Nine Sun God King ราชันเทพเก้าสุริยัน - ตอนที่ 790 : ชนเผ่าจากครั้งบรรพกาล
ตอนที่ 790 : ชนเผ่าจากครั้งบรรพกาล
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อไม่คิดต้องการให้ฉินหยุนไปยังเขตแดนอ้างว้าง เพราะที่แห่งนั้นมีแต่ครึ่งเซียนของเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลง สถานที่ดังกล่าวไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลเจี้ยน หากฉินหยุนไปยังที่นั่น หากเขตแดนลึกล้ำและตระกูลหลงได้ทราบ เรื่องราวจะกลายเป็นอันตราย
“น้องหยุน นี่ไม่ใช่พวกเราไม่ต้องการให้เจ้าไป แต่เป็นกังวลถึงความปลอดภัยเจ้า!” สุ่ยเทียนสื่อกล่าวตอบเสียงหวานพร้อมรั้งแขนฉินหยุนไว้
สื่อชิงเฉิงเองก็พยักหน้ารับ
“พวกท่านวางใจ กระทั่งเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ข้าก็ยังรอดพ้นมาได้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าวพร้อมกับลูบใบหน้าของสื่อชิงเฉิง
สื่อชิงเฉิงเผยเสียงโกรธเคือง จากนั้นจึงสั่งให้ยันต์ทํางาน หลังได้ทราบทิศทาง พวกเขาจึงกลับไปเปลี่ยนสวมใส่ชุดเรียบง่าย เพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สังเกตและจุดสนใจ
สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง ทั้งสองต่างเปลี่ยนสวมใส่ชุดผ้าปานเรียบง่าย ทั้งยังมีหมวกไผ่สานซ่อนเร้นใบหน้า ฉินหยุนตอนนี้สวมใส่ชุดสีเทา ทั้งยังติดหนวดเคราเพิ่ม นอกจากนี้เขายังวาดแผลเป็นที่บนใบหน้า หลังแปลงโฉมกันเรียบร้อย ทั้งสามจึงเร่งรีบไปจากเกาะแห่งดาบที่สอง
สื่อชิงเฉิงนําอุปกรณ์บินได้ออกมา เป็นกระสวยบินได้ คุณภาพกล่าวได้ว่าปานกลาง สุ่ยเทียนสือยังไม่เห็นด้วยกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะเปาเฉิงโฉ่วได้กล่าวไว้ว่าต้องการให้พวกนางช่วยรั้งฉินหยุนให้อยู่ในคฤหาสน์เซียนดาบเมื่อออกมา ทว่าตอนนี้ พวกนางทั้งสองกําลังจะร่วมทางไปยังเขตแดนอ้างว้างพร้อมกับฉินหยุน
ได้เห็นใบหน้าเผยกังวลของสุยเทียนสื่อ ฉินหยุนจึงใช้โอกาสนี้ลูบสัมผัสใบหน้าของนาง เขายิ้มกล่าว “พี่สุยอย่าได้หวาดกลัวไป เมื่อใดถึงเวลา ข้าย่อมปกป้องท่าน!”
“น้องหยุน เจ้าฝึกฝนถึงระดับใดแล้วกัน?” สุ่ยเทียนสื่อกล่าวถาม
“ ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับสูง!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“ครั้งเจ้าอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำระดับต้นและกลางก็เก่งกาจกว่าพวกเรามากนัก ดูเหมือนพวกเราคงไม่มีหน้าพอให้การคุ้มกันเจ้าได้แล้ว!” สุยเทียนสื่อถอนหายใจอย่างอื่นขม
“ข้าไม่ได้ต้องการให้ท่านปกป้อง แต่ต้องการให้ท่านช่วยเหลือข้าสร้างอุปกรณ์และยันต์!” ฉินหยุนหยิกที่คางของนางพร้อมหัวเราะหยอกล้อ
“น้องหยุน ข้ายังช่วยอุ่นที่นอนให้เจ้าได้เ” สุ่ยเทียนสื่อเผยยิ้มหวานหยด ร่างของนางกดทับร่างของฉินหยุน ศีรษะของนางพยายามพึงที่ไหล่กว้าง ทั้งร่างนั้นคิดครอบงําฉินหยุนเอาไว้
ด้วยเพราะนั่งอยู่บนกระสวยบินได้ ฉินหยุนไม่อาจหลบหนี ได้เพียงแต่ต้องปล่อยให้สุ่ยเทียนสื่อเอารัดเอาเปรียบ ในเมื่อรู้จักสุ่ยเทียนชื่อเป็นเวลานานแล้ว เขาจึงยิ่งคุ้นเคยกับพฤติกรรมเช่นนี้ของนาง ก่อนหน้า สื่อชิงเฉิงยังเคยกล่าวดัง กระนั้นตอนนี้แทบไม่พูดกล่าวใดแล้ว
“เห็นได้ชัดว่าเขตแดนอ้างว้างแห่งนั้นอยู่ในแดนอสูรอ้างว้าง คิดไปที่นั่นต้องใช้เวลาบินถึงหลายวัน” สื่อชิงเฉิงกล่าว
“เพียงไม่กี่วัน ข้าย่อมไม่เบื่อตายก่อนอยู่แล้ว!” ฉินหยุนหัวเราะรับพลางใช้มือลูบที่ใบหน้าของสื่อชิงเฉิง
เช่นนี้ ฉินหยุนจึงได้ละเล่นกับสองโฉมงามระหว่างการเดินทางอย่างสุขสันต์
หลายวันผ่านไป พวกเขามาถึงส่วนลึกของแดนอสูรอ้างว้าง สื่อชิงเฉิงนําเอายันต์ตามรอยวิญญาณออกมา ก่อนจะออกไปจากกระสวยบินได้ เพราะตามปฏิกิริยาของยันต์ตามรอยวิญญาณเขตแดนอ้างว้างที่เป็นเป้าหมายสมควรอยู่ในละแวกนี้
ท้องฟ้าใกล้พลบค่ำ ฉินหยุนและหญิงสาวทั้งสองจึงก้าวเดินอย่างระวังอยู่เบื้องล่างเนินเขาที่แห้งแล้ง พื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างกว้าง ทั้งยังไม่มีต้นไม้แม้สักต้น กล่าวได้ว่าเป็นพื้นที่รกร้างอย่างแท้จริง
“ทางเข้าเขตแดนอ้างว้างนี้ล่องหนอยู่!” ฉินหยุนกล่าวคําเสียงเบา
“อยู่ตรงนั้น!” สื่อชิงเฉิงชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมถือยันต์ตามรอยวิญญาณ
ทั้งสามเดินอยู่ทั้งคืน จึงค่อยมาถึงทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง
“หรือจะเป็นด้านในนี้?” ฉินหยุนกล่าวกับตนเอง
“ให้ข้านําเข้าไปก่อน!” สุยเทียนสื่อกล่าวอย่างอาจหาญก้าวเดินนําหน้า
“เดี่ยว พวกเราควรเข้าไปด้วยกัน!” ฉินหยุนรั้งสองหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะจับมือพวกนางตระเตรียมเดินนําเข้าไปพร้อมกัน
คนทั้งสามเข้าสู่ภายในถ้ำ ทุกฝีเท้าก้าวเดินอย่างระแวดระวัง หลังผ่านตัวถ้ำมาได้ จึงค่อยพบสถานที่โล่งกว้าง พื้นที่ตรงนี้มันไม่เหมือนดังเทือกเขาแห้งแล้งภายนอก มันเต็มไปด้วยเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของดอกไม้ ทั้งดอกไม้และพืชพรรณต่างกระจายทั่วที่แห่งนี้ นับเป็นภาพเจริญตายามได้พบเห็น แม้เป็นยามค่ำคืน ทว่าทุกสถานที่จะมีพืชเรืองแสงคอยสาดส่องเจือจางลง
ฉินหยุนขมวดคิ้วกล่าว “ออร่าเซียนของเขตแดนอ้างว้างหนาแน่นมาก นี้ไม่ธรรมดาแล้ว!”
สื่อชิงเฉิงกลายเป็นร้อนใจกล่าวคํา “เขตแดนอ้างว้างที่มีพลังงานเซียนหนาแน่น ย่อมต้องมีสัตว์ที่แข็งแกร่ง หรืออาจมีคน!”
“มีคนมา!” สุ่ยเทียนสื่อกล่าวคําเสียงเบา “ทางนั้น!”
ฉินหยุนเร่งรีบดึงสองหญิงสาวหลบซ่อนในความมืดโดยพลังเงา ที่ทําฉินหยุนตระหนกคือเขาไม่พบผู้ใด ทว่าสู่ยเทียนสื่อกลับพบ แม้สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงงดงาม อ่อนหวาน และเป็นสตรีอบอุ่น กระนั้นพวกนางติดตามเชี่ยวเสวียนฉินเดินทางทั่วแดนวิญญาณอ้างว้าง ดังนั้นจึงได้เรียนรู้มาหลายสิ่งอย่างเช่นกัน
หลายคนมาถึง รวมกันแล้วเกินกว่ายี่สิบ เหล่านี้ร่างสูงและกํายํา ทั้งยังสวมใส่ชุดเกราะสีทองอ่อนจาง มือถือกระบอง ออร่าที่เผยคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ มีแต่ผู้นํากลุ่มที่เป็นราชันยุทธ์
“อีกแล้วหรือ มีคนเข้ามาหาที่ตาย วิเศษนัก!” ราชันยุทธ์ที่เป็นผู้นํากล่าว
“หัวหน้า เบื้องบนส่งคําลงมา บอกว่าหากมีผู้ใดเข้ามาที่นี่ให้จับกุมไว้ ทว่านี้ไม่คล้ายพบเห็นผู้ใดในละแวก?” คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร รายงานเบื้องบนบอกว่าพวกมันหลบหนีไปแล้ว!” ราชันยุทธ์กล่าว
ฉินหยุนและผู้อื่นค่อยตระหนักได้ ว่าภายในเขตแดนอ้างว้างอันลึกลับ มันมีฝักฝ่ายที่แข็งแกร่งอยู่เป็นกลุ่มก้อน นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงได้ง่าย ราวกับเป็นการจงใจเปิดให้ผู้คนภายในได้ออก ภายนอกได้เข้าอย่างสะดวก
หลิงหยุนเอ๋อพลันกล่าว “เสี่ยวหยุน คนกลุ่มนี้แปลก พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดา จากออร่านั้น สมควรเป็นเผ่าพันธุ์ที่สาบสูญตั้งแต่ครั้งบรรพกาล!”
“เผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่สาบสูญ?” ฉินหยุนไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“ใช่ ยุคโบราณ พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้ปรับตัวรับพลังวิญญาณเก้าตะวัน ภายหลังจึงเริ่มตายจากสูญหาย! กระนั้น ก็มีบ้างที่ค้นหาเขตแดนอ้างว้างซึ่งเหมาะสมแก่การคงอยู่ จากนั้นจึงอพยพไปเพื่อเอาชีวิตรอด เผ่าพันธุ์ยุคโบราณที่สาบสูญเหล่านี้ย่อมครอบครองพลังเลิศลําแต่กําเนิด!” หลิงหยุนเอ๋อกล่าว
ฉินหยุนนึกย้อนไปถึงเผ่าพันธุ์นักรบในเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหล่านั้นเองก็เป็นเผ่าพันธุ์ยุคโบราณ เขตแดนอ้างว้างเดิมเป็นมิติเอกเทศพิเศษ หากเขตแดนอ้างว้างที่ดีสามารถอยู่ในการควบคุม เช่นนั้นคิดพัฒนาจนเกิดเป็นขั้วอํานาจเติบโตด้วยทรัพยากรทั้งหลายย่อมทําได้
ฉินหยุนส่งเสียงสื่อสารบอกต่อสุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิง “ข้าต้องการติดตามพวกมันไปยังที่ซ่อน!”
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างคิดว่าเรื่องราวอันตรายเกินไป ดังนั้นจึงคัดค้าน
ทันใดนี้เอง ออร่าเย็นเยือกเลิศล้ำพลันปรากฏ
“เป็นองค์ราชินีชูเหยา!” ใบหน้าของราชันยุทธ์ผู้นั้นแปรเปลี่ยนรุนแรง เขาคุกเข่าลงต่อทิศทงหนึ่ง
ผู้อื่นล้วนเร่งรีบโขกศีรษะ
“พวกเราคํานับต่อองค์ราชินีซูเหยา!” กลุ่มคนตะโกนพร้อมกัน
ตอนนี้เอง สตรีผู้หนึ่งได้ลอยตัวลงมา นางมีใบหน้าค่อนข้างชี้แหลม ร่างเพรียวบางและมีคิ้วประหนึ่งใบหลิว สวมใส่ชุดกระโปรงสีดํา สีหน้าเย็นเยือกขาวเปรียบดังหิมะ ดวงตานั้นเป็นสีคราม เส้นผมยาวพลิ้วไหวกับสายลม เป็นนางเผยแต่ออร่าเย็นเยือก ทั้งมวลรวมกันทําให้นางเป็นโฉมงามผู้ชั่วร้ายและเย็นชา
สตรีผู้นี้ทั้งงดงามและพิเศษ โดยเฉพาะดวงตาสีครามของนาง มันเปรียบดังอัญมณีสีน้ำเงินคู่งดงาม คิ้วนั้นขมวดรวดเร็ว เป็นผลให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าสูดลมหายใจเข้าลึก พวกเขารู้สึกราวกับสายตาของนางกําลังกวาดมองหาบางสิ่งบางอย่าง
“คนพวกนั้นเล่า?” สตรีนามซูเหยากล่าวถามด้วยน้ำเสียงอันสูงส่ง ท่าที่เย็นเยือก ราวกับนางคือผู้สูงศักดิ์แห่งโลกหล้า
“พวกเรา พวกเราไม่…”
ขณะหัวหน้าผู้เป็นราชันยุทธ์กล่าวคําไม่ทันจบดี มือขาวของซูเหยาผู้นั้นพร้อมแขนเสื้อสีดําพลันตบเข้าที่หมวกเหล็กของราชันยุทธ์อย่างรุนแรง
“องค์ราชินีซูเหยา โปรดไว้ชีวิตพวกเรา พวกเราเร่งรีบมาที่นี่และไม่พบเห็นอันใด! พวกเราหาได้พบเจอผู้เข้ามา!” ศีรษะของราชันยุทธ์ผู้นั้นก้มลงต่ำ
“พวกเจ้าไม่เห็นรอยเท้าบนผืนหญ้าที่เพิ่งถูกเหยียบย่างหรือไร?” น้ำเสียงโหดเหี้ยมของซูเหยาเผยออกดังขึ้น เป็นผลให้ผู้ที่โค้งศีรษะต้องตัวสั่น
“ข้า ข้าไม่พบเห็นขอรับ!” ราชันยุทธ์ผู้นั้นกล่าว
“เช่นนั้นจงรับความตาย สวะเช่นพวกเจ้าเลี้ยงไว้ก็เปลืองอาหาร!” ซูเหยากล่าวคําจบ ดวงตาสีครามของนางจึงเผยลําแสงสีน้ำเงิน แปรเปลี่ยนกลุ่มคนให้กลายเป็นอัญมณีสีน้ำเงิน
ได้เห็นเรื่องราวตรงหน้า ฉินหยุนและสองสาวข้างกายแทบหัวใจหยุดเต้น
ไม่เพียงแต่สตรีผู้นี้ครอบครองกําลังเลิศล้ำ ความสามารถของนางยังชวนสะพรึง!
ตู้ม!
ชูเหยาใช้ฝ่ามือโจมตีออก รูปปั้นอัญมณีสีน้ำเงินแตกกระจายทั่วพื้น
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่! หากไม่คิดอยากกลายเป็นก้อนกรวดเช่นนี้ จงเผยตนเองออกมา! ข้าให้สัญญาว่าจะไม่สังหาร!” ซูเหยามองไปยังทิศทางที่พวกฉินหยุนซ่อนตัวพร้อมกล่าวเย็นเยือก
ฉินหยุนถอนหายใจภายใน “เหตุใดเรามักต้องเจอแต่สตรีเช่นนี้?”
สื่อชิงเฉิงและสุยเทียนสื่อต่างเกิดนึกเสียใจ พวกนางไม่ควรให้ฉินหยุนมาที่นี่ ฉินหยุนจะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้
“เจ้าไม่มีวันหนีรอดพ้น!” ซูเหยากล่าวอีกครั้ง “จงไสหัวออกมาและยอมรับต่อข้า มีแต่ทางนี้เจ้าจึงจะมีชีวิตรอด!”
สตรีนามซูเหยาผู้นี้เผยท่าทีสะกดข่มราวกับเป็นผู้ปกครองโลกหล้า นางคิดเพียงแต่ให้ผู้คนก้มศีรษะยอมรับต่อนาง
สื่อชิงเฉยและสุ่ยเทียนสื่อเห็นพ้องว่าควรเผยตัวตน ฉินหยุนได้แต่ต้องเผยตัวตนพร้อมพวกนางต่อหน้าซูเหยา
ซูเหยามองหนึ่งชายสองหญิงตรงหน้า นางพลันคว้าฉินหยุนไว้ราวโกรธเกรี้ยวพร้อมถามอย่างมีโทสะ “เจ้าบังคับพวกนางมาอย่างนั้นหรือ?”
“พี่สาวท่านนี้ เขาเป็นน้องชายพวกเรา!” สื่อชิงเฉิงเร่งรีบกล่าว
“พวกเรามาที่นี่เพื่อหาตัวจ้าวสํานักของพวกเรา!” สุ่ยเทียนสื่อเร่งรีบอธิบาย
ฉินหยุนไม่คิด ว่าซูเหยาผู้นี้จะกลายเป็นมีโทสะต่อเรื่องนี้
“เจ้าช่างงดงาม อย่าได้ยุ่งกับบุรุษ ไม่เช่นนั้นภายหน้ามันมีแต่จะเอาเปรียบต่อเจ้า!” ซูเหยาปล่อยพลังดึงสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อเข้าหาตัวนาง “ภายหน้า พวกเจ้าจงมาเป็นศิษย์ข้า!”
“เรื่องนี้ พวกเราคิดหาตัวจ้าวสํานักของพวกเราร่วมกับเขา!” สื่อชิงเฉิงกล่าว
“ไม่ต้องหาแล้ว เจ้าจะได้เป็นศิษย์ข้า หากไม่รับรู้ เช่นนั้นข้าจะสังหารมันเสีย!” ดวงตาของซูเหยาเผยแสงสีครามเป็นประกาย
สื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อต่างส่งเสียงสื่อสารบอกต่อฉินหยุน ว่าพวกนางจะยอมรับคําซูเหยาไปก่อน
ซูเหยาเมื่อได้เห็นสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อยอมรับ ดังนั้นจึงไม่สังหารฉินหยุน แต่กลับฉีกกระชากเสื้อผ้าเขาพร้อมแขวนร่างไว้บนต้นไม้
สุ่ยเทียนสื่อและสื่อชิงเฉิงต่างทราบ ว่าฉินหยุนสามารถหลบหนีด้วยตนเอง กระนั้นพวกนางก็ยังปวดใจ
ฉินหยุนมองซูเหยานําสื่อชิงเฉิงและสุ่ยเทียนสื่อจากไป เขาสบถก่นด่าอยู่ภายใน “สตรีผู้นี้ ถึงขั้นกล้าฉกชิงพี่สาวซาลาเปานึ่งกับภูติวารีของข้าไป ทั้งยังฉีกเสื้อผ้าข้า! ล้างคอรอข้าก่อนเถอะ!”
เฉินหยุนปลดพันธนาการจากเชือก ก่อนนําเอาเสื้อผ้าออกมาสวมใส่ พร้อมนําเอายันต์ตามรอยวิญญาณแผ่นใหม่ออกมา และจึงลอบติดตามพวกนางไป