดินนะครับ ถ้าพวกคุณสนใจ พวกเราก็ไปด้วยกันเลย” โจวต้าวฝานมองจี้โม่ซีและพูดกับเธอ
การชกมวยใต้ดินไม่เหมือนการแข่งทั่วไปและไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปดูได้
จี้โม่ซีมองเฉินหลง หากเฉินหลงไม่ตกลงไปด้วย เธอก็คงไม่ไป
“ผมก็สนใจมวยใต้ดินเหมือนกันครับ งั้นเย็นนี้พวกเราก็ไปดูด้วยกันเถอะครับ” เมื่อเป็นคำขอจากจี้โม่ซีแล้ว แน่นอนว่าเฉินหลงไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนบวกกับที่เขาไม่เคยเห็นการชกมวยใต้ดินมาก่อน เขาจึงตอบตกลงไปทันที
การแข่งขันการชกมวยใต้ดินเริ่มตั้งแต่เวลา 6 โมงเย็นเป็นต้นไป หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถกันครบทุกคนแล้ว โจวต้าวฝานก็สตาร์ทรถและออกเดินทางไปพร้อมกับเฉินหลง ซูชิงเฟิ่งและจี้โม่ซี
20 นาทีผ่านไป โจวต้าวฝานก็ได้ขับมาถึงโกดังขนาดใหญ่ที่อยู่ติดทะเล
หลังจากที่ลงมาจากรถกันแล้ว โจวต้าวฝานก็เดินไปที่ประตูโกดังและทุบไปที่ประตูสามครั้ง
มีช่องเล็กๆที่ประตูโกดังเปิดออกและคนที่อยู่ในช่องเล็กๆนั้นมองออกมาจนเห็นกับโจวต้าวฝาน
ชายวัย 30 ปีพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขาโค้งให้โจวต้าวฝานกับซูชิงเฟิ่งและพูดว่า
“คุณซู คุณโจว เชิญเข้ามาข้างในครับ วันนี้เรามีชกทั้งหมดสามแมตช์ครับ นักมวยพลังเยอะและดูยอดเยี่ยมมากครับ”
โจวต้าวฝานมองเฉินหลงและหันไปพูดกับคนชายคนนั้นว่า
“พวกเขาเป็นแขกของนายท่าน”
“สองที่ครับ” ชายคนนั้นให้ไปมองเฉินหลงทันที และพบว่ามีอีกสองคนที่กำลังยิ้มให้อยู่
“ผมล้อเล่นครับ ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณซูอยู่ในฐานะใดในเซียงเจียง แน่นอนว่าเขาเป็นแขกของคุณซูที่ไม่สามารถละลาบละล้วงได้”
หลังจากที่ทั้งสี่คนได้เข้ามาในโกดังแล้ว ประตูก็ได้ถูกปิดลงทันที
โกดังที่นี้มีขนาดใหญ่มากแต่ก็ไม่ได้มีที่ว่างมากนักเพราะยังมีสินค้าบางอย่างอยู่ในนี้
ตามทางที่เดินไปได้มีชายเดินนำพวกเขาทั้งสี่ เขาได้เดินนำเฉินหลงมาที่ประตูเหล็กบานเล็ก เขาใช้กุญแจไขประตูและเปิดประตูออก จากนั้นเขาก็พาเฉินหลงและอีกทั้งสามคนผ่านเข้าไปในประตู
หลังจากที่ผ่านประตูเหล็กเข้ามาแล้วก็พบกับทางลงบันได เฉินหลงได้ยินเสียงบางอย่างดังเข้ามาในหู ฟังแล้วดูเหมือนจะมีสเตเดียมอยู่ใต้บันไดนี้จริงๆ แล้วก็พบกับทางลงบันไดซึ่งทางบันไดนี้ไม่ยาวมากนักเพราะมีเพียงแค่สิบขั้นเท่านั้น และเมื่อเดินลงบันไดมาแล้วก็ต้องเจอกับประตูที่อยู่ตรงหน้า
ชายที่นำทางมาเดินไปที่ประตูและเปิดออกพร้อมกับเชิญแขกทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว