Nine Sun God King ราชันเทพเก้าสุริยัน - ตอนที่ 681 กำราบอสูรร้าย
ตอนที่ 681 กำราบอสูรร้าย
ในงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ ฉินหยุนถือได้ว่ามีระดับการฝึกตนต่ำเตี้ย
ที่สุด กระนั้นก็ยังมีหลายผู้คนให้ความสนใจ
นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้เขาได้สังหารศิษย์ร่างเซียนของตำหนักจารึก
เทวะ เพียงแต่เรื่องนี้ ก็เป็นหลักฐานบ่งบอกแล้วว่าเขามีศักยภาพและ
แข็งแกร่งเพียงใด
กระทั่งว่าเขาไม่อาจเอาชนะศิษย์สำนักอสูร แต่ก็คงไม่ยิ่งหย่อนไป
กว่ากันเท่าใดนัก
หลังจากที่ฉินหยุนก้าวเดินขึ้นบนลานประลอง เจี้ยนหนันหู่จึงมายืน
รับชมที่เบื้องล่าง
เขาไม่คิดอยากพลาดนัดประลองฉินหยุน เพราะเขาต้องการได้เห็น
กับตา ว่าฉินหยุนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดแล้ว
เป็นที่ทราบกันว่า นับตั้งแต่เจี้ยนหนันหู่พ่ายแพ้แก่ฉินหยุน เขาก็เริ่ม
ฝึกฝนหนักตั้งแต่ครั้งนั้น
เวลานี้ พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล กระนั้น เขาก็ยังไม่
ทราบว่าฉินหยุนมีพลังเพิ่มพูนขึ้นถึงระดับใดแล้ว
ฉินหยุนก้าวเดินขึ้นบนลานประลอง เหลิงหวนแห่งสำนักกระหาย
โลหิตจึงเดินขึ้นมา
แม้เหลิงหวนเป็นศิษย์อสูร ทว่าร่างกายของเขาไม่ได้กำยำ กลับกัน
เขาคล้ายตัวเล็กกว่าฉินหยุนด้วยซ้ำ
ทว่า ออร่าอสูรจากกายของเหลิงหวนกลับหนาแน่น ดวงตาเผยแสงสี
ม่วงทอประกายออกมา ฟันที่เผยออกจากปากยังแหลมคมยิ่ง
นอกจากนี้แล้ว เล็บนิ้วของเหลิงหวนทั้งยาวและแหลมคม ราวกับ
มันพร้อมที่จะกรีดฉีกกระชากเนื้อหนังผู้คน
“เจ้านี่เป็นอสูรดูดเลือด! ได้ยินว่าผู้ใดที่พ่ายแพ้แก่มันจะถูกสูบเลือด
จนตายตก!”
“สงสัยนักว่าฉินหยุนจะจัดการเจ้านี่ได้อย่างไร!”
“ข้าเองก็เคยได้ยินมา ว่าเหลิงหวนจากสำนักกระหายโลหิตมีความเร็ว
อันเลิศล้ำ”
“ฉินหยุนก็หาได้อ่อนด้อยไม่ เขาไม่มีทางแพ้โดยง่ายเป็นแน่ ก่อน
หน้านี้เขาเอาชนะได้ทั้งเจี้ยนหนันหู่ รวมถึงศิษย์ร่างเซียนของตำหนัก
จารึกเทวะ!”
“นั่นอาจไม่ใช่ ฉินหยุนเพียงแค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น
ทว่าเหลิงหวนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับสูง ความแตกต่างมี
มากมายเกินไป!”
ฝูงชนเริ่มสนทนากันเผ็ดร้อน กว่าครึ่งรู้สึกว่าฉินหยุนสามารถเอาชนะ
เหลิงหวนได้
เหลิงหวนมองที่ฉินหยุนพร้อมเลียริมฝีปาก เขาเผยยิ้มชั่วร้าย “ฉินหยุน
อย่างนั้นหรือ? เจ้าสมแล้วที่เป็นคนมีชื่อเสียง ข้าย่อมได้กลิ่นเลือดเจ้า
เป็นเลือดที่แข็งแกร่งจนทำข้ากระหายตื่นเต้นคิดอยากลิ้มลอง!”
“ตัวชั่วร้ายเช่นเจ้า สูบเลือดผู้คนไปมากมายเพียงใดกันแล้ว?”
ฉินหยุนพอได้เห็นสายตาหิวกระหายโฉดชั่วของเหลิงหวน เขาแทบ
รู้สึกคิดอยากสำรอกออกมา เป็นเขาปรารถนาสังหารมันตรงหน้า
แทบขาดใจ
“ข้าย่อมไม่คิดจดจำ โดยสรุปแล้วหากไม่ใช่หมื่นคน ก็คงราวสัก
แปดพันกระมัง!” เหลิงหวนหัวเราะออกอย่างกระหยิ่ม “ข้ามั่นใจ
หนึ่งอย่าง ว่าเลือดเจ้าคงน่าลิ้มลองที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้พบเจอมา!”
ฉินหยุนต่อยหมัดเข้ากับฝ่ามือตนเองพลางแค่นเสียง “เลือดข้าย่อม
ไม่แย่ ทว่าตัวเลวร้ายเช่นเจ้า ไม่ถือว่าปรามาสต่อข้าเกินไปหรือ?”
“เจ้าอย่างไรก็แค่ขอบเขตวรยุทธ์วิญญาณระดับต้น กับข้าที่เหนือล้ำ
กว่า ไม่ใช่อะไรที่เจ้าจะสามารถข้ามผ่านเอาชนะไปได้! โดยเฉพาะ
ในการแข่งขันเช่นนี้ เจ้าไม่อาจใช้เล่ห์กลใด!”
เหลิงหวนหัวเราะพร้อมกล่าวต่อ “การฝึกฝนคือหลักฐานความ
แข็งแกร่ง หากเจ้าแข็งแกร่งจริง เช่นนั้นเจ้าคงเลื่อนระดับพลังไป
นานแล้ว!”
“เพราะเจ้าไม่อาจเลื่อนระดับ จึงได้แต่ต้องเพิ่มกำลังในส่วนอื่น นี่
หมายถึงเจ้าหาได้มีพรสวรรค์เพียงพอ และยังไม่พยายามที่จะเลื่อน
ระดับ! ด้วยเหตุนี้ ต่อหน้าข้า เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก!”
“เจ้าคล้ายเชื่อมั่นในตนเองน่าดู!” ฉินหยุนหัวเราะ
เหลิงหวนหันมองทางผู้ตัดสินวัยกลางคน เขากล่าว “พวกเราพร้อม
แล้ว ประกาศเริ่มศึกได้เลย!”
เขาคิดอยากเร่งรีบสูบโลหิตฉินหยุนจนตายตก เป็นเขายินดีจนเนื้อ
เต้นไปหมดแล้วด้วยซ้ำ
ฉินหยุนพยักหน้ารับให้แก่ผู้ตัดสินวัยกลางคน
“เริ่ม!” ผู้ตัดสินวัยกลางคนตะโกนดัง
ทันใดนี้เอง หลายคนในลานกว้างจึงพร้อมหันสายตารับชมที่ทางนี้
หลงเฉียวเฟิง เย่ว์ผูเฟิง เจี้ยนรั่วหยาน และอีกหลายคนต่างมาถึงข้าง
ลานประลองที่สิบห้า
เชี่ยวเย่ว์หลานไม่มา เพราะนางทราบดีว่าฉินหยุนแข็งแกร่งเพียงใด
นางยังรู้สึกด้วยซ้ำ ว่าหากไม่พบเจอฉินหยุนในการแข่งขันรอบถัดไป
เรื่อย ๆ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ทั้งนางและเขาจะเจอกันในรอบสุดท้าย
เปาเฉิงโฉ่วและเจี้ยนสือเทียนต่างรับชมอยู่ไม่ไกลออกไป พวกเขาคิด
อยากเห็นเช่นกัน ว่าฉินหยุนเวลานี้แกร่งกล้าเพียงใดแล้ว
ความเร็วของเหลิงหวนมากล้ำ ร่างกายที่ค่อนข้างเล็กของเขายิ่งทำให้
ปราดเปรียว หลังพุ่งทะยาน เขาจึงแปรสภาพเกิดเป็นภาพมายาแบ่ง
ออกเป็นสอง พร้อมพุ่งเข้าปะทะใส่ฉินหยุนที่อยู่ตรงหน้า
กรงเล็บที่มือได้เสียดแทงโดยมีเป้าหมายคือหัวใจและหน้าท้องของ
ฉินหยุน
เหลิงหวนปกติใช้วิธีการพุ่งโจมตี ฉีกกระชากหัวใจและหน้าท้อง
ของเหยื่อ จากนั้นจึงค่อยกัดกินที่ลำคอเพื่อสูบเลือดอย่างรวดเร็ว
การโจมตีของเหลิงหวนลื่นไหล คล่องแคล่ว และเป็นธรรมชาติ
มีแต่ผู้ที่มีสายตาเลิศล้ำจึงสามารถมองการเคลื่อนไหวได้ทัน ยามเมื่อ
กรงเล็บคิดสัมผัสเสื้อของฉินหยุน ตัวฉินหยุนพลันหลบเลี่ยงหายวับ
ไปอย่างไร้ร่องรอย
เหลิงหวนคว้าอากาศธาตุ เขาไม่อาจหาใดพบจนต้องเกิดอาการมึนงง
ครืน!
อสนีบาตอัคคีสั่นไหวฉับพลันได้ทะลักออก มันปกคลุมทั้งลาน
ประลองจนเกิดเป็นพลังตึงเครียด
ผู้คนพอได้เห็น พวกเขาพลันรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
ฉินหยุนหายไปได้อย่างไร?
เหลิงหวนยืนที่ตำแหน่งเดิม สายตากวาดมองรอบลานประลอง
ลานประลองมีม่านพลัง ดังนั้นผู้คนภายในย่อมไม่อาจออก
“ฉินหยุนหายไปได้อย่างไร? เขาแปรสภาพตนเองเป็นโปร่งแสง
หรือ?”
“แต่นั่นต้องมีวิญญาณยุทธ์โปร่งแสง!”
“ได้ยินมาว่ามีศิษย์ร่างเซียนของตำหนักจารึกเทวะผู้หนึ่ง เป็นเขาที่
ครอบครองวิญญาณยุทธ์นั่น!”
“มันไม่ใช่วิญญาณยุทธ์โปร่งแสง เห็นนั่นหรือไม่? เหลิงหวนปลด
ปล่อยหมอกพลังงานสีดำออกมา หากฉินหยุนยังอยู่บนลานประลอง
หมอกพลังงานสีดำย่อมต้องทำให้พบเห็นตัวเขาที่โปร่งแสง!”
ผู้ที่กล่าวนี้คือยอดยุทธ์และราชันยุทธ์ พวกเขาแม้อาวุโสก็ไม่ทราบ
ถึงวิธีการของฉินหยุน
“ฉินหยุน จงไสหัวออกมา!”
เหลิงหวนตะโกนดัง หมอกพลังงานสีดำปลดปล่อยออกหนาแน่น
ปกคลุมทั้งลานประลอง
เจี้ยนหนันหู่เองยังต้องอึ้ง เขามองทางเจี้ยนรั่วหยานพร้อมเอ่ยถามคำ
เบา “น้องหยาน เจ้าอยู่ร่วมกับฉินหยุนมาก็นาน เคยเห็นวิธีการนี้
หรือไม่?”
“ข้าไม่อาจทราบ” เจี้ยนรั่วหยานส่ายศีรษะเป็นการตอบกลับ
มีแต่เชี่ยวเย่ว์หลานที่ทราบว่าฉินหยุนใช้วิธีการอันใด เพราะนางเอง
ก็สามารถใช้วิธีการเดียวกันนี้ รอยยิ้มพึงใจของนางเผยออก เป็นนาง
ทราบว่าฉินหยุนกำลังคิดโจมตีแล้ว
เหลิงหวนหันมองทางผู้ตัดสินวัยกลางคนและกล่าว “ฉินหยุนหาย
ตัวไปแล้ว ตัดสินให้มันพ่ายแพ้!”
“ฉินหยุนหาได้ออกจากลานประลอง เขายังอยู่ภายในนี้ ดังนั้นจึงไม่
อาจแพ้…”
ขณะผู้ตัดสินวัยกลางคนกล่าวคำจบ อะไรบางอย่างพลันปรากฏขึ้น
จากพื้น
เมื่อพิจารณาให้ใกล้ จะพบว่ามันเป็นรากไม้สีดำ อย่างกะทันหัน
พวกมันผุดขึ้นจากพื้นพร้อมพันธนาการครึ่งร่างของเหลิงหวนเอาไว้
ฉินหยุนปรากฏตัว! ตัวเขาเวลานี้อยู่ที่ด้านหลังของเหลิงหวน!
ทันทีที่ปรากฏตัว เขาใช้สองนิ้วแนบชิด จ้วงแทงดุดันเข้าใส่ที่หลัง
ศีรษะของเหลิงหวน
ตู้ม!
เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นสวรรค์ ลานกว้างถึงกับต้องสั่นไหว!
ฉินหยุนใช้งานดัชนีทะลวงสวรรค์แยกปฐพี โจมตีเข้าที่หลังศีรษะ
ของเหลิงหวนจนระเบิดแตกกระจาย
หมอกพลังงานสีดำบนลานประลองค่อยกระจายเพราะแรงระเบิด
ของพลังดัชนี
ร่างเหลิงหวนที่ไร้หัวล้มลงกับพื้น โลหิตสีดำไหลเจิ่งนองออกจาก
ลำคอพร้อมออร่าชั่วร้าย
เสียงสั่นไหวยังคงดังก้องทั้งลานกว้าง ผู้คนต่างจับจ้องเหลิงหวนที่
ไร้ซึ่งศีรษะ ภายในใจพวกเขา เวลานี้อัดแน่นด้วยความหวาดกลัวเข้า
เกาะกุม
“ศิษย์สำนักอสูรที่ครอบครองร่างอสูร กระนั้นศีรษะกลับระเบิด
ง่ายดายเพียงนี้!”
“ฉินหยุน… นี่เจ้า… โหดเหี้ยมได้ใจข้านัก!” เจี้ยนหนันหู่ขมวดคิ้ว
กล่าวคำอย่างผ่าเผย “เป็นข้าปรามาสเจ้าไป!”
เหลิงหวนสิ้นชีวิต ผู้คนของสำนักกระหายโลหิตต่างมีโทสะ กระนั้น
พวกเขาย่อมพบเห็นว่าเจี้ยนสือเทียนและเปาเฉิงโฉ่วอยู่ใกล้เคียง
ดังนั้นจึงไม่อาจกล้าลงมืออันใดต่อฉินหยุน!
ใบหน้าผู้คนของตำหนักจารึกเทวะและตำหนักโทเทมต่างตึงเครียด
พวกเขาแทบไม่อาจคาดเดากำลังของฉินหยุน หากศิษย์พวกเขาต้อง
เผชิญหน้าฉินหยุน เช่นนั้นก็มีโอกาสสูงล้ำที่จะถูกสังหาร
ฉินหยุนที่ได้รับชัยชนะจึงค่อยเดินลงจากลานประลองยุทธ์
ก่อนหน้านี้ เขาหายไปโดยใช้ความสามารถเทวะทะลุทะลวง หลบ
ซ่อนตนเองอยู่เบื้องล่างลานประลองยุทธ์ จากนั้น เมื่อเหลิงหวนโดน
หันเหความสนใจ เขาจึงใช้วิชายุทธ์โทเทมต้นไม้ ปลดปล่อยกรงเล็บ
พฤกษาออกมาพันธนาการเหลิงหวน พร้อมปรากฏตัวรวดเร็วใช้
ดัชนีทะลวงฟ้าสังหารอีกฝ่าย
“ฉินหยุน เจ้าช่างมีเคล็ดวิชาเก็บไว้มากมายนัก! แต่อย่าได้ยินดีไป ข้า
ย่อมต้องเอาชนะเจ้าได้!” เจี้ยนหนันหู่หัวเราะดัง “ต่อหน้าพลังอันไร้
เทียมทานของข้า อุบายของเจ้าก็มีไว้ได้แค่หลอกเด็ก!”
ฉินหยุนยิ้มตอบ ก่อนจะหันมองไปยังลานประลองที่สิบ เชี่ยวเย่ว์
หลานอยู่กลุ่มที่สิบ ตอนนี้เป็นคราวที่นางต้องขึ้นประลองแล้ว
เย่ว์ผูเฟิง หลงเฉียวเฟิง และเจี้ยนรั่วหยานล้วนทราบว่านางเป็นภรรยา
ฉินหยุน พวกเขาต่างทราบว่าเชี่ยวเย่ว์หลานคือผู้สังหารศิษย์ร่างเซียน
ทั้งยังแข็งแกร่งมากล้ำ กระนั้นพวกเขาก็หาได้เปิดเผยข้อมูลนี้ออกไป
ไม่
คู่ต่อสู้ของเชี่ยวเย่ว์หลาน เป็นศิษย์ร่างมาร ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกาย
ท่อนบนยังมีโทเทมเผยออกเด่นชัด นับตั้งแต่ใบหน้าจนถึงปลายนิ้ว
ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมด้วยอักขระโทเทมหนาแน่น
มองเพียงครั้งเดียว ย่อมกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์ของตำหนักโทเทม
“ศิษย์เกาะจันทราปีศาจ แม้ปิดบังเอาไว้ครึ่งใบหน้า กระนั้นพวกเรา
ย่อมพบเห็นว่าเป็นโฉมงามที่เหนือล้ำ”
“ดวงตาของนางงดงามนัก หากเย็นชาน้อยกว่านี้คงเลิศล้ำ!”
“โฉมงามที่แท้จริง แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับเฮ่ยเถิงแห่งตำหนักโท
เทม แม้เป็นในตำหนักโทเทม อีกฝ่ายก็ยังเป็นตัวตนชวนสะพรึง”
“เกาะจันทราปีศาจส่งศิษย์เข้าร่วมเพียงหนึ่งงั้นหรือ? ไม่ทราบว่านาง
แข็งแกร่งเพียงใด กระนั้นร่างกายกลับเลิศล้ำนัก!”
ผู้คนคล้ายสนใจศิษย์ผู้นี้ของเกาะจันทราปีศาจกันอย่างล้นหลาม
เชี่ยวเย่ว์หลานสวมใส่ชุดรัดรูปสีดำ นางเดินเชื่องช้าขึ้นลานประลอง
ดวงตาเย็นเยือกของนางที่ปรากฏ ทำให้ผู้ที่รับชมต่างได้ทราบว่านาง
มีใจสงบนิ่งเพียงใด
ได้เห็นเช่นนี้ ภายในผู้คนต่างต้องอึ้งทึ่ง
เพราะเฮ่ยเถิงจากตำหนักโทเทมเป็นตัวตนเลิศล้ำ ร่างกายแข็งแกร่ง
กล้ามเนื้อหนาใหญ่คล้ายปูดบวมออกมา ทั้งยังมีเส้นเลือดที่ดูชั่วร้าย
ปรากฏเด่นชัด รวมเข้ากับโทเทมเต็มร่าง ยิ่งทำให้เขามีรูปลักษณ์
ชวนสะพรึง
ไม่ต้องกล่าวถึงสตรี แม้เป็นบุรุษหากต้องเผชิญหน้ากับเฮ่ยเถิงแห่ง
ตำหนักโทเทม แข้งขาก็คงอ่อนยวบกันหมดสิ้นแล้ว
“ฉินหยุน นางชนะได้หรือไม่?” เจี้ยนรั่วหยานเดินไปพลางถามเสียง
เบา
“กระทั่งว่าเป็นเจ้าสิบคน ก็ยังไม่อาจเทียบนางได้!” ฉินหยุนยิ้มกล่าว
“เจ้าปรามาสข้าเกินไปแล้ว!” เจี้ยนรั่วหยานคำรามเบา
นางและเชี่ยวเย่ว์หลานเคยพบเจอกันมาก่อน และได้ทราบว่านาง
งดงามเลิศล้ำเพียงใด และฉินหยุนยังมีความรู้สึกให้แก่นางอย่างลึกล้ำ
ฉินหยุนกล่าวว่าภรรยาแข็งแกร่งเพียงใด เจี้ยนรั่วหยางถึงไม่คิดตอแย
ถามอีก เป็นนางรู้สึกไม่พอใจทว่าก็ต้องยอมรับ
เจี้ยนสือเทียนเดินไปยังกลุ่มคนของเกาะจันทราปีศาจกล่าวคำเสียง
เบา “แม่เฒ่าหยุนเหยา คู่ต่อสู้ของเด็กสาวเชี่ยวเย่ว์หลานผู้นั้นไม่อ่อน
ด้อย ไม่กลัวสูญเสียนางไปหรือไร?”
ครึ่งเซียนจากเกาะจันทราปีศาจเป็นแม่เฒ่าที่เข้มงวดผู้หนึ่ง นางสวม
ใส่ชุดขาวและเสื้อคลุมดำ ในมือของนางคือไม้เท้ากระดูก ร่างนั้น
ค่อนข้างสูง กระทั่งสูงและกำยำกว่าเจี้ยนสือเทียนด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร! เจี้ยนสือเทียน ที่นี่คือพื้นที่ของเจ้า เจ้าสมควรสะกดโทสะ
ของตำหนักโทเทมได้กระมัง?” แม่เฒ่าหยุนเหยากล่าวคำ
“นี่เจ้าหมายความถึงเด็กสาวนั่นสามารถสังหารเฮ่ยเถิงหรือ?”
เจี้ยนสือเทียนพลันมองที่เชี่ยวเย่ว์หลานบนลานประลองยุทธ์ คิ้วของ
เขาต้องขมวดแน่น ก่อนหน้านี้เขาได้พิจารณาเชี่ยวเย่ว์หลานดีแล้ว
กระนั้นกลับไม่พบอันใดพิเศษจากนาง
“สังหารศิษย์ร่างเซียนทั้งสี่ของตำหนักเซียนดาบของเจ้ายังไม่ใช่
ปัญหา ทว่านางย่อมต้องมีเมตตาแก่ศิษย์ของเจ้า!” แม่เฒ่าหยุนเหยา
เผยยิ้มบางกล่าวคำ