Nine Sun God King ราชันเทพเก้าสุริยัน - ตอนที่ 760 : ตำหนักเจ็ดเซียนดาบ
ฉินหยุนไม่ทราบสถานการณ์แน่ชัดของงานชุมนุมยุทธ์ดาบ เขาเพียงรู้สึก ว่ามันไม่มีอะไรให้เขาต้องใส่ใจมากมาย อย่างไรแล้ว มันก็เปรียบดังงานรวมตัวแสดงแสนยานุภาพของกองกำลังชั้นนำ เขาที่เป็นอาจารย์ยุทธ์ตัวจ้อย จึงไม่คิดอยากหน้ามืดตามัวเข้าร่วมหาความสนุก
ด้วยความคิดเช่นนี้ ถือว่าฉินหยุนประเมินตนเองต่ำเกินไป เพราะเจี้ยนสือเทียนและคณะต่างคาดหวังว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้น ในงานประลองยุทธ์ครั้งก่อนหน้า ฉินหยุนเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น กระนั้น เขากลับพลิกสถานการณ์ช่วยเหลือทั้งตำหนักเซียนดาบจากความสูญเสียครั้งใหญ่มาได้
แม้ว่าฉินหยุนเดินทางไปยังเกาะแห่งดาบ กระนั้นเขาก็ไม่คิดแสดงตัวตนแต่อย่างใด เพราะตัวเขาได้ล้าหลังผู้อื่นไปมาก ทั้งยังกังวลว่าจะกลายเป็นที่ขบขัน
“เสี่ยวหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบย่อมต้องมีการประลองยุทธ์ขันแข่ง เหตุใดเจ้าไม่ไปรับชมเสียหน่อยเล่า?” หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกล่าวคำ
“ย่อมไม่ ตัวข้าตอนนี้อยู่ห่างไกลจากขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำมากนัก! งานชุมนุมยุทธ์ดาบเป็นการรวมตัวของอัจฉริยะจากหลายแคว้น ทั้งส่วนใหญ่ยังอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ตัวข้าเสนอหน้าออกไปก็มีแต่จะถูกหยามเหยียด” ฉินหยุนกล่าว
“เจ้าครอบครองร่างเซียนอสูร นั่นมากพอให้มีหน้ามีตาแล้ว!” หลิงหยุนเอ๋อตอบคำกลับมา
“หากเป็นยอดยุทธ์ชั้นสวะทั่วไป นั่นคงไม่มีปัญหา กระนั้นที่มารวมตัวกันมีแต่อัจฉริยะ! พวกเขาทุกคนมีอำนาจใหญ่หนุนหลังกันทั้งสิ้น” ฉินหยุนถอนหายใจ “หากข้าสามารถใช้งานอาวุธ เช่นนั้นจึงค่อยไม่หวาดเกรงใด!”
หากฉินหยุนใช้งานอาวุธ ชัยชนะย่อมตกแก่เขาอย่างนอนมา
หลิงหยุนเอ๋อหัวเราะกลับมา “ก็แค่การท้าทายที่ดูยากขึ้นมาบ้าง!”
ฉินหยุนคิดไปครู่จึงค่อยตอบ “ก็ได้ หากถึงเวลาข้าจะลองดู! ดูเหมือนพี่หยางเองก็มาเข้าร่วมงานนี้เช่นกัน!”
ฉินหยุนเดินทางลำพัง จึงต้องเดินทางแต่ตอนกลางคืน และไม่นานนัก เขาจึงมาถึงเกาะแห่งดาบ ระหว่างทาง เขายังได้พบเจอหลายผู้คนที่มุ่งหน้ามาสถานที่เดียวกัน
ฉินหยุนเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าจากเบื้องล่าง ภายในต้องลอบตระหนกตื่นเต้น ด้านบนคือเกาะใหญ่ยักษ์ลอยฟ้าสองแห่ง หนึ่งคือเกาะแห่งดาบดั้งเดิม เวลานี้กลับกลายเป็นเล็กลงมา และเกาะแห่งดาบที่สองซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปหนึ่งหมื่นเมตร เวลานี้มันคือเกาะที่ใหญ่ยิ่งกว่าเกาะเดิม ทั้งเกาะราวกับถูกสร้างขึ้นจากเหล็กสีดำที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“กำลังโดยรวมของตระกูลเจี้ยนนี้น่าสะพรึงกลัวนัก! อาจารย์จารึกเต๋าน้อยคนที่จะสามารถสร้างเกาะลอยฟ้าชวนสะพรึงระดับนี้ได้!”
ฉินหยุนบินขึ้นไปด้วยอาการตระหนกตกใจ
เกาะแห่งดาบเดิมอยู่เบื้องล่าง ทว่าไม่ได้ถูกทิ้งร้าง ยังคงเป็นเมืองที่มีการใช้งาน สำหรับเกาะแห่งดาบด้านบน มันใช้เพื่อสำหรับทั้งตระกูลเจี้ยน และเวลานี้เปิดประตูอ้ารับต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากงานชุมนุมยุทธ์ดาบ ฉินหยุนที่ขึ้นมาแล้ว เขาได้ยืนตรงหน้าประตูใหญ่ สัมผัสได้ถึงม่านพลังอันแข็งแกร่งเลิศล้ำของเกาะแห่งดาบนี้
“เหมือนว่าเราจะใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวงเข้าไปได้!” ฉินหยุนคิดกับตนเอง
เพื่อเข้าสู่เกาะแห่งดาบ หนึ่งคือจำเป็นต้องอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ และจ่ายเงินมากถึงห้าแสนเหรียญม่วง! ฉินหยุนต่อแถวรอเข้าประตู หลังได้ยืนยันระดับการฝึกฝนและจ่ายเหรียญม่วงเรียบร้อย เขาจึงเข้ามาได้อย่างราบลื่น
“เย่ว์เหม่ย เย่ว์เหม่ย เร่งรีบออกมาพบพี่ชายผู้นี้ ข้าอยู่ที่ประตูหน้า!” ฉินหยุนนำเปลือกหอยสื่อสารออกมาส่งถ้อยคำออกไป
เปลือกหอยสื่อสารนี้เชี่ยวเสวียนฉินมอบไว้ให้แก่เขา ในตอนนั้น เขาไม่ได้คิดเข้าไปยังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ ดังนั้นเชี่ยวเสวียนฉินจึงมอบไว้ให้ เพื่อที่เขาจะได้กลับไปรวมตัวกับเย่ว์เหม่ยและผู้อื่นที่เมือง
เพียงไม่นาน น้ำเสียงตื่นเต้นยินดีของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงส่งมาผ่านเปลือกหอยสื่อสาร
“พี่ชาย รอที่นั่นอย่าได้ไปไหน ข้ากำลังไปแล้ว!”
ฉินหยุนที่เข้าประตูมาแล้ว จึงเดินเล่นรับชมวนรอบ พลางมองที่ศูนย์กลางของเกาะ ที่ตรงกลางของเกาะแห่งดาบใหม่นี้ มันมีวงล้อมที่ตรงกลาง มองเพียงครั้งเดียวย่อมทราบ ว่านั่นคือแกนกลางของตำหนักเซียนดาบ หลายผู้คนต่างเดินเข้าไปและได้พบเห็นเจ็ดดาบจากระยะไกล พวกเขาล้วนต้องอึ้งทึ่ง
“ในแดนวิญญาณอ้างว้างมีเจ็ดตระกูลเจี้ยน แต่ละตระกูลต่างครอบครองดาบเซียนทรงอำนาจ เวลานี้ พวกเขาได้จำลองขยายขนาดดาบเซียนเพื่อใช้งานตั้งเป็นค่ายอาคม ช่างยอดเยี่ยมนัก!”
“หากเทียบตระกูลเจี้ยนและตระกูลหลง สงสัยนักว่าผู้ใดจึงแข็งแกร่งที่สุด!”
“ได้ยินมาว่าตระกูลหลงมีสิบมังกร และพวกมันล้วนเป็นตัวตนอันเหนือล้ำ!”
“คิดว่าอย่างไรตระกูลเจี้ยนก็แข็งแกร่งกว่า เพราะพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนดาบ! หลังได้ฝึกฝนดาบต้นกำเนิด พวกเขาสามารถสังหารผู้อื่นที่มีระดับเหนือกว่าได้ง่ายดายนัก!”
“นั่นมันก็แล้วแต่สถานการณ์ ส่วนใหญ่จะเป็นในสถานการณ์ที่ผู้อื่นไม่อาจใช้งานอาวุธ ทว่าหากอีกฝ่ายใช้งานอาวุธ ความได้เปรียบของผู้ฝึกตนดาบก็หาได้มากล้ำเพียงนั้น!”
กลุ่มคนพูดคุยกัน ว่าหากตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนเปิดศึกต่อกัน ผู้ใดกันที่จะมีชัยเหนือกว่า
ไม่นานนัก ฉินหยุนจึงได้เห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดสีน้ำเงินไว้ผมหางม้าคู่ ครึ่งใบหน้าของนางถูกปิดบังเอาไว้ ทั้งยังกระโดดและโบกมือให้แก่เขา เป็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ย
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพอมาถึง นางหุบยิ้มพร้อมดึงมือฉินหยุนเข้าหาตัว เวลานี้นางหัวเราะดังพร้อมกล่าว “พี่ชาย ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านต้องกลับมา! ฮ่าฮ่าฮ่า ราชันอย่างไรก็ต้องหวนคืน!”
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ฉินหยุนลูบที่ใบหน้างดงามของเชี่ยวเย่ว์เหม่ยพร้อมกล่าว “ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับเจ้า!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยดึงฉินหยุนเดินไปบนถนนเส้นใหญ่ นางกล่าวคำเบา “พี่ชาย ตั้งแต่ท่านไม่อยู่ เจี้ยนหนันหู่ผู้นั้นมีแต่อหังการอวดดียิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าเสือออกจากป่า ลิงไพร่ต่างขึ้นเป็นราชัน! ท่านต้องไปสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้านั่น!”
“เย่ว์เหม่ย ข้าเพียงเพิ่งถึงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูงสุด!” ฉินหยุนถอนหายใจ
“ย่อมไม่เป็นไร ต่อให้ลิงไพร่เช่นเจี้ยนหนันหู่เป็นราชันยุทธ์ พี่ชายก็สามารถเอาชนะมันได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยแค่นเสียงขึ้นจมูก
ฉินหยุนตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเดินไปยังหอคอยสูง มองเพียงครั้งเดียวย่อมทราบ ว่านั่นคือตำหนักจารึกเทวะ เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้รับเหรียญตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ดังนั้นที่ใดนางไป ย่อมสามารถเข้าใช้งานตำหนักจารึกเทวะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กล่าวได้ว่ามันเป็นเหรียญตราที่มีค่าแก่นางอย่างมากล้ำ มันทำให้นางสามารถใช้งานห้องชุดสุดหรูในตำหนักจารึกเทวะของทุกเมืองได้
“เย่ว์เหม่ย เจี้ยนหนันหู่รังแกเจ้าหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ลิงโง่เช่นนั้นหรือรังแกข้าได้? มันไม่อาจ!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวพร้อมสีหน้าเดียดฉันท์
“อย่างนั้นแล้วเหตุใดเจ้าไม่เข้าร่วมงานแข่งขันและจัดการเขาเสียเล่า?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
หากเจี้ยนหนันหู่ได้ทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเรียกหาตนเองเป็นลิง เมื่อนั้นเขาคงโกรธจนถึงขั้นคิดโจมตีอย่างไม่สนอื่นใด
“ข้าครอบครองความลับไว้มากมายนัก ดังนั้นจึงไม่อยากเปิดเผยออกไป และข้าเองก็ไม่ใช่ถนัดเรื่องต่อสู้ด้วย!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยยิ้มตอบกลับมา “พี่ชาย ท่านไปลงทะเบียน จัดการเจี้ยนหนันหู่ผู้นั้น พร้อมบอกแก่มันว่าท่านคือฉินหยุน!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยได้เห็นฉินหยุนเผยท่าทีเฉยชา นางจึงหัวเราะกล่าวเกลี้ยกล่อม “พี่ชาย ท่านปลอมตัวเป็นคนอื่นยังได้! อย่างเช่นให้ข้าใช้ความสามารถเทวะ แปรเปลี่ยนท่านเป็นหญิงสาว จากนั้นค่อยใช้ร่างหญิงสาวนั้นเอาชนะเจี้ยนหนันหู่ให้มันถูกหยามเหยียดอย่างแรง!”
“เจ้านี่นะ อย่าได้คิดเอาแต่แปรเปลี่ยนข้าเป็นหญิงแล้ว!” ฉินหยุนหยิกที่แก้มเชี่ยวเย่ว์เหม่ยพลางยิ้มต่อว่า
“พี่ชาย เหตุใดท่านไม่มองว่ามันน่าสนุก? ถึงตอนนั้น แม้กระทั่งพี่หยางก็ไม่มีทางทราบว่าเป็นท่าน! อย่าได้กังวลไป ข้าจะแปรเปลี่ยนท่านให้เป็นท่านป้าผู้ชราภาพ เช่นนี้ท่านจะได้ไม่ถูกชายอื่นจ้องมองด้วยความกลัดมัน!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยหัวเราะสุขสำราญใจ
ฉินหยุนแทบไม่ทราบว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ต่อสถานการณ์นี้ดี ที่ทำได้ ก็มีแต่ดึงแก้มนางเพื่อเป็นการสอนสั่ง
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของนาง มันคงเป็นเรื่องแปลกหากผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่อาจเลื่อนระดับพลัง
ตำหนักจารึกเทวะแห่งนี้ค่อนข้างอึกทึก ฉินหยุนติดตามเชี่ยวเย่ว์เหม่ยไปพบคนรู้จัก อีกฝ่ายเป็นชายร่างอ้วน มู่เฟิงพบเห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเช่นกัน แม้ร่างอีกฝ่ายอ้วน กระนั้นก็ไม่ใช่ชายผู้ปล่อยตัว ยามได้เห็นเชี่ยวเย่ว์เหม่ยนำชายผู้หนึ่งมา เขาย่อมเกิดความสงสัย ดังนั้นจึงเร่งรีบตามนางไป มู่เฟิงทราบ ว่าเชี่ยวเย่ว์เหม่ยครอบครองเหรียญตราอาจารย์จารึกลึกล้ำ ก่อนหน้า เขากระทั่งร่วมมือกับเชี่ยวเย่ว์เหม่ยเล่นละครปาหี่หลอกลวงผู้คนไปฉากหนึ่ง
“เหล่ามู่ ท่านกำลังลักลอบหาอะไร!” ฉินหยุนทราบว่ามู่เฟิงลอบตามมา
“เจ้าหนู ถึงกับเป็นเจ้า!” มู่เฟิงยินดีเป็นล้นพ้น
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยมาถึงห้องชุดของนาง ประตูเปิดออก นำฉินหยุนและมู่เฟิงเข้าสู่ภายใน จากนั้นนางจึงหันมองภายนอก เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาอีก จากนั้นประตูจึงค่อยปิดลง
“เหล่ามู่ ท่านมีธุระอะไรกับข้า?” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวถาม
“ฉินหยุนเป็นสหายข้า เขาได้เผชิญอันตรายและหลบหนีมีชีวิตรอดมาได้ ดังนั้นข้าย่อมต้องการพบปะ!” มู่เฟิงกล่าว “ข้านึกว่าเขาตายไปแล้ว กระทั่งต้องเสียน้ำตาให้!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเบะปากกล่าวคำ “ผู้ใดกันเชื่อคำโป้ปดของท่าน!”
มู่เฟิงมองที่ฉินหยุนพร้อมกล่าวคำ “ฉินหยุน เจ้าคงได้เก็บเกี่ยวจากเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬครั้งใหญ่เลยกระมัง! กระทั่งเทือกเขานิราศจันทรายังเป็นแดนสมบัติ ข้าแทบไม่กล้าคิดว่าเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬจะเป็นเช่นไร!”
ฉินหยุนยิ้มขื่นตอบกลับไป “เหล่ามู่ หากข้าเก็บเกี่ยวได้ครั้งยิ่งใหญ่ เช่นนั้นข้าคงก้าวถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำไปแล้ว!”
มู่เฟิงจึงกล่าวตอบด้วยใบหน้านึกเดียดฉันท์ต่อคำกล่าวอีกฝ่าย “ฉินหยุน แม้เจ้ายังไม่ถึงขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แต่เพียงเจ้าปรากฏตัว ก็ทำเอาผู้คนขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำกลัวจนตัวสั่นได้แล้ว อย่าได้ถ่อมตนไป ผู้ใดบ้างไม่ทราบกำลังเจ้า?”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยพยักหน้ารับ “พี่ชาย ท่านต้องเข้าร่วมงานชุมนุมยุทธ์ดาบ และสั่งสอนบทเรียนแก่ลูกลิงเจี้ยนหนันหู่นั่น!”
ฉินหยุนยิ้มส่ายศีรษะ “เย่ว์เหม่ย กล่าวตามตรง เจ้ามีข้อเบาะแว้งใดกับเจี้ยนหนันหู่? ข้าจะช่วยเจ้าไกล่เกลี่ย ไม่ใช่การต่อสู้!”
มู่เฟิงหัวเราะดัง “ล่าสุด เด็กน้อยผู้นี้แสร้งทำตัวเป็นคนตระกูลเจี้ยนคดโกงผู้คนไปมาก และถูกเจี้ยนหนันหู่จับได้! โชคดีที่ข้าอยู่ตรงนั้นและร่วมมือกับนางได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้น นางคงถูกเปิดโปงไปแล้ว!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจ้องมองมู่เฟิงค้อนกลับ
มู่เฟิงกล่าว “ฉินหยุน งานชุมนุมยุทธ์ดาบไม่ใช่เพียงแต่งานประลองยุทธ์ธรรมดา แต่ยังมีการแข่งขันจารึก! การแข่งขันประลองยุทธ์แบ่งออกเป็นหลายระดับ มีทั้งยอดยุทธ์ ราชันยุทธ์ และจักรพรรดิยุทธ์! แน่นอนว่าเจ้าสามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับยอดยุทธ์ได้!”
“การแข่งขันแรกที่เริ่มคือการแข่งขันจารึก ครั้งนี้ตระกูลเจี้ยนได้นำของดีออกมาเผยในช่วงโค้งสุดท้ายพอดี!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยจึงถามขึ้น “มันคืออะไร? ตอนนี้ ผู้คนภายนอกต่างคาดเดากันจนหาความจริงไม่เจอ!”
มู่เฟิงตอบกลับมา “ข้าย่อมมีแหล่งข่าวเชื่อถือได้ กล่าวกันว่าเป็นอักขระตะวันชั้นเลิศ!”
อักขระตะวันชั้นเลิศ!
หางตาฉินหยุนกระตุกแรง อักขระนี้เป็นสิ่งที่เขาคิดอยากได้รับมาโดยตลอด แม้โมโมสามารถมองเห็นเส้นมืดและซ่อมแซมอักขระที่เสียหาย กระนั้นนางกลับไม่อาจคัดลอกอักขระตะวัน บรรทมเซียนตะวันจันทราย่อมมีอักขระตะวัน ทว่าโมโมไม่อาจเอื้อมมือได้ถึง นั่นก็เพราะโมโมยังไม่แข็งแกร่งพอ!
“หากเป็นเพียงอักขระตะวันชั้นเลิศหนึ่งชุด นั่นก็ไร้ค่า!” ฉินหยุนส่ายศีรษะ
“ย่อมไม่ใช่หนึ่งชุด กล่าวกันว่ามีถึงหลายชุด!” มู่เฟิงกล่าว “ตัวข้าได้ลงทะเบียนเข้าร่วมแข่งขันไปแล้วเช่นกัน! แน่นอนว่าความหวังชนะค่อนข้างห่างไกล ตระกูลเจี้ยนและขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ต่างก็ส่งอาจารย์จารึกเต๋าเข้าร่วม!”
เชี่ยวเย่ว์เหม่ยกล่าวอย่างไม่ยินดี “แม้มีคนชนะ อักขระตะวันก็ยังอยู่ในมือตระกูลเจี้ยนอยู่ดี!”
“ข้าจะไปลงทะเบียนเข้าร่วมการแข่งขันจารึก!” ฉินหยุนพลันกล่าว
“พี่ชาย ดีกว่าหากเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย แข่งขันจารึกยังมีหวังอันใด? ท่านไม่มีทางเอาชนะอาจารย์จารึกเต๋าเหล่านั้นได้!” เชี่ยวเย่ว์เหม่ยเข้ามาเขย่าแขนฉินหยุน
“ข้าจะเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ด้วย เท่านี้ก็พอใจแล้วใช่หรือไม่?” ฉินหยุนหัวเราะรับ
“ฉินหยุน หากเจ้าคิดเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ ดีที่สุดคืออย่าได้คว้าอันดับหนึ่งมาครอง!” มู่เฟิงกล่าวออกด้วยสีหน้าจริงจัง
“เพราะอะไร?” ฉินหยุนและเชี่ยวเย่ว์เหม่ยถามเป็นเสียงเดียวกัน
“เพราะอันดับหนึ่ง ย่อมต้องเป็นการประลองระหว่างดาบและมังกร! มันหมายความถึงการขันแข่งระหว่างตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยน หากเจ้าได้รับอันดับหนึ่ง ข้าเกรงว่า… ข้าเกรงว่าทั้งตระกูลหลงและตระกูลเจี้ยนจะตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้า!” มู่เฟิงกล่าวความคิดของตนออกมา