ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 61-3 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา
ประชาชนมักลืมอะไรได้ง่ายๆ ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะเคยปกป้องต้าฉู่มาเป็นร้อยปี แม้ในสายตาพวกเขา ตำหนักติ้งอ๋องจะเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งสงคราม แต่เพียงเกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง แล้วตำหนักติ้งอ๋องไม่สามารถช่วยอะไรได้ เมื่อนั้นพวกเขาจะจดจำความรุ่งโรจน์ในอดีตไม่ได้อีก เหลือก็เพียงความทรงจำที่ว่าตำหนักติ้งอ๋องไร้ความสามารถเท่านั้น ถึงตอนนั้น…ตำหนักติ้งอ๋องก็คงไม่สามารถโทษอะไรพวกเขาได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
“เป่ยหรง…” ในห้องหนังสือเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงอ่อนๆ ของเยี่ยหลีดังขึ้น นางมองหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ของม่อซิวเหยาแล้วได้แต่ถอนใจ ใต้หล้าสงบสุข ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขไม่ดีหรือ เหตุใดจึงต้องจับพวกเขาเข้าไปอยู่ในสงครามที่ไร้ความปราณีด้วยเหตุผลที่ไม่จำเป็นเช่นนั้นด้วย เยี่ยหลีรู้สึกว่าตนเองไม่มีทางเข้าใจว่าผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายคิดอะไรกันอยู่
อยู่ดีๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกว่าชายผู้นี้น่าสงสารนัก เดิมทีเขาควรเป็นผู้ที่มีปณิธานอันแรงกล้า คอยดูแลความสงบสุขของประเทศเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขา แต่กลับต้องมาหมุนวนอยู่ในมรสุมชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยเพราะพี่ชายมาด่วนจากไป ตั้งแต่อายุได้สิบแปดปีเขาก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสามารถให้ได้ไปหมด เพียงเพื่อปกป้องชื่อเสียงที่ยืนยาวมากว่าร้อยปีของตำหนักติ้งอ๋อง และหลังจากที่ต้องมาสูญเสียร่างกายที่แข็งแรง รูปโฉมที่งดงามไปแล้ว เขายังต้องคอยระแวดระวังการสอดแนมและแผนการที่อีกฝ่ายจ้องจะเล่นงานเขาอีก แล้วยังพวกลอบฆ่าที่ไม่รู้จะโผล่มาเมื่อไร คนฉลาดๆ เช่นเขา อาจมองเห็นอนาคตของตำหนักติ้งอ๋องอย่างชัดเจนตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่ยินยอม และยังไม่ยอมแพ้เท่านั้น
“สามารถ…ถอยได้หรือไม่” เยี่ยหลีถาม แต่เมื่อพูดออกไปแล้วก็ได้แต่หัวเสียกับความไม่ประสาของตน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนที่ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว ยังมีสักกี่คนที่สามารถถอยลงมาได้
ม่อซิวเหยาตอบเรียบๆ ว่า “ม่อซิวเหยาถอยได้ แต่ทหารแปดแสนนายของตระกูลม่อ กับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีอีกห้าหมื่นคนจะถอยไปอยู่ที่ใด”
เยี่ยหลีเงียบไป คนของตระกูลม่อ คนที่ฉลาดอย่างม่อหลิวฟางที่เคยเป็นผู้สำเร็จราชการ หรือแม้แต่ประมุขตระกูลม่อทุกยุคทุกสมัย พวกเขาไม่มีทางโง่กว่าตัวนาง ประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋องสามารถเดินจากไปโดยไม่สนใจอะไรก็ยังได้ ผืนดินใต้หล้ากว้างใหญ่เช่นนี้ จะมีที่ใดที่พวกเขาไปไม่ได้บ้าง แต่กองทัพที่ภักดีต่อตระกูลม่อ ภักดีต่อตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้ละทิ้งไปได้ง่ายเช่นนั้น ในตอนที่ต้าฉู่ลำบาก ต้าฉู่ต้องการพวกเขา แต่เมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว พวกเขาทุกคนต่างกลายเป็นหอกข้างแคร่ในสายตาของฮ่องเต้ หากประมุขแห่งตำหนักติ้งอ๋องละทิ้งพวกเขาไป บทสุดท้ายที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการสลายกองทัพและถูกกดขี่ แต่บทสรุปที่เลวร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครกล้าที่จะคาดเดา กองทัพหลายแสนคน ในสายตาของฮ่องเต้แล้วบางครั้งอาจไม่สู้หมากตัวหนึ่งในมือเสียด้วยซ้ำ
“หากเป่ยหรงต้องกลับเข้าสู่สงครามอีกครั้ง ท่านคิดว่าจะทำเช่นไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ม่อซิวเหยาหันไปตอบนางอย่างสงบว่า “นำทหารออกไปสู้รบ อาหลี ถึงตอนนั้นข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ที่อวิ๋นโจว มีท่านชิงอวิ๋นอยู่จะไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้า หากข้า…ราชสำนักจะยิ่งไม่กล้าแตะต้องเจ้า”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าน่าขัน ตอนแรกพวกเขาคุยเรื่องแต่งชายาร่วมของม่อจิ่งหลีอยู่ดีๆ เหตุใดจึงได้เปลี่ยนมาคุยเรื่องพวกนี้ได้ ทั้งๆ ที่…ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่ยังไม่มีแววว่าจะเกิดเลยอีกด้วย แต่ความไม่สบายใจลึกๆ ของนางกลับบอกนางว่า เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ดีๆ สมองจะคิดเพ้อเจ้อขึ้น ต่อให้เป็นเรื่องที่นางคิดเพ้อเจ้อขึ้น ม่อซิวเหยาก็ไม่มีทางเพ้อเจ้อไปกับนาง
นางเมินหน้าหนี ไม่สนใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาพูด เยี่ยหลีเปลี่ยนเรื่องเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “หลีอ๋องจะแต่งชายาร่วมแล้ว ข้าควรกลับไปจวนเยี่ยเสียหน่อยหรือไม่”
เยี่ยหลีไม่ต้องลำบากคิด ยังไม่ทันเที่ยงวัน ก็มีพ่อบ้านเข้ามารายงานว่า ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยให้มาเชิญเยี่ยหลีกลับบ้าน ด้วยเพราะมีเรื่องจะปรึกษา
เมื่อกลับถึงจวนเยี่ย เยี่ยหลีก็ถูกเชิญไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าทันที เพียงก้าวเข้าไปในหรงเล่อถังก็เห็นเยี่ยอิ๋งที่ร้องไห้จนตาบวมแดงกำลังคร่ำครวญด้วยความโกรธกับหวังซื่ออยู่ ฮูหยินผู้เฒ่ากับเจ้ากรมเยี่ยก็นั่งอยู่ด้วยสีหน้าบึ้งตึง เยี่ยหลีเบ้ปาก เริ่มเข้าใจแล้วว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ “ท่านย่า ท่านพ่อ”
“หลีเอ๋อร์…” เมื่อเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็ตาเป็นประกายทันที รีบกวักมือเรียกให้เยี่ยหลีเดินเข้ามาใกล้ๆ เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจกลับนึกเบื่อหน่าย ฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่คิดว่านางจะสามารถยุ่งเรื่องการพระราชทานสมรสของฮ่องเต้ได้หรอกกระมัง นางเป็นเพียงชายาติ้งอ๋อง อย่าว่าแต่เรื่องที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงเลย ต่อให้แค่รับอนุเข้าตำหนัก นางก็ไปยุ่งอะไรไม่ได้
“หลีเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียที เจ้าดูน้องสาวเจ้าสิ…อิ๋งเอ๋อร์ช่างน่าสงสารนัก…”
เยี่ยหลีเดินขึ้นไปข้างหน้า เหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่กำลังร้องให้สะอึกสะอื้นอยู่กับอกของหวังซื่อ นางนั่งลงถัดลงมาจากเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนกล่าวว่า “น้องสี่เป็นอันใดไปหรือ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพูดด้วยความร้อนใจว่า “อิ๋งเอ๋อร์แต่งงานเข้าไปได้ม่ถึงเดือนดี หลีอ๋องก็จะแต่งชายาร่วมเสียแล้ว เช่นนี้จะให้จวนเจ้ากรมของเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จะให้น้องของเจ้าใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เมื่อสักครู่ท่านอ๋องของข้าก็ได้รับจดหมายเชิญจากตำหนักหลีอ๋อง ถ้าเช่นนั้นเวลานี้น้องสี่ควรอยู่จัดการงานที่ตำหนัก หนีมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน”
หวังซื่อถลึงตาด้วยความโกรธ “เจ้าพูดอะไรน่ะ! อิ๋งเอ๋อร์เป็นถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังต่อว่าเรื่องที่นางกลับมาบ้านอีกหรือ เยี่ยหลีเจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ ท่านอ๋อง ท่านดู…”
“หุบปาก!” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าปรายตามองหวังซื่อก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “หลีเอ๋อร์พูดถูก เมื่อครู่คนแก่อย่างข้าก็บอกพวกเจ้าอยู่เป็นครึ่งวัน เจ้าทำเหมือนมันเป็นเพียงลมผ่านหูหรือ ตอนนี้ตำหนักหลีอ๋องกำลังเตรียมจัดงานสมรส อิ๋งเอ๋อร์ที่เป็นชายาเอกไม่ไปออกหน้าเป็นแม่งาน เจ้าจะให้คนอื่นเห็นว่าอย่างไร”
หวังซื่อพูดด้วยความไม่พอใจว่า “เป็นเพราะหลีอ๋องผิดต่ออิ๋งเอ๋อร์ จะให้อิ๋งเอ๋อร์ไปจัดงานแต่งงานให้เขาได้อย่างไร นี่ยังมีหลักเกณฑ์อะไรกันอีกหรือ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มเยาะ “รับสั่งของฝ่าบาทก็คือหลักเกณฑ์ คืนที่ฝ่าบาทพระราชทานงานสมรส เจ้าเองก็อยู่ในเหตุการณ์ เหตุใดตอนนั้นเจ้าจึงไม่ลุกขึ้นมาขัดราชโองการเล่า อย่าได้ออกความเห็นโง่ๆ เช่นนั้นให้เยี่ยอิ๋งฟังเลย”
ในหัวของเยี่ยหลีมีแต่เรื่องที่คุยกับม่อซิวเหยาเมื่อตอนเช้า ตอนนี้จะมีแก่ใจมาฟังพวกนางพูดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร นางอดทนพูดโน้มน้าวเยี่ยอิ๋งอยู่หลายประโยค แต่เยี่ยอิ๋งกลับไม่ใส่ใจ ได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่กับอกหวังซื่อ “ฮือๆ…ท่านพ่อ ต้องโทษพวกท่าน เหตุใดตอนนั้นพวกท่านต้องให้ข้าแต่งงานกับหลีอ๋องให้ได้…หากไม่เพราะเช่นนี้ ลูกจะถูกรังแกเช่นนี้ได้อย่างไร…เรื่องนี้เดิมทีควรเป็นนาง…”
“อิ๋งเอ๋อร์!” เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยเรียกนางเสียงต่ำอย่างใช้ความอดทน จ้องเยี่ยหลีด้วยสีหน้านิ่งขรึม สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยแข็งกระด้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้เยี่ยอิ๋งยิ่งซุกลงกับอกของหวังซื่อเข้าไปอีก เช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร เยี่ยหลีหลุบตาลงไม่พูดอะไร ปกปิดแวววูบไหวในตาไว้ไม่ให้ใครเห็น ที่แท้เรื่องที่เยี่ยอิ๋งลอบคบหากับม่อจิ่งหลีไม่ได้เป็นความคิดของเยี่ยอิ๋งหรอกหรึอ เช่นนั้น…ท่านพ่อของนางให้ลูกสาวตนเองไปคบหากับคู่หมั้นของลูกสาวตนอีกคนนี่หมายความว่าอย่างไร
“พอแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเรื่องพวกนี้ไปจะมีประโยชน์อะไร” เจ้ากรมเยี่ยโบกมืออย่างหมดความอดทน ก่อนมองไปทางเยี่ยหลี “หลีเอ๋อร์ เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
เยี่ยหลีกดความสงสัยในใจลง เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ราชโองการมิอาจขัด ทั้งยังเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นด้วยแล้ว ยิ่งไม่สามารถต่อรองได้”
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “หรือจะให้เรื่องมันเป็นไปเช่นนี้หรือ หากเป็นคนที่ฐานะต่ำต้อยยังว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นถึงองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิงเชียวนะ”
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ยิ่งเพราะนางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นซีหลิง ก็ยิ่งไม่ต้องกังวลเข้าไปใหญ่ มิใช่หรือเจ้าคะ ท่านพ่อ”
เจ้ากรมเยี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่คิ้วจะค่อยๆ คลายออก “ถูกต้อง ทายาทในอนาคตของหลีอ๋องไม่มีทางมีสายเลือดของแคว้นซีหลิงได้ อีกอย่าง ในวังวันนั้นองค์หญิงซีหลิงแผลงฤทธิ์เสียขนาดนั้น เกรงว่าคงทำให้หลีอ๋องเกิดความรู้สึกไม่ดีกับนางไม่มากก็น้อย ขอเพียงอิ๋งเอ๋อร์สามารถกุมอำนาจหลักในตำหนักไว้ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับองค์หญิงคนหนึ่งที่แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์หรอก”
“หากน้องสี่ต้องการที่จะยืนอยู่ในตำหนักได้ คงจะต้องเริ่มเข้าหาทางเสียนเจาไท่เฟย” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเบาๆ
“อะไรนะ!” เยี่ยอิ๋งร้องเสียงแหลมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ยายแก่นั้นไม่ชอบหน้าข้ามาตลอด เจ้ายังจะให้ข้าไปเอาใจนางอีกหรือ นางคิดแต่จะหาทางทรมานข้า! ข้า…”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว เอ่ยขัดนางว่า “เสียนเจาไท่เฟยเป็นน้าสาวแท้ๆ ของหลีอ๋อง ทั้งยังเป็นน้องสาวขององค์ไทเฮา เจ้าไม่คิดจะเอาใจนาง แต่มีคนอีกมากมายที่คิด อีกอย่าง ข้าจะไม่ได้จะให้เจ้าไปเอาใจนาง ขอเพียงเจ้าทำให้นางไม่สามารถหาเรื่องจับผิดเจ้าได้ ดีที่สุดคือเจ้าสามารถทำให้นางคิดว่าเจ้าเป็นพระชายาที่นางพอใจ” เสียนเจาไท่เฟยใช้ชีวิตอยู่ในวังมาหลายสิบปี คงไม่สามารถเอาใจได้ง่ายๆ อยู่แล้ว เกรงว่าจะมีแต่วาดเสือไม่สำเร็จจนกลายเป็นหมา จากเยินยอจะกลายเป็นด่าทอเสียมากกว่า
เยี่ยอิ๋งพูดอย่างโกรธๆ ว่า “ตั้งแต่พวกเราแต่งงานมา นางจ้องแต่จะจับผิดข้า เพียงแค่ข้าลงมือทำอะไร นั่นก็ไม่ถูก นี่ก็ไม่ดี! ข้าจะทำให้นางพอใจได้อย่างไร”
“นางจับผิดเจ้า เจ้าก็ต้องอดทน หากมีเวลาก็ขอให้ท่านย่าช่วยชี้แนะว่าจะเป็นภรรายาที่ดีได้อย่างไร เจ้าเป็นน้องสาวของเจาอี๋ บุตรสาวของเจ้ากรมเยี่ย มีตำแหน่งเป็นถึงชายาเอก ข้อได้เปรียบของเจ้ามากกว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่มาจากต่างแคว้นตั้งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร หากเรื่องแค่นี้เจ้ายังทำไม่ได้ ก็เก็บข้าวของกลับมาอยู่จวนเจ้ากรมเลยเสียเถิด ถึงอย่างไรท่านพ่อกับฮูหยินก็คงไม่รังเกียจที่จะเลี้ยงเจ้าไปตลอดชีวิต”
“เจ้า!” เยี่ยหลีลืมเรื่องที่ตัวเองโดนรังแกไปชั่วคราว โกรธจนหน้าเรียวแดงก่ำไปหมด สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีประหนึ่งมีประกายไฟลุกขึ้น นางหัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยแดกดันว่า “ใช้สิ หากเจ้าไม่รู้จักอดทน ป่านนี้คงได้ร้องไห้วิ่งกลับมาจวนเจ้ากรมแล้ว ไม่สิ…หากข้าเป็นเจ้า คงผู้คอตายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันได้แต่งงานแล้ว”
เยี่ยหลีขี้เกียจจะไปต่อปากต่อคำกับนาง นางวางแก้วชาในมือลงนิ่งๆ ก่อนปรายตามอง “หากยังมีแรงมาหาเรื่องข้า สู้กลับไปทำเรื่องที่เจ้าควรทำเสียยังดีกว่า”
เยี่ยอิ๋งยังคิดอยากสวนกลับ แต่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากลับตบโต๊ะเสียก่อน “อิ๋งเอ๋อร์ เอะอะพอหรือยัง! หัดเรียนรู้จากพี่สามของเจ้าบ้าง ดูสิว่าตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไร”
เยี่ยหลีอึ้งไป หวนนึกเรื่องของตนได้ก็อดที่จะร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจขึ้นมาอีกไม่ได้ นางเช็ดน้ำตาไปพลาง พูดไปพลางว่า “หลานจะเป็นอย่างไรได้เจ้าคะ ที่หลานต้องเป็นอย่างนี้ก็เพราะใครกัน ในเมืองหลวงตอนนี้ไม่รู้มีกี่คนที่กำลังหัวเราะเยาะข้าอยู่ ฮือๆ…ท่านอ๋องทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร…ข้าทำอะไรผิดไปหรือ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางร้องไห้จนปวดหัวไปหมด จึงพูดด้วยความหัวเสียว่า “พอได้แล้ว ร้องไปจะมีประโยชน์อันใด เจ้าก็เป็นแต่ร้องไห้ เจ้าแต่งงานไปแล้ว ยังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ตามใจเหมือนตอนอยู่ที่บ้านหรือ ใครก็ได้ ให้คนไปเชิญหลีอ๋องมารับตัวคุณหนูสี่กลับตำหนักที”
“ท่านย่า”
เยี่ยหลีเอ่ยขัดนาง “ในเมื่อน้องสี่กลับมาแล้วจะอยู่นานอีกหน่อยก็คงไม่เป็นอันใด หลีอ๋องคงจะมารับนางด้วยตนเอง หากพวกเราให้ใครไปเชิญหลีอ๋องมาตอนนี้จะมีแต่ทำให้นางกลายเป็นคนไม่สำคัญไปนะเจ้าคะ”
เจ้ากรมเยี่ยมองเยี่ยหลีอย่างเห็นด้วย “ท่านแม่ ที่หลีเอ๋อร์พูดก็มีเหตุผลนะขอรับ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านวดขมับแล้วถอนหายใจ “นางทำให้ข้าโกรธเสียจนเลอะเลือนไปหมดแล้ว”
“ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่าน ฮูหยิน หลีอ๋องมาแล้วขอรับ” พ่อบ้านเข้ามาเอ่ยรายงานที่หน้าประตู