ระบบร้านค้าออนไลน์ - ตอนที่ 164
TB:บทที่ 164 สองกรณี
“หากว่าแพ้ ก็คือแพ้ พลังของพี่ฉือช่างห่างชั้นกว่า ผมยอมรับความพ่ายแพ้”
จางเฟิงหยานหยิบดาบเขาและกล่าวออกไป
เฉินหลงยิ้มให้เข้าก่อนจะเดินไป
“พี่ฉือ พี่เก่งมากเลย”
“พี่ฉือ นั่นคือระฆังทองที่หายไปหลายร้อยปีจริงๆหรือ”
“พี่ฉือ พี่อยากมาบ้านพักร้อนของผมไหม”
“พี่ฉือ ถ้าพี่ไม่อยู่ที่นี่วันนี้ พวกเราคงตกอยู่ในอันตราย หากจะเชิญมากินข้าวสักมื้อจะได้ไหมครับ”
……
ในตอนสุดท้าย จู่ๆพวกเขาก็ต้อนรับเฉินหลงราวกับเขาเป็นยอดมนุษย์
“หวังเจียน ฝีมือดาบของนายช่างทรงพลัง หากพลังอยู่ในระดับเดียวกับเขาละก็ เขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้นายเลย” เฉินหลงยิ้มให้กับศิษย์ของครอบครัวคนที่เชิญเขามา เฉินหลงเดินไปหาหวังเจียนและกล่าวไป
คำของเฉินหลงไม่ได้เป็นเชิงชื่นชมทว่าเขารู้สึกจริงๆว่าพลังของหวังเจียนแข็งแกร่งมากเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะระดับพลังที่ไม่สูงแล้ว จางเฟิงหยานคงไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา
“ผมรู้ แต่ผมอยากสู้กับคุณที่สุด ผมอยากรู้ว่ามีดของผมจะตัดผ่านระฆังทองได้ไหม” หวังเจียนว่าอย่างมั่นใจ
เป็นปกติของผู้ใช้ดาบ ที่หากไม่มีความมั่นใจแล้วก็ไม่สามารถใช้ดาบของตัวเองได้เลยไม่ว่าจะว่องไวหรือบ้าคลั่งแค่ไหน ดังนั้นแล้วแม้เขาจะแพ้แต่เขายังคงมีความมั่นใจและเชื่ออยู่ว่าครั้งต่อไปเขาจะชนะ
“ฮ่าฮ่า หากอยากสู้กับฉัน นายต้องพัฒนาพลังตัวเอง หรือไม่เช่นนั้นนายจะยังตัดผมสักเส้นไม่ได้ด้วยพลังที่มีอยู่ตอนนี้” เฉินหลงตบบ่าหวังเจียนและกล่าวอย่างเชื่อมั่น
เฉินหลงในตอนนี้มีพลัง “ระฆังทอง” ระดับสิบเอ็ดแล้ว และแม้จางเฟิงหยานที่ใช้พลังระดับกำเนิดได้ยังทำลายพลังนี้ไม่ได้ พลังของหวังเจียนช่างยอดเยี่ยม หากเป็นตามปกติแล้วผมของเขาคงโดนตัดไปบ่อยๆ
“ต่อสู้หรือ ตอนนี้ผมคงยังสู้คุณไม่ได้ ผมอยากเลี้ยงเครื่องดื่มคุณ ไม่แน่ใจว่าคุณอยากจะไปด้วยหรือไม่”
หวังเจียนคิดว่าเฉินหลงเป็นคนอารมณ์ดี เขาจึงอยากจะเป็นเพื่อนกับเฉินหลง
หวังเจียนทำให้เฉินหลงนึกถึงพวกคนที่กินเนื้อและดื่มในถ้วยใหญ่ๆ และตามธรรมชาติแล้วเฉินหลงไม่ปฏิเสธเขา “แน่นอน ฉันไม่มีปัญหาอะไรที่จะไปดื่ม ฉันกลัวมากกว่าว่านายจะไม่ไปดื่มกับฉัน”
“ไม่ต้องกังวลไป ถึงพลังของผมยังไม่ดีเท่าคุณแต่ถ้าดื่ม ผมไม่แพ้คุณหรอก”
สิ้นคำ หวังเจียนและเฉินหลงก็รีบออกไปโดยไม่รีรอซ่งเจิ้งและจางเฟิงหยาน
ซ่งเจิ้งเห็นหวังเจียนและเฉินหลงออกไปแล้ว เขา พวกสกุลเก่าแก่ และพนักงานจัดงานทุกคนต่างนิ่งอึ้งไป อย่าว่าอย่างไรเลย แต่คนที่เปล่งประกายที่สุดสองคนในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนออกไปดื่มด้วยกันโดยไม่สนใจอะไร ช่างเป็นเรื่องที่พิเศษ
แต่อย่างไรก็ตามแต่เฉินหลงและหวังเจียนไม่ได้ใส่ใจว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร ตอนนี้พวกเขาชื่นชมกันและกัน หากพวกเขาอยากดื่ม พวกเขาจะไปดื่ม
แม้เฉินหลงและหวังเจียนออกไปแล้วแต่ยังมีคนอยู่ที่นั้น พนักงานจัดงานจึงเตรียมอาหารให้คนพวกนั้นได้กิน ได้อยู่ต่อ และหาหมอมาให้
และถึงแม้ว่าซ่งเจิ้งต้องการจะดื่มกับเฉินหลงและหวังเจียน ทว่าสุดท้ายแล้วสกุลเก่าแก่ทั้งสี่ก็เป็นกำลังหลักในการจัดงานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี้ และพวกเขาควรจะอยู่เพื่อช่วยเหลือสถานการณ์
ในอีกด้านหนึ่ง พรรคพวกกองกำลังชาวต่างชาติ ผู้เป็นนักสู้ทั้งหลายที่โดนมีดและมีบาดแผลจากการโจมตีของหวังเจียน ก็ได้ส่งตัวไปรักษา แต่อย่างไรเสียจางเฟิงหยานปฏิเสธการรักษาและกลับไปคนเดียว
หลังจากจางเฟิงหยานออกจากมหาวิทยาลัย เขาขึ้นรถโรลซ์รอยซ์แฟนท่อมสีดำและขับออกจากมหาวิทยาลัย
ไม่นานรถคันนั้นก็ขับมาถึงโรงแรมชื่อดังห้าดาวในปักกิ่ง
จางเฟิงหยานออกจากรถและเดินเข้าไปในโรงแรม
หลังจากที่เขาเข้ามาแล้ว คล้ายกับว่าเขากำลังมาตรวจสอบโรงแรมชื่อดังนี้ เพราะพนักงานทุกคนที่พบหน้าเขาไม่ว่าจะเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือผู้จัดการทุกคนต่างโค้งคำนับอย่างนับถือและทักทายเขาว่า “สวัสดีครับ คุณจาง”
ก่อนหน้าจางเฟิงหยานคงพยักหน้าทักทายกลับด้วยรอยยิ้มแต่ในตอนนี้ที่เขาทรมานอย่างมากจากบาดแผลบาดเจ็บภายใน ทำให้เขามาไม่มีเวลาจะแสร้งตอบกลับไป เขาตรงไปยังลิฟต์พิเศษและขึ้นไปยังชั้นที่มีห้องสวีทพิเศษอยู่
หลังออกมาจากลิฟต์แล้ว จางเฟิงหยานเดินเข้าไปยังห้องสวีทพิเศษ
“อ้าว เจ้าชายของเรา ไปรังแกคนไม่มีทางสู้เป็นอย่างไรบ้าง” จางเฟิงหยานเดินเข้าไปในห้องพิเศษ ชายคนหนึ่งในชุดสีฟ้าและมีรอยสักสามเหลี่ยมสามอันอยู่ตรงมุมหนึ่งของตาหยอกล้อจางเฟิงหยาน
“หมอคนเก่ง อย่ามัวแต่นั่งสิ ฉันบาดเจ็บขนาดนี้ ถ้าไม่ช่วยฉัน นายช่วยมาดูหน่อย” สายตาไร้อารมณ์ของชายคนนั้นมองจางเฟิงหยานอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงไป นายแค่มีอาการช็อกนิดหน่อยจากการบาดเจ็บตรงช่วงท้อง กินยานี่แล้วพักผ่อนสักสองสามวัน ยานี่ไม่ฆ่านายหรอก” ชายคนนั้นว่า
“ตามที่นายว่าเลย”
จางเฟิงหยานเดินไปที่โซฟาและนั่งลง
“บอกมาสิ ใครทำร้ายนาย” ชายคนนั้นรีบนั่งลงในระดับสายตา
จางเฟิงหยานส่ายหน้าและกล่าว “ฉันไม่รู้ตัวตนเขา รู้เพียงแต่ชื่อว่าคือฉือเฮยหู เขาฝึกฝนสกิล “ระฆังทอง” ที่หายไปหลายร้อยปี ฉันว่าเขาคงไปถึงระดับสิบเอ็ดแล้ว”
สำหรับฉือเฮยหูอย่างจางเฟิงหยานแล้ว เขาจำเรื่องนี้ได้ชัดเจน สามารถทำลายฉีที่ป้องกันตัวเขาได้และส่งพลังตอบโต้ใส่ช่องท้องเขา พลังนั้นคงทรงพลังมาก
“ระฆังทองหรือ หาก พวกพระไม่มีเหตุผลที่บ้าคลั่งพวกนั้นรู้เข้าว่า “ระฆังทอง” ปรากฏมา นายคิดว่าพวกนั้นจะมาแย่งมันไปไหม” ชายในชุดสีฟ้าเผยยิ้มร้าย
จางเฟิงหยานมองเพื่อนเขาที่มีความรู้อย่างมากทางการแพทย์และศิลปะการต่อสู้ เขาคือหลานรีเย่ หนึ่งในแปดของพวกหนทางปีศาจ เขาเกรงว่าโลกนี้คงวุ่นวาย
แต่อย่างไรก็ตามจางเฟิงหยานชอบคนแบบเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
พวกเขาเพียงสองคนจากแปดคน ที่กลับมาได้จากแปดกลุ่มแห่งหนทางปิศาจ
“ทำไมนายมองฉันแบบนั้น ทำไมคนอย่างเทียนเจีย จ่งที่หวังว่าโลกนี้จะโกลาหลกว่าที่เป็นอยู่เป็นเรื่องดี ที่พูดแบบนั้นเพราะนายไม่ได้ชอบเงินมากมายแต่จะหาโอกาสทำเงินงั้นหรือ” หลานรีเย่ไม่ชอบใจนักกับสายตาที่จางเฟิงหยานมองเขา
จางเฟิงหยานพยักหน้าและกล่าว “เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน นายรู้จักฉันดีเกินไป แต่นายช่วยฉันเรื่องนี้ได้ ฉันรู้สึกเหมือนจะตาย”
จางเฟิงหยานเป็นทายาทของเทียนเจียจ่ง กลุ่มของผู้ใช้เวทย์มนต์ทั้งแปด เมื่อใครได้ยินชื่อเทียนเจียจ่งแล้วเขาคงรู้อยู่ว่ากำลังทำอะไร แต่อย่างไรก็แล้วแต่ พวกเขาทำธุรกิจกัน เนื่องจากทำเป็นกลุ่มๆหากไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจแล้วคงไม่มีการพัฒนาใดๆ หากประเทศใดไม่มีทางทำเงินของตนแล้วคงโดนประเทศอื่นกลืนกินไปไม่ช้า ดังนั้นแล้วหนทางปิศาจจะเกิดขึ้นโดยเทียนเจียจ่ง
หลายปีที่ผ่านมาเทียนเจียนจ่งได้เริ่มทำธุรกิจในต่างประเทศและมีธุรกิจมากมาย อย่างเช่นโรงแรมนี้ ที่เป็นทรัพย์สินของเทียนเจียนจ่ง และเพราะจางเฟิงหยานเป็นทายาทของเทียนเจียนจ่งคงเป็นธรรมดาที่เขาจะเป็นที่นับถือในโรงแรมนี้
หลานรีเย่เป็นทายาทของกลุ่มแม่มดแพทย์ที่ไม่เพียงช่วยเหลือผู้คนแต่ยังฆ่าคนอีกด้วย อีกอย่างหนึ่งคือเขามีฝีมือทางการแพทย์ที่ทรงพลัง หลานรีเย่มีความสามารถยอดเยี่ยมในเรื่องยาพิษ อีกทั้งเขายังมีนิสัยชอบท้าทายและยังเป็นตัวปัญหาและปิศาจตัวน้อยด้วย