Nine Sun God King ราชันเทพเก้าสุริยัน - ตอนที่ 744 ราชินีที่มีโทสะ
ฉินหยุนยิ้มแย้ม เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นพร้อมก้าวเดินเชื่องช้าไปยังลาน
ประลอง สายตาของเขาสงบยามมองที่เย่ว์โยว
สีหน้าของเย่ว์โยวภายใต้หน้ากากตื่นตะลึงถึงที่สุด
นางไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะมาอยู่ที่นี่
ทางด้านหยางฉีเย่ว์ก็เช่นกัน!
ส่วนเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกเขาแทบไม่คล้ายแปลกใจ เพราะ
ฉินหยุนมักทำตัวลึกลับเช่นนี้เสมอ
“เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของเย่ว์โยวอัดแน่นด้วยโทสะ
ยามเมื่อนางได้เห็นใบหน้าฉินหยุน ความเกลียดชังจึงท่วมท้นขึ้นมา
“เจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ล่อลวงให้ข้าเข้ามา?” ฉินหยุนหัวเราะ “เย่ว์โยว
เจ้าพบเจอท่านลุงผู้นี้ สมควรต้องเร่งรีบถอดหน้ากากยิ้มแย้มทักทาย
แก่ข้า!”
ซื่อเย่ว์พอได้ยิน เขาเร่งรีบพุ่งทะยานมาพร้อมตะโกนโกรธแค้น “เจ้า
กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาสามหาวต่อองค์ราชินี! หน่ายมีชีวิตแล้วหรือ
ไร!?”
ซื่อเย่ว์พุ่งทะยานเข้าพร้อมต่อยหมัดใส่ฉินหยุน ฉับพลันแรงระเบิด
สายฟ้าอสนีบาตรุนแรงบังเกิดจนเป็นผลให้ทั้งห้องโถงสั่นไหว
“สวะ!”
ฉินหยุนลงมือ ใช้ดัชนีทะลวงฟ้า กระบวนท่าดัชนีทะลวงภูผาแยก
ปฐพีทิ่มแทงเข้าใส่หมัดของซื่อเย่ว์
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นบังเกิด มวลคลื่นอากาศรุนแรงพัดพาเข้าปกคลุม
ทั้งห้องโถง
ซื่อเย่ว์ต้องถอยไปหลายก้าว ใบหน้านั้นตื่นตะลึง แขนของเขาสั่น
เทิ้มทั้งยังเลือดไหลเจิ่งนอง!
ฉินหยุนยังต้องทึ่ง ก่อนหน้า เขาคิดว่าสมควรบดขยี้แขนของซื่อเย่ว์
ได้ในหนึ่งกระบวนท่า กระนั้นอีกฝ่ายกลับสามารถต้านรับเอาไว้
“ข้าเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง เจ้าอยู่ระดับสูงสุด
ด้วยการถูกข้ากดดันกลับเช่นนี้ หมายความถึงตัวเจ้านั้นอ่อนแอ!”
ฉินหยุนเผยยิ้มบาง
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ผู้ซึ่งคุกเข่าเมื่อครู่ เวลานี้ล้วนตื่นตะลึง
ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าซื่อเย่ว์อ่อนแอ!
ต้องทราบ ว่าซื่อเย่ว์และพรรคพวกถือกำเนิดมาพร้อมร่างเซียนและ
วิญญาณยุทธ์สีดำ
หลังผ่านประสบการณ์มากมาย พวกเขาครอบครองพลังอำนาจอัน
แข็งแกร่ง ได้ฝึกฝนร่างเซียนจนลึกล้ำ
กระนั้นเวลานี้ กลับมีคนผู้หนึ่งกล้ากล่าวว่าพวกเขาเหล่านี้อ่อนแอ!
ฉินหยุนย่อมทราบถึงความแข็งแกร่งของอำนาจร่างเซียนอสูร หาก
เขาพบเจอกับคนเช่นซื่อเย่ว์ก่อนหน้า เขาต่างหากจึงต้องเป็นฝ่าย
เผชิญความยากลำบาก
เปาเฉิงโฉ่วและคณะล้วนทราบ ว่าฉินหยุนสามารถเอาชนะผู้ครอบ
ครองโลหิตอสูรและโลหิตเซียนได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ประหลาด
ใจใดต่อพลังที่ฉินหยุนสำแดงออก
“เจ้าและข้า พวกเราขึ้นไปสู้กันบนลานนั่น!” ซื่อเย่ว์เผยเสียงกราด
เกรี้ยวมือไม้สั่น
ฉินหยุนพุ่งทะยานประหนึ่งลำแสงขึ้นบนลานประลอง ยืนหยัดที่
ตรงหน้าเย่ว์โยว
หยางฉีเย่ว์เร่งรีบรั้งเย่ว์โยวเอาไว้!
เย่ว์โยวสะกดข่มความโกรธในหัวใจพร้อมกล่าว “ซื่อเย่ว์ ตราบเท่าที่
เอาชนะตัวบัดซบนี้ได้ ข้าจะมอบเม็ดยาลึกล้ำจันทราทมิฬแก่เจ้าสิบ
เม็ด!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ต่อให้เจ้ามอบแก่มันสักร้อยเม็ดก็ไร้ค่า! เย่ว์โยว
เจ้าเองก็เป็นสวะไม่แพ้กัน! ผ่านมาแล้วหมื่นปีเจ้ายังไม่อาจได้รับ
จันทราทมิฬ! ผู้คนที่ยกยอเจ้าก็เป็นสวะไม่ต่างกัน!”
“เจ้าว่าอะไร?” เย่ว์โยวเผยโทสะเปี่ยมล้น นางเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมตบ
ใบหน้าฉินหยุน
“ข้าพูด ว่าเจ้าคือสวะตัวหนึ่ง!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว “อย่าได้บอก
ข้าว่าคำกล่าวนี้ไม่จริง? ผ่านมาหนึ่งหมื่นปี เจ้ายังไม่อาจได้ครอบ
ครองจันทราทมิฬ!”
“ดี! เจ้าจงรอข้า!”
เย่ว์โยวโดนคำกล่าวอย่างหนักหนา เพราะฉินหยุนบดขยี้ที่จุดด้อย
ของนาง
ครั้งที่นางถูกบีบบังคับให้เข้ามายังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นาง
ก็ทราบแล้วว่าที่นี่มีจันทราทมิฬ กระนั้น หลังผ่านไปหมื่นปี นางก็ยัง
ไม่อาจได้รับมันมา
นางพยายามอย่างหนักหนา กระนั้นมันก็ยังไม่อาจตกอยู่ในมือนาง
เย่ว์โยวดึงหยางฉีเย่ว์ลงจากลานประลอง พร้อมโบกมือไหววูบเปิด
ม่านพลัง
“เริ่มได้!” เย่ว์โยวตะโกนดัง
ผู้คนล้วนได้เห็น ว่าเย่ว์โยวถูกยั่วโทสะครั้งหนักหนา ความพิโรธใน
ใจนาง ทำเอาหลายคนเกิดนึกหวาดเกรง
ซื่อเย่ว์ยืนด้านบนลานประลอง สายตามองทางฉินหยุนที่ยังเผยยิ้ม
มันทำให้เขายิ่งมีโทสะ
“แขนเจ้าคล้ายไม่อาจใช้งานได้แล้วกระมัง!” ฉินหยุนมองที่ซื่อเย่ว์
ซึ่งมีอาการแขนสั่นก่อนจะเผยยิ้มบาง
“นิ้วเดียวข้าก็เอาชนะเจ้าได้!” ซื่อเย่ว์ตะโกนดังทุ้มลึก อย่างกะทันหัน
คลื่นสายฟ้าอสนีบาตรุนแรงได้ปรากฏทั่วลานประลอง นี่เป็นพลัง
ความสามารถเทวะ
สายฟ้าอสนีบาตสีดำนับไม่ถ้วนเข้าปะทะกับร่างฉินหยุนแล้ว!
สายฟ้าคลุ้มคลั่งสารพัดชนิดมันเกิดขึ้นจำนวนไม่รู้จบทิ่มแทงใส่ร่าง
ฉินหยุน
ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือสีหน้าฉินหยุนยังคงสงบ เขาเพียงยืนตรงนั้นไม่
ไหวติง เขาไม่คล้ายได้รับผลกระทบใดจากสายฟ้าเหล่านี้
ผู้คนต่างต้องทึ่ง เพราะฉินหยุนอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูง!
ตัวเขาสามารถต้านรับความสามารถเทวะของขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับสูงสุดไว้ได้!
“เลิกแสร้งทำได้แล้ว!” ซื่อเย่ว์เชื่อ ว่าฉินหยุนอดทนต้านรับไว้อย่าง
ยากลำบาก นั่นก็เพราะทุกคู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาก่อน ตราบเท่าที่
อยู่ระดับพลังเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นต้องหวาดเกรงกระบวนท่านี้
“สวะเช่นเจ้า กลับกล้าดีไม่เคารพต่อพี่หยางอย่างนั้นหรือ!” ฉินหยุน
มีโทสะสุมอัดในใจ ร่างกายสว่างไหววูบ เขาปรากฏตัวด้านหลังซื่อ
เย่ว์พร้อมโจมตีออกด้วยห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์!
สายฟ้าอสนีบาตสีดำรอบด้านพลันกลับกลายเป็นราชสีห์สวรรค์
อสนีบาตสีดำ ทั้งนี้ มันยังมาพร้อมอัคคีเพลิงสีดำที่รุนแรง
ฝ่ามือฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ มันฟาดฟันเข้า
ที่ใบหน้าของซื่อเย่ว์!
ตู้ม!
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์เคลื่อนคล้อย ราชสีห์สวรรค์คำรามร้องกราด
เกรี้ยว พลังทะลักล้นท่วมท้นราวสวรรค์พังทลาย!
เสียงคำรามร้องราชสีห์สวรรค์ มันเกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นไหวรุนแรง
จนผู้คนที่รับฟังต้องเกิดนึกหวาดกลัว
และซื่อเย่ว์ ดวงตาเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวกลอกขึ้น ร่างนั้นนอน
นิ่งกับพื้นไร้การเคลื่อนไหวใดราวผู้ตายแล้ว
ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวผิดรูป เป็นสภาพชวนเวทนาหากถูกพบเห็น!
ฉินหยุนหันมองทางเย่ว์โยวพร้อมแค่นเสียงกล่าว “เจ้าเห็นหรือไม่?
สวะผู้นี้หรือเจ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมันมา? ลูกไก่ยังแข็งแกร่งกว่ามัน!”
“อย่าได้อวดดีไปนัก!” เย่ว์โยวคำรามเสียงดัง “ซื่อเย่ว์อวดดีเกินไป
ทั้งนี้ยังได้รับบาดเจ็บมาก่อน เพราะอย่างนั้นจึงพ่ายแพ้!”
“ซานเย่ว์ เจ้าขึ้นไป!” เย่ว์โยวปลดม่านพลัง
*ซาน หมายถึง สาม ดังนั้นคนผู้นี้จึงอยู่ลำดับที่สาม*
ซานเย่ว์ร่างสูง แม้เขาได้เห็นการประลองของฉินหยุนเมื่อครู่ กระนั้น
ใบหน้าก็ยังเรียบนิ่ง เป็นเขาอหังการอวดดีมองเหยียดต่อทุกผู้คน
ซานเย่ว์ขึ้นมาพร้อมเผยสามนิ้วให้ฉินหยุน!
“คิดเอาชนะข้าในสามกระบวนท่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่! ข้าจะนับถึงสาม และเมื่อนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้!” ซานเย่ว์เผยยิ้มเย็น
เยือก สายตาจ้องมองฉินหยุนอย่างดุดัน “กำลังเจ้าไม่แย่! กระนั้น
เอาชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั้นออกจะเกินไป! พริบตาข้าก็เอา
ชนะเจ้าได้แล้ว!”
เย่ว์โยวหัวเราะภาคภูมิ “ซานเย่ว์ครอบครองสามวิญญาณยุทธ์! เอา
ชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั่นเรียกออมมือแล้ว!”
หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเบา “เย่ว์โยว พวกเราพนันกันเป็นอย่างไร?
หากซานเย่ว์แพ้ เจ้าต้องให้ฉินหยุนได้ออกไป!”
“ย่อมได้!” เย่ว์โยวพยักหน้ารับ “หากซานเย่ว์ชนะ ฉินหยุนต้องอยู่
ที่นี่ ทั้งข้าจะยังทรมานมันทุกวี่วัน!”
“ได้!” หยางฉีเย่ว์เชื่อมั่นในกำลังของฉินหยุน เพราะนางรู้จักฉินหยุน
ดียิ่งกว่าผู้ใด
เย่ว์โยวเร่งร้อนตะโกนดังขึ้น “เริ่ม!”
การศึกเมื่อเริ่มขึ้น ฉินหยุนและซานเย่ว์หาได้เคลื่อนไหวใด
น้ำเสียงซานเย่ว์อัดแน่นด้วยความอหังการอวดดี เขาขึ้นเสียงกล่าวคำ
“จงสดับรับฟัง ข้าจะนับถึงสาม และหลังจากสาม เจ้าก็พ่ายแพ้ไป
แล้ว!”
ผู้คนต่างรั้งลมหายใจรับชม พวกเขาคิดอยากได้เห็น ว่าซานเย่ว์ทรง
พลังอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่!
“เจ้าเด็กอหังการอวดดีนั่นอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ นายท่านซานเย่ว์
ย่อมตัดศีรษะมันได้ในพริบตา!”
“สงสัยนักว่าเด็กนั่นเป็นใคร? มันกล้าดีอย่างไรเสียมารยาทต่อองค์
ราชินี นายท่านซานเย่ว์ต้องจัดการมันจนสภาพชวนสังเวช!”
“องค์ราชินีเกลียดชังเด็กนั่นมากล้น หากท่านไม่ยั้งโทสะ เช่นนั้นมัน
คงตายไปนานแล้ว!”
ซานเย่ว์เริ่มนับ “หนึ่ง สอง…”
ขณะนับถึงสอง หลิงหยุนเอ๋อจึงปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงมหาศาล
กดทับลงที่ร่างซานเย่ว์
ฉินหยุนก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง ทั้งยังฝึกฝนร่าง
เซียนอสูร แก่นเต๋าตะวันทมิฬของเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล!
หลิงหยุนเอ๋อเวลานี้ใช้งานพลังทั้งหมดที่มี นางไม่หวาดเกรงว่าจะ
เป็นการทำร้ายร่างกายฉินหยุนอีก นางจึงปลดปล่อยพลังอันเลิศล้ำ
ออกจากแก่นเต๋าตะวันทมิฬได้โดยไม่ต้องห่วงหาใด
ตู้ม!
อหังการอวดดีเช่นซานเย่ว์ ยังไม่อาจได้นับ “สาม” ร่างนั้นถูกสะกด
ลงกับพื้นกระอักเลือดออกมาคำโต
ฉินหยุนก้าวเดินไป ราวกับเขามองสุนัขที่ตายข้างทางตัวหนึ่ง ฝ่ามือ
ยกขึ้น เริ่มตบที่ใบหน้ายืดยาวของซานเย่ว์จนมีแต่เลือดเปรอะเปื้อน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…
ผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าซานเย่ว์บวมปูดผิดรูปจนแทบไม่อาจจดจำ ทั้ง
ยังมีบาดแผลถูกความร้อนเผาไหม้
“ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก!”
ฉินหยุนตบหน้าอีกหลายครั้งคราก่อนจะได้เห็นว่าซานเย่ว์หมดสิ้น
สติ เขาจึงโยนอีกฝ่ายเข้าปะทะม่านพลังประหนึ่งโยนขยะเปียกชิ้น
หนึ่ง
เย่ว์โยวจับจ้องอย่างตื่นตะลึงไร้ความคิดอื่นใด!
บรรดาผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยวต่างนิ่งอึ้งเช่นกัน!
ท่ามกลางคนทั้งสี่ ที่เหลืออีกสองคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ใบหน้า
พวกเขาที่อหังการอวดดี เวลานี้ยังต้องเผยร่องรอยความหวาดกลัว
หยางฉีเย่ว์หัวเราะเบา “เย่ว์โยว เจ้าแพ้แล้ว!”
เย่ว์โยวปลดม่านพลังออก หลายผู้คนเร่งรีบเข้าไปหามร่างซานเย่ว์
ออกมา!
“เจ้าใช้วิชามารอันใด?” เย่ว์โยวเอ่ยถามเสียงเย็น
“ประลองแพ้คนไม่แพ้งั้นหรือ?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้า
แข็งแกร่งหรือไร? จะบอกว่าเจ้าไม่เห็นอันใดเลย?”
“ตัวบัดซบ!” เย่ว์โยวร่างสั่นคิดอยากตบใบหน้าฉินหยุน กระนั้นนาง
ไม่กล้า เพราะหยางฉีเย่ว์อยู่ที่นี่
ทันใดนี้เอง ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งจึงก้าวเดินเข้ามา “องค์ราชินี ให้ข้า
ได้จัดการมัน!”
ฉินหยุนพอได้ฟัง เขาจึงหัวเราะดัง “เจ้า ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แท้จริง
ถึงขั้นคิดอยากต่อสู้กับข้า ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
สูงอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้านี่หน้าไม่อายหรือไร? น่าขันนักที่เมื่อครู่พวกเจ้าสี่คนอหังการ
อวดดี คิดหรือว่าตนเองแข็งแกร่งสุดในโลกหล้าจนมีแต่ผู้อ่อนแอให้
รังแกได้! พวกเจ้าก็แค่คนอวดดีที่หากกล่าวถึงก็คงเป็นเรื่องขบขัน!”
“ให้ข้าทุบตีเจ้าจนตายตก!”
โทสะของชายหนุ่มถูกกระตุ้น เขาคิดยื่นมือออกเพื่อลงมือ กระนั้น
ถูกเย่ว์โยวห้ามปรามไว้
เย่ว์โยวเผยเสียง “เอ้อเย่ว์ หยุดสร้างปัญหา!”
*เอ้อ หมายความถึง สอง*
“เย่ว์โยว ตัวตนที่เจ้าฟูมฟักมามันก็ได้แค่นี้! เจ้านี่มันช่าง… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินหยุนหัวเราะอย่างเดียดฉันท์เป็นการยั่วยุเย่ว์โยว เขายังนึกถึงครั้ง
ที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลทราย นั่นคือเรื่องที่ทำให้เขามีโทสะเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเสวียนฉินก้าวเดินเข้ามาและกล่าว “ฉินหยุน ด้วยกำลังเจ้า จัดการ
สวะขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำสองตัวก็ไม่น่ามีปัญหากระมัง?”
“โอ้ ข้าไม่คิดสู้กับพวกมัน! ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนผู้คนกล่าวหาว่า
รังแกขยะเปียกเป็นแน่!” ฉินหยุนหัวเราะดัง
เย่ว์โยวมีโทสะสูงล้นฟ้า นางไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเหตุใดทั้งหยางฉีเย่ว์
และเซี่ยวเสวียนฉินจึงต้องการช่วยเหลือฉินหยุน
“ฉินหยุนใช่หรือไม่? เจ้าแข็งแกร่งมากมายเพียงนั้น? หากเจ้าเอาชนะ
เอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ ข้อพิพาทระหว่างข้าและเจ้าจะถือว่าหมดสิ้นต่อ
กัน คราวนี้เจ้าจะว่าอย่างไร?” เย่ว์โยวคิดอยากพลิกกระดานในศึก
เดียว ไม่อย่างนั้น นางคงยากกล้ำกลืนเรื่องราวนี้ลงท้อง
“ข้อพิพาทหรือ? ข้าหาได้ติดค้างอันใดต่อเจ้า! กลับกัน เป็นเจ้าหลอก
ให้ข้าเข้ามายังที่นี่ กระทั่งให้เหยี่ยวดำตัวนั้นนำข้าไปทิ้งไว้กลาง
ทะเลทรายที่มีค่ายอาคมใหญ่เขาวงกต!” ฉินหยุนยามเอ่ยถึงเรื่องนี้
เขายิ่งกราดเกรี้ยว
กล่าวคำจบ เขามองทางเอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ น้ำเสียงแค่นดังกล่าวคำ
“ข้าไม่ทราบว่าพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด เพียงเห็นว่ามี
คนยอมคุกเข่าโขกศีรษะให้ แล้วจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าอย่างนั้น
หรือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง!”
เย่ว์โยวสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าว “ฉินหยุน ศิษย์ที่ข้า เย่ว์โยวผู้นี้
ฝึกฝนขึ้นมา ย่อมต้องเป็นชนชั้นระดับแนวหน้า!”
“อย่างนั้นเจ้ากำลังบอก ว่าคนที่ข้าเพิ่งตบหน้าจนหมดสติเมื่อครู่เป็น
ชนชั้นแนวหน้าแล้ว?” ฉินหยุนแค่นเสียง
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง! เจ้าต้อง
อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอย่างแน่นอน!” เย่ว์โยวกล่าวคำจบ นางนำเอา
อุปกรณ์ออกมา “หากข้าตรวจพบได้ว่าเจ้าคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
เช่นนั้นเจ้ารับตาย!”
อุปกรณ์นี้ เป็นไข่มุกเม็ดใหญ่
ดวงตาเย่ว์โยวเผยแสงเย็นเยียบ นางกล่าวคำ “วางมือเจ้าลง!”
“ข้าจึงไม่!” ฉินหยุนตะโกนตอบ
ฉินหยุนยิ้มแย้ม เขาม้วนแขนเสื้อขึ้นพร้อมก้าวเดินเชื่องช้าไปยังลาน
ประลอง สายตาของเขาสงบยามมองที่เย่ว์โยว
สีหน้าของเย่ว์โยวภายใต้หน้ากากตื่นตะลึงถึงที่สุด
นางไม่คาดคิด ว่าฉินหยุนจะมาอยู่ที่นี่
ทางด้านหยางฉีเย่ว์ก็เช่นกัน!
ส่วนเจี้ยนสือเทียนและคณะ พวกเขาแทบไม่คล้ายแปลกใจ เพราะ
ฉินหยุนมักทำตัวลึกลับเช่นนี้เสมอ
“เหตุใดเจ้าอยู่ที่นี่?” น้ำเสียงของเย่ว์โยวอัดแน่นด้วยโทสะ
ยามเมื่อนางได้เห็นใบหน้าฉินหยุน ความเกลียดชังจึงท่วมท้นขึ้นมา
“เจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นผู้ล่อลวงให้ข้าเข้ามา?” ฉินหยุนหัวเราะ “เย่ว์โยว
เจ้าพบเจอท่านลุงผู้นี้ สมควรต้องเร่งรีบถอดหน้ากากยิ้มแย้มทักทาย
แก่ข้า!”
ซื่อเย่ว์พอได้ยิน เขาเร่งรีบพุ่งทะยานมาพร้อมตะโกนโกรธแค้น “เจ้า
กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาสามหาวต่อองค์ราชินี! หน่ายมีชีวิตแล้วหรือ
ไร!?”
ซื่อเย่ว์พุ่งทะยานเข้าพร้อมต่อยหมัดใส่ฉินหยุน ฉับพลันแรงระเบิด
สายฟ้าอสนีบาตรุนแรงบังเกิดจนเป็นผลให้ทั้งห้องโถงสั่นไหว
“สวะ!”
ฉินหยุนลงมือ ใช้ดัชนีทะลวงฟ้า กระบวนท่าดัชนีทะลวงภูผาแยก
ปฐพีทิ่มแทงเข้าใส่หมัดของซื่อเย่ว์
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นบังเกิด มวลคลื่นอากาศรุนแรงพัดพาเข้าปกคลุม
ทั้งห้องโถง
ซื่อเย่ว์ต้องถอยไปหลายก้าว ใบหน้านั้นตื่นตะลึง แขนของเขาสั่น
เทิ้มทั้งยังเลือดไหลเจิ่งนอง!
ฉินหยุนยังต้องทึ่ง ก่อนหน้า เขาคิดว่าสมควรบดขยี้แขนของซื่อเย่ว์
ได้ในหนึ่งกระบวนท่า กระนั้นอีกฝ่ายกลับสามารถต้านรับเอาไว้
“ข้าเป็นเพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง เจ้าอยู่ระดับสูงสุด
ด้วยการถูกข้ากดดันกลับเช่นนี้ หมายความถึงตัวเจ้านั้นอ่อนแอ!”
ฉินหยุนเผยยิ้มบาง
ราชันยุทธ์และจักรพรรดิยุทธ์ผู้ซึ่งคุกเข่าเมื่อครู่ เวลานี้ล้วนตื่นตะลึง
ถึงขั้นมีคนกล่าวว่าซื่อเย่ว์อ่อนแอ!
ต้องทราบ ว่าซื่อเย่ว์และพรรคพวกถือกำเนิดมาพร้อมร่างเซียนและ
วิญญาณยุทธ์สีดำ
หลังผ่านประสบการณ์มากมาย พวกเขาครอบครองพลังอำนาจอัน
แข็งแกร่ง ได้ฝึกฝนร่างเซียนจนลึกล้ำ
กระนั้นเวลานี้ กลับมีคนผู้หนึ่งกล้ากล่าวว่าพวกเขาเหล่านี้อ่อนแอ!
ฉินหยุนย่อมทราบถึงความแข็งแกร่งของอำนาจร่างเซียนอสูร หาก
เขาพบเจอกับคนเช่นซื่อเย่ว์ก่อนหน้า เขาต่างหากจึงต้องเป็นฝ่าย
เผชิญความยากลำบาก
เปาเฉิงโฉ่วและคณะล้วนทราบ ว่าฉินหยุนสามารถเอาชนะผู้ครอบ
ครองโลหิตอสูรและโลหิตเซียนได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ประหลาด
ใจใดต่อพลังที่ฉินหยุนสำแดงออก
“เจ้าและข้า พวกเราขึ้นไปสู้กันบนลานนั่น!” ซื่อเย่ว์เผยเสียงกราด
เกรี้ยวมือไม้สั่น
ฉินหยุนพุ่งทะยานประหนึ่งลำแสงขึ้นบนลานประลอง ยืนหยัดที่
ตรงหน้าเย่ว์โยว
หยางฉีเย่ว์เร่งรีบรั้งเย่ว์โยวเอาไว้!
เย่ว์โยวสะกดข่มความโกรธในหัวใจพร้อมกล่าว “ซื่อเย่ว์ ตราบเท่าที่
เอาชนะตัวบัดซบนี้ได้ ข้าจะมอบเม็ดยาลึกล้ำจันทราทมิฬแก่เจ้าสิบ
เม็ด!”
ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ต่อให้เจ้ามอบแก่มันสักร้อยเม็ดก็ไร้ค่า! เย่ว์โยว
เจ้าเองก็เป็นสวะไม่แพ้กัน! ผ่านมาแล้วหมื่นปีเจ้ายังไม่อาจได้รับ
จันทราทมิฬ! ผู้คนที่ยกยอเจ้าก็เป็นสวะไม่ต่างกัน!”
“เจ้าว่าอะไร?” เย่ว์โยวเผยโทสะเปี่ยมล้น นางเงื้อฝ่ามือขึ้นเตรียมตบ
ใบหน้าฉินหยุน
“ข้าพูด ว่าเจ้าคือสวะตัวหนึ่ง!” ฉินหยุนแค่นเสียงกล่าว “อย่าได้บอก
ข้าว่าคำกล่าวนี้ไม่จริง? ผ่านมาหนึ่งหมื่นปี เจ้ายังไม่อาจได้ครอบ
ครองจันทราทมิฬ!”
“ดี! เจ้าจงรอข้า!”
เย่ว์โยวโดนคำกล่าวอย่างหนักหนา เพราะฉินหยุนบดขยี้ที่จุดด้อย
ของนาง
ครั้งที่นางถูกบีบบังคับให้เข้ามายังเขตแดนอ้างว้างจันทราทมิฬ นาง
ก็ทราบแล้วว่าที่นี่มีจันทราทมิฬ กระนั้น หลังผ่านไปหมื่นปี นางก็ยัง
ไม่อาจได้รับมันมา
นางพยายามอย่างหนักหนา กระนั้นมันก็ยังไม่อาจตกอยู่ในมือนาง
เย่ว์โยวดึงหยางฉีเย่ว์ลงจากลานประลอง พร้อมโบกมือไหววูบเปิด
ม่านพลัง
“เริ่มได้!” เย่ว์โยวตะโกนดัง
ผู้คนล้วนได้เห็น ว่าเย่ว์โยวถูกยั่วโทสะครั้งหนักหนา ความพิโรธใน
ใจนาง ทำเอาหลายคนเกิดนึกหวาดเกรง
ซื่อเย่ว์ยืนด้านบนลานประลอง สายตามองทางฉินหยุนที่ยังเผยยิ้ม
มันทำให้เขายิ่งมีโทสะ
“แขนเจ้าคล้ายไม่อาจใช้งานได้แล้วกระมัง!” ฉินหยุนมองที่ซื่อเย่ว์
ซึ่งมีอาการแขนสั่นก่อนจะเผยยิ้มบาง
“นิ้วเดียวข้าก็เอาชนะเจ้าได้!” ซื่อเย่ว์ตะโกนดังทุ้มลึก อย่างกะทันหัน
คลื่นสายฟ้าอสนีบาตรุนแรงได้ปรากฏทั่วลานประลอง นี่เป็นพลัง
ความสามารถเทวะ
สายฟ้าอสนีบาตสีดำนับไม่ถ้วนเข้าปะทะกับร่างฉินหยุนแล้ว!
สายฟ้าคลุ้มคลั่งสารพัดชนิดมันเกิดขึ้นจำนวนไม่รู้จบทิ่มแทงใส่ร่าง
ฉินหยุน
ที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือสีหน้าฉินหยุนยังคงสงบ เขาเพียงยืนตรงนั้นไม่
ไหวติง เขาไม่คล้ายได้รับผลกระทบใดจากสายฟ้าเหล่านี้
ผู้คนต่างต้องทึ่ง เพราะฉินหยุนอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณ
ระดับสูง!
ตัวเขาสามารถต้านรับความสามารถเทวะของขอบเขตวรยุทธ์
วิญญาณระดับสูงสุดไว้ได้!
“เลิกแสร้งทำได้แล้ว!” ซื่อเย่ว์เชื่อ ว่าฉินหยุนอดทนต้านรับไว้อย่าง
ยากลำบาก นั่นก็เพราะทุกคู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญหน้ามาก่อน ตราบเท่าที่
อยู่ระดับพลังเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นต้องหวาดเกรงกระบวนท่านี้
“สวะเช่นเจ้า กลับกล้าดีไม่เคารพต่อพี่หยางอย่างนั้นหรือ!” ฉินหยุน
มีโทสะสุมอัดในใจ ร่างกายสว่างไหววูบ เขาปรากฏตัวด้านหลังซื่อ
เย่ว์พร้อมโจมตีออกด้วยห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์!
สายฟ้าอสนีบาตสีดำรอบด้านพลันกลับกลายเป็นราชสีห์สวรรค์
อสนีบาตสีดำ ทั้งนี้ มันยังมาพร้อมอัคคีเพลิงสีดำที่รุนแรง
ฝ่ามือฉินหยุนแปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บราชสีห์สวรรค์ มันฟาดฟันเข้า
ที่ใบหน้าของซื่อเย่ว์!
ตู้ม!
ห้าฝ่ามือมังกรสัมบูรณ์เคลื่อนคล้อย ราชสีห์สวรรค์คำรามร้องกราด
เกรี้ยว พลังทะลักล้นท่วมท้นราวสวรรค์พังทลาย!
เสียงคำรามร้องราชสีห์สวรรค์ มันเกิดเป็นคลื่นเสียงสั่นไหวรุนแรง
จนผู้คนที่รับฟังต้องเกิดนึกหวาดกลัว
และซื่อเย่ว์ ดวงตาเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวกลอกขึ้น ร่างนั้นนอน
นิ่งกับพื้นไร้การเคลื่อนไหวใดราวผู้ตายแล้ว
ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวผิดรูป เป็นสภาพชวนเวทนาหากถูกพบเห็น!
ฉินหยุนหันมองทางเย่ว์โยวพร้อมแค่นเสียงกล่าว “เจ้าเห็นหรือไม่?
สวะผู้นี้หรือเจ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมันมา? ลูกไก่ยังแข็งแกร่งกว่ามัน!”
“อย่าได้อวดดีไปนัก!” เย่ว์โยวคำรามเสียงดัง “ซื่อเย่ว์อวดดีเกินไป
ทั้งนี้ยังได้รับบาดเจ็บมาก่อน เพราะอย่างนั้นจึงพ่ายแพ้!”
“ซานเย่ว์ เจ้าขึ้นไป!” เย่ว์โยวปลดม่านพลัง
*ซาน หมายถึง สาม ดังนั้นคนผู้นี้จึงอยู่ลำดับที่สาม*
ซานเย่ว์ร่างสูง แม้เขาได้เห็นการประลองของฉินหยุนเมื่อครู่ กระนั้น
ใบหน้าก็ยังเรียบนิ่ง เป็นเขาอหังการอวดดีมองเหยียดต่อทุกผู้คน
ซานเย่ว์ขึ้นมาพร้อมเผยสามนิ้วให้ฉินหยุน!
“คิดเอาชนะข้าในสามกระบวนท่า?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“ไม่! ข้าจะนับถึงสาม และเมื่อนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้!” ซานเย่ว์เผยยิ้มเย็น
เยือก สายตาจ้องมองฉินหยุนอย่างดุดัน “กำลังเจ้าไม่แย่! กระนั้น
เอาชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั้นออกจะเกินไป! พริบตาข้าก็เอา
ชนะเจ้าได้แล้ว!”
เย่ว์โยวหัวเราะภาคภูมิ “ซานเย่ว์ครอบครองสามวิญญาณยุทธ์! เอา
ชนะเจ้าในสามกระบวนท่านั่นเรียกออมมือแล้ว!”
หยางฉีเย่ว์ถอนหายใจเบา “เย่ว์โยว พวกเราพนันกันเป็นอย่างไร?
หากซานเย่ว์แพ้ เจ้าต้องให้ฉินหยุนได้ออกไป!”
“ย่อมได้!” เย่ว์โยวพยักหน้ารับ “หากซานเย่ว์ชนะ ฉินหยุนต้องอยู่
ที่นี่ ทั้งข้าจะยังทรมานมันทุกวี่วัน!”
“ได้!” หยางฉีเย่ว์เชื่อมั่นในกำลังของฉินหยุน เพราะนางรู้จักฉินหยุน
ดียิ่งกว่าผู้ใด
เย่ว์โยวเร่งร้อนตะโกนดังขึ้น “เริ่ม!”
การศึกเมื่อเริ่มขึ้น ฉินหยุนและซานเย่ว์หาได้เคลื่อนไหวใด
น้ำเสียงซานเย่ว์อัดแน่นด้วยความอหังการอวดดี เขาขึ้นเสียงกล่าวคำ
“จงสดับรับฟัง ข้าจะนับถึงสาม และหลังจากสาม เจ้าก็พ่ายแพ้ไป
แล้ว!”
ผู้คนต่างรั้งลมหายใจรับชม พวกเขาคิดอยากได้เห็น ว่าซานเย่ว์ทรง
พลังอย่างที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่!
“เจ้าเด็กอหังการอวดดีนั่นอย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้ นายท่านซานเย่ว์
ย่อมตัดศีรษะมันได้ในพริบตา!”
“สงสัยนักว่าเด็กนั่นเป็นใคร? มันกล้าดีอย่างไรเสียมารยาทต่อองค์
ราชินี นายท่านซานเย่ว์ต้องจัดการมันจนสภาพชวนสังเวช!”
“องค์ราชินีเกลียดชังเด็กนั่นมากล้น หากท่านไม่ยั้งโทสะ เช่นนั้นมัน
คงตายไปนานแล้ว!”
ซานเย่ว์เริ่มนับ “หนึ่ง สอง…”
ขณะนับถึงสอง หลิงหยุนเอ๋อจึงปลดปล่อยพลังแรงโน้มถ่วงมหาศาล
กดทับลงที่ร่างซานเย่ว์
ฉินหยุนก้าวสู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง ทั้งยังฝึกฝนร่าง
เซียนอสูร แก่นเต๋าตะวันทมิฬของเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาล!
หลิงหยุนเอ๋อเวลานี้ใช้งานพลังทั้งหมดที่มี นางไม่หวาดเกรงว่าจะ
เป็นการทำร้ายร่างกายฉินหยุนอีก นางจึงปลดปล่อยพลังอันเลิศล้ำ
ออกจากแก่นเต๋าตะวันทมิฬได้โดยไม่ต้องห่วงหาใด
ตู้ม!
อหังการอวดดีเช่นซานเย่ว์ ยังไม่อาจได้นับ “สาม” ร่างนั้นถูกสะกด
ลงกับพื้นกระอักเลือดออกมาคำโต
ฉินหยุนก้าวเดินไป ราวกับเขามองสุนัขที่ตายข้างทางตัวหนึ่ง ฝ่ามือ
ยกขึ้น เริ่มตบที่ใบหน้ายืดยาวของซานเย่ว์จนมีแต่เลือดเปรอะเปื้อน
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ…
ผ่านไปชั่วครู่ ใบหน้าซานเย่ว์บวมปูดผิดรูปจนแทบไม่อาจจดจำ ทั้ง
ยังมีบาดแผลถูกความร้อนเผาไหม้
“ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก!”
ฉินหยุนตบหน้าอีกหลายครั้งคราก่อนจะได้เห็นว่าซานเย่ว์หมดสิ้น
สติ เขาจึงโยนอีกฝ่ายเข้าปะทะม่านพลังประหนึ่งโยนขยะเปียกชิ้น
หนึ่ง
เย่ว์โยวจับจ้องอย่างตื่นตะลึงไร้ความคิดอื่นใด!
บรรดาผู้ใต้บัญชาของเย่ว์โยวต่างนิ่งอึ้งเช่นกัน!
ท่ามกลางคนทั้งสี่ ที่เหลืออีกสองคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ ใบหน้า
พวกเขาที่อหังการอวดดี เวลานี้ยังต้องเผยร่องรอยความหวาดกลัว
หยางฉีเย่ว์หัวเราะเบา “เย่ว์โยว เจ้าแพ้แล้ว!”
เย่ว์โยวปลดม่านพลังออก หลายผู้คนเร่งรีบเข้าไปหามร่างซานเย่ว์
ออกมา!
“เจ้าใช้วิชามารอันใด?” เย่ว์โยวเอ่ยถามเสียงเย็น
“ประลองแพ้คนไม่แพ้งั้นหรือ?” ฉินหยุนยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าเจ้า
แข็งแกร่งหรือไร? จะบอกว่าเจ้าไม่เห็นอันใดเลย?”
“ตัวบัดซบ!” เย่ว์โยวร่างสั่นคิดอยากตบใบหน้าฉินหยุน กระนั้นนาง
ไม่กล้า เพราะหยางฉีเย่ว์อยู่ที่นี่
ทันใดนี้เอง ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งจึงก้าวเดินเข้ามา “องค์ราชินี ให้ข้า
ได้จัดการมัน!”
ฉินหยุนพอได้ฟัง เขาจึงหัวเราะดัง “เจ้า ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ แท้จริง
ถึงขั้นคิดอยากต่อสู้กับข้า ผู้ที่อยู่เพียงขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับ
สูงอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้านี่หน้าไม่อายหรือไร? น่าขันนักที่เมื่อครู่พวกเจ้าสี่คนอหังการ
อวดดี คิดหรือว่าตนเองแข็งแกร่งสุดในโลกหล้าจนมีแต่ผู้อ่อนแอให้
รังแกได้! พวกเจ้าก็แค่คนอวดดีที่หากกล่าวถึงก็คงเป็นเรื่องขบขัน!”
“ให้ข้าทุบตีเจ้าจนตายตก!”
โทสะของชายหนุ่มถูกกระตุ้น เขาคิดยื่นมือออกเพื่อลงมือ กระนั้น
ถูกเย่ว์โยวห้ามปรามไว้
เย่ว์โยวเผยเสียง “เอ้อเย่ว์ หยุดสร้างปัญหา!”
*เอ้อ หมายความถึง สอง*
“เย่ว์โยว ตัวตนที่เจ้าฟูมฟักมามันก็ได้แค่นี้! เจ้านี่มันช่าง… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ฉินหยุนหัวเราะอย่างเดียดฉันท์เป็นการยั่วยุเย่ว์โยว เขายังนึกถึงครั้ง
ที่ถูกทิ้งไว้ในทะเลทราย นั่นคือเรื่องที่ทำให้เขามีโทสะเป็นล้นพ้น
เซี่ยวเสวียนฉินก้าวเดินเข้ามาและกล่าว “ฉินหยุน ด้วยกำลังเจ้า จัดการ
สวะขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำสองตัวก็ไม่น่ามีปัญหากระมัง?”
“โอ้ ข้าไม่คิดสู้กับพวกมัน! ไม่อย่างนั้นข้าคงโดนผู้คนกล่าวหาว่า
รังแกขยะเปียกเป็นแน่!” ฉินหยุนหัวเราะดัง
เย่ว์โยวมีโทสะสูงล้นฟ้า นางไม่อาจเข้าใจได้ ว่าเหตุใดทั้งหยางฉีเย่ว์
และเซี่ยวเสวียนฉินจึงต้องการช่วยเหลือฉินหยุน
“ฉินหยุนใช่หรือไม่? เจ้าแข็งแกร่งมากมายเพียงนั้น? หากเจ้าเอาชนะ
เอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ ข้อพิพาทระหว่างข้าและเจ้าจะถือว่าหมดสิ้นต่อ
กัน คราวนี้เจ้าจะว่าอย่างไร?” เย่ว์โยวคิดอยากพลิกกระดานในศึก
เดียว ไม่อย่างนั้น นางคงยากกล้ำกลืนเรื่องราวนี้ลงท้อง
“ข้อพิพาทหรือ? ข้าหาได้ติดค้างอันใดต่อเจ้า! กลับกัน เป็นเจ้าหลอก
ให้ข้าเข้ามายังที่นี่ กระทั่งให้เหยี่ยวดำตัวนั้นนำข้าไปทิ้งไว้กลาง
ทะเลทรายที่มีค่ายอาคมใหญ่เขาวงกต!” ฉินหยุนยามเอ่ยถึงเรื่องนี้
เขายิ่งกราดเกรี้ยว
กล่าวคำจบ เขามองทางเอ้อเย่ว์และเจิ้งเย่ว์ น้ำเสียงแค่นดังกล่าวคำ
“ข้าไม่ทราบว่าพวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใด เพียงเห็นว่ามี
คนยอมคุกเข่าโขกศีรษะให้ แล้วจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าอย่างนั้น
หรือ ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอง!”
เย่ว์โยวสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าว “ฉินหยุน ศิษย์ที่ข้า เย่ว์โยวผู้นี้
ฝึกฝนขึ้นมา ย่อมต้องเป็นชนชั้นระดับแนวหน้า!”
“อย่างนั้นเจ้ากำลังบอก ว่าคนที่ข้าเพิ่งตบหน้าจนหมดสติเมื่อครู่เป็น
ชนชั้นแนวหน้าแล้ว?” ฉินหยุนแค่นเสียง
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าอยู่เพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง! เจ้าต้อง
อยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำอย่างแน่นอน!” เย่ว์โยวกล่าวคำจบ นางนำเอา
อุปกรณ์ออกมา “หากข้าตรวจพบได้ว่าเจ้าคือขอบเขตวรยุทธ์ลึกล้ำ
เช่นนั้นเจ้ารับตาย!”
อุปกรณ์นี้ เป็นไข่มุกเม็ดใหญ่
ดวงตาเย่ว์โยวเผยแสงเย็นเยียบ นางกล่าวคำ “วางมือเจ้าลง!”
“ข้าจึงไม่!” ฉินหยุนตะโกนตอบ