Nine Sun God King ราชันเทพเก้าสุริยัน - ตอนที่ 454
ตอนที่ 454 เต๋าจารึก
สุ่ยเทียนสื่อทักท้วง “อันใดที่ว่าปลอดภัย ราชาผีดิบเหล่านั้นชวนขน
ลุกยิ่งนัก พวกมันทรงพลังเปรียบได้กับราชันภูตผี! หากไม่ใช่เพราะ
น้องหยุนหนีได้รวดเร็ว พวกเราคงตายไปนานแล้ว!”
“แต่สุดท้ายเจ้าสองคนก็ยังรอด… พอมาคิดดู มีกี่คนกันที่เข้ามาสุสาน
เซียนแห่งนี้?” อู่หมิงซวีเอ่ยถาม
ฉินหยุนทําการบอกจํานวนโดยคร่าว ทําเอาอู่หมิงซวีต้องขมวดคิ้ว
“ยอดฝีมือจากสามแดนอ้างว้างสมควรมากันหมดสิ้น หากพวกเขา
ไม่กลับไป อย่างนั้นขั้วอํานาจของกองกําลังทั้งหลายจะดิ่งฮวบกัน
ทั้งสิ้น!” สื่อชิงเฉิงคล้ายเพิ่งนึกขึ้นได้
อู่หมิงซวีกล่าวคํา “ด้วยพลังเพียงแค่นั้น? ตระกูลสายเลือดชนชั้นสูง
ได้รับทรัพยากรมากมาย อย่างนั้นก็ต้องมีราชันยุทธ์มากมายมาที่นี่สิ!”
“และเจ้าควรทราบ ว่านี่ก็แค่กองกําลังที่เคลื่อนไหวในสามแดน
อ้างว้าง! จํานวนราชันยุทธ์ที่มาเหล่านี้ เป็นเพียงยอดเขานํ้าแข็งของ
สามแดนอ้างว้าง! หาได้มีจักรพรรดิยุทธ์คนใดเข้ามาที่นี่ไม่!” อู่หมิง
ซวีกล่าวคํา
“จักรพรรดิยุทธ์? มีคนเข้าถึงระดับนั้นจริงหรือ?” ฉินหยุนเอ่ยถาม
“นั่นคือตัวตนที่เหนือกว่าขอบเขตราชันยุทธ์ แน่นอนว่ามีอยู่! คน
เช่นนั้นมักจะเข้าไปยังแดนวิญญาณอ้างว้าง แต่เป็นเพราะข้าไม่คิด
โดนบังคับโดยผู้อื่นเมื่อเข้าไป เพราะเหตุนั้นจึงยังอยู่ที่สามแดน
อ้างว้าง!” อู่หมิงซวีกล่าวคํา “แดนวิญญาณอ้างว้างมีครึ่งเซียนจํานวน
มาก นั่นถือเป็นส่วนที่น่ากลัวที่สุด!”
“หากข้าคิดไปยังแดนวิญญาณอ้างว้าง ต้องมีพลังระดับใดกัน?” สุ่ย
เทียนสื่อมักฝันถึงแดนวิญญาณอ้างว้าง อย่างไรแล้ว มันก็คือตัวตนที่
เข้าใกล้ขอบเขตเซียน
“เจ้าต้องเป็นราชันยุทธ์ก่อน และดูว่ามีเจตจํานงแรงกล้าพอให้เข้า
แดนวิญญาณอ้างว้างได้หรือไม่! ไม่ว่าจะด้วยอะไร ข้าไม่คิดอยากไป
ยังแดนวิญญาณอ้างว้าง ไม่เช่นนั้นเมื่อกาลก่อนข้าคงไปนานแล้ว หา
ได้ต้องมาติดอยู่ที่นี่!” อู่หมิงซวียิ้ม
สื่อชิงเฉิงอึ้งไปวูบ “ผู้อาวุโส อย่างนั้นท่านคือจักรพรรดิยุทธ์หรือ?”
อู่หมิงซวีเพียงหัวเราะ หาได้ตอบคําใด
เพียงไม่นาน พวกเขาเดินกลับออกจากประตู มาถึงห้องโถงหลัก พบ
ว่ามู่เฟิ งกําลังนอนเอกเขนกที่เก้าอี้หินอย่างสุขสบาย
มู่เฟิ งพอเห็นฉินหยุนและคณะกลับออกมา เขาถึงกับสะดุ้งลุกพรวด
ด้วยอาการตื่นตระหนก
“พวกเจ้า… ออกมานั่นไม่เจอใครบ้างเลยหรือ?” มู่เฟิ งเอ่ยถามขณะ
มองทางอู่หมิงซวี
อู่หมิงซวีดูเป็นชายชราผ่ายผอม หาได้มีออร่าอันใดโดดเด่น มีเพียง
รอยยิ้มอ่อนจางที่ใบหน้า ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็ไม่คล้ายยอดฝีมือ
ทรงพลังแม้สักนิด
มู่เฟิ งไม่สามารถบอกได้ ว่าอู่หมิงซวีแกร่งกล้าเพียงใด เขาได้แต่
พบว่าเป็นเรื่องแปลก ที่กลุ่มสามคนของฉินหยุนกลับออกมาพร้อม
ชายชราผู้นี้
“ผู้จัดการมู่ แม่เฒ่าตู้และคนที่เหลือเล่า?” สื่อชิงเฉิงเอ่ยถามอย่างร้อนใจ
“ราชันยุทธ์หงหยิงพาหลบหนีไปแล้ว น่าจะยังอยู่ในแดนอ้างว้าง
แห่งนี้ อย่างไรแล้วลําพังกําลังของหงหยิง ก็ไม่อาจเปิ ดทางออกได้”
มู่เฟิ งมองที่อู่หมิงซวีและสอบถาม “ผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”
อู่หมิงซวีหัวเราะ “ข้าเป็นชายชราหน้าตาน่ากลัว! เจ้ามาจากตําหนัก
จารึกเทวะหรือ?”
มู่เฟิ งยิ้มรับ
“ไม่นึกเลย ว่าผู้ฝึกตนสายเลือดจากตําหนักจารึกเทวะจะมายังสถานที่
อันตรายเช่นนี้ด้วยตนเอง!” คําพูดของอู่หมิงซวี ทําเอาฉินหยุนและ
คณะเกิดความประหลาดใจขึ้น
มู่เฟิ งแท้จริงเป็นถึงผู้ฝึกตนสายเลือด!
ฉินหยุนไม่ทราบว่าสายเลือดของตนขณะนี้ถูกพบเห็นเช่นกันหรือไม่
“ผู้อาวุโสมีสายตายอดเยี่ยม ท่านมาจากตระกูลสายเลือดมังกรหรือ?”
มู่เฟิ งนึกถึงเชี่ยวเย่ว์เหม่ย เด็กสาวแก่นแก้วผู้นั้น บอกว่าคนของตระกูล
สายเลือดมังกรได้เข้ามาด้านในก่อนแล้ว
คราแรกเขาไม่เชื่อ ขณะนี้จึงค่อยเชื่อ
อู่หมิงซวีพยักหน้ารับ “ข้ามาจากตระกูลสายเลือดมังกร! แต่สกุลของ
ข้าหาได้ใช่หลง!”
มู่เฟิ งขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “ข้าจําได้ว่าตระกูลมังกรมีสามนามสกุล
ตระกูลหลง ตระกูลเชี่ยว และตระกูลอู่ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมาจาก
ตระกูลใดกัน”
“ตระกูลอู่!” อู่หมิงซวีตอบกลับ
“ผู้อาวุโสอู่ ท่านมาลําพังหรือ? เข้ามาสุสานแห่งนี้ได้อย่างไรกัน?” มู่
เฟิ งเอ่ยถาม
“เป็นข้าใช้อาคมเคลื่อนย้ายเพื่อเข้ามา ทว่าค่ายอาคมทํางานผิดพลาด
โชคดีที่พบเจอฉินหยุน ข้าจึงหลบหนีออกมาได้สําเร็จ!” อู่หมิงซวี
กล่าวพลางยิ้ม ไม่ว่าจะกล่าวคําใดออก เขาบอกต่อฉินหยุนและคณะ
ว่าอย่าได้เอ่ยถึงความเดิมของเขา
มู่เฟิ งยิ้มยินดี “ผู้อาวุโสอู่ อย่างนั้นท่านคงทราบว่าสุสานหลักอยู่ที่ใด
ใช่หรือไม่?”
อู่หมิงซวีหัวเราะ “ย่อมทราบ! เจ้าคิดอยากไปหรือ?”
มู่เฟิ งยิ้มและพยักหน้า
“ย่อมได้หากเจ้าคิดอยากไป แต่เจ้าจะไม่ได้อะไรกลับมา!” อู่หมิงซวี
กล่าว
“ย่อมไม่มีปัญหา ข้าเพียงคิดอยากไปรับชม! ข้าไม่ได้กะมาฉกชิงเอา
สิ่งใดอยู่แล้ว!” มู่เฟิ งยิ้มตอบ
อู่หมิงซวียอมให้มู่เฟิ งร่วมทางไปด้วย อย่างไรแล้วมู่เฟิ งก็เป็นขอบเขต
วรยุทธ์ลึกลํ้า และยังเป็นอาจารย์จารึกลึกลํ้า พละกําลังของเขาย่อม
ไม่แย่
มู่เฟิ งเผยยิ้มยินดี เก็บเก้าอี้ของตนเองพร้อมเอ่ยถาม “คิดเข้าสุสาน
หลัก ประตูบานใดกัน?”
ขณะอู่หมิงซวีกําลังจะกล่าวตอบ ประตูทางผนังด้านขวาพลันเปิ ด
ออก กลุ่มคนเปี่ ยมด้วยบาดแผลวิ่งออกมา
กลุ่มคนเหล่านี้ สองคนเป็นราชันยุทธ์สายเลือด และที่เหลืออีกสาม
คนอยู่ขอบเขตวรยุทธ์ลึกลํ้า
ทันทีเมื่อพวกเขาออกมา ได้เห็นสื่อชิงเฉิง สุ่ยเทียนสื่อ และลูกพี่ลูกน้อง
หน้าโง่ผู้นั้นที่ก่อปัญหาเอาไว้กับตน โทสะถึงกับอดไม่ได้จนต้อง
ระเบิดออก
“เป็นพวกเจ้า!” ราชันยุทธ์สายเลือดโพล่งตะโกนด้วยโทสะ “ไอ้หน้า
โง่ เพราะเจ้า ข้าจะสังหารเจ้า!”
กล่าวคําเสร็จ ร่างนั้นทะยานมาพร้อมตะโกน “มู่เฟิ ง หลบไป!”
ราชันยุทธ์อีกคนทะยานเข้ามาตามติดพร้อมตะโกน “ระวังด้วย อย่า
ทําร้ายหญิงสองคนนั่น ข้าคิดให้พวกนางมีชะตาเลวร้ายยิ่งกว่าความ
ตาย! หากไม่ใช่เพราะพวกมัน มิโนทอร์นั่นคงไม่ตาย และพวกเราคง
เข้าสุสานหลักได้อย่างปลอดภัยแล้ว!”
หลังจากราชันยุทธ์สองคน และขอบเขตวรยุทธ์ลึกลํ้าสามคนทะยาน
เข้ามา อู่หมิงซวีพลันตะโกนเสียงตํ่า โบกมือไหววูบ ปรากฏเป็นสาย
ลมกระโชกรุนแรง
สายลมรุนแรงทองม่วงปรากฏเป็นร่างมังกร เสียงมังกรร้องคํารามดัง
ขึ้นพร้อมทะยานเข้าหาร่างกลุ่มคนที่พุ่งเข้าหา!
โฮก!
สายลมทองม่วงระเบิดออก ปลดปล่อยเสียงมังกรดังสนั่นไหวหวั่น
ทั้งห้องโถง
คนเหล่านั้นถูกส่งร่างกระเด็นถอยกลับ ปะทะกับผนังหินอย่างรุนแรง!
คนเหล่านี้ตระหนักถึงอู่หมิงซวีอยู่แต่แรกเห็นแล้ว แต่พวกเขาไม่
อาจสัมผัสออร่าใด จึงไม่เก็บอีกฝ่ ายมาคิดให้หนักใจ
ผู้ใดจะคาดคิด ว่าชายชราดูธรรมดาผู้นั้นจะน่าสะพรึงชวนขนหัวลุก
ได้ระดับนี้?
“เจ้าเป็นใคร?” ความหวาดกลัวเกาะกุมหัวใจราชันยุทธ์ กระนั้นก็ยัง
กล้าตะโกนถามออก
“ข้าหาได้สนใจไม่ว่าพวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดพวกเจ้าต้องสนใจว่าข้า
เป็นใคร? รู้เพียงว่าข้าเป็นผู้สังหารเจ้าก็เท่านั้น!” อู่หมิงซวียิ้มบาง
ขณะทะยานร่างเข้าใส่
ราชันยุทธ์สายเลือดร้องตะโกนแตกตื่น “ข้ามาจากตระกูลสายเลือด
อินทรีย์สวรรค์ หากสังหารข้า เท่ากับเป็นการยั่วยุ…”
ก่อนจะกล่าวคําได้จบ มือของอู่หมิงซวีก็ยื่นออกไปราวสายฟ้า เข้าถึง
ร่างราชันยุทธ์ผู้นั้น นําเอาแก่นที่โชกเลือดออกมาแล้ว
ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า คือนิ้วของอู่หมิงซวีแทงทะลุคอของราชัน
ยุทธ์ ทําการดูดกลืนมรดกสายเลือดของราชันยุทธ์ตรงหน้า
เพียงอึดใจ ราชันยุทธ์ผู้นั้นถูกสูบเลือดจนแห้งตาย!
ใบหน้าที่แต่เดิมมีริ้วรอยของอู่หมิงซวี ขณะนี้หลังดูดกลืนแก่นและ
สายเลือด ริ้วรอยนั้นเลือนหายไปไม่น้อย!
ภาพฉากที่เห็น ทําเอาทั้งฉินหยุนและคณะเกิดความแตกตื่น
“ปี ศาจที่ชั่วร้าย…” ราชันยุทธ์อีกคนหนึ่งเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน เขา
คิดอยากหลบหนี ทว่าอู่หมิงซวีคว้าร่างของเขาไว้กลางอากาศดึงเข้า
หาอย่างไม่อาจขัดขืนแล้ว
อู่หมิงซวีหัวเราะ “ปี ศาจร้ายหรือ? คนของตระกูลสายเลือดชนชั้นสูง
ก็ไม่เห็นเท่าไหร่! ข้าทราบดีว่าพวกเจ้ามันไร้หัวใจเพียงใด ทําอะไร
เอาไว้บ้าง!”
“เท่าที่ข้าทราบ ศิษย์สายเลือดของพวกเจ้ามากมายไม่อาจตื่นรู้มรดก
สายเลือด แต่แล้วด้วยเพราะพวกเจ้าเลือกใช้เคล็ดวิชาชั่วร้ายโบราณ
ทําการดูดกลืนเลือดมนุษย์มหาศาล แช่กายในโอสถที่ผสมโดยเลือด
มนุษย์ ทั้งหมดก็เพื่อทําให้มรดกสายเลือดตื่นขึ้น!”
มู่เฟิ งพอได้ยินดังนี้ เขาถึงกับกายสั่นเทิ้ม “ข้าเพียงนึกว่าเป็นตํานาน
เล่าขาน ไม่นึกว่าจะเป็ นเรื่องจริง!”
“นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว พวกมันใช้วิธีการเช่นนี้เพื่อสืบทอดมรดก
สายเลือดงั้นหรือ ไม่แปลกใจที่พวกมันแข็งแกร่งเพียงนั้น!” สื่อชิง
เฉิงกล่าวพลางสั่น
“ไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้น แม้ว่าจะเป็นตระกูล
สายเลือดก็ตาม! หลังใช้งานเคล็ดวิชาชั่วร้ายโบราณนั่นแล้ว ไม่ว่า
ผู้ใดก็สามารถปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้! และผู้ฝึกตนสายเลือดที่
ผ่านพิธีการเช่นนั้น พวกมันจะยิ่งโหดเหี้ยมผิดมนุษย์!”
อู่หมิงซวีกล่าวคําเสร็จ เขานําเอาแก่นเต๋าออกจากร่างของราชันยุทธ์
สายเลือด
จากนั้นค่อยดูดกลืนเลือดของราชันยุทธ์
ขอบเขตวรยุทธ์ลึกลํ้าที่เหลือสามคน ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนสายเลือด
ชะตาล้วนเป็นเช่นเดียวกัน!
มู่เฟิ งรับชมจนกระทั่งหนาวถึงกระดูกสันหลัง “ผู้อาวุโสอู่ ข้าเองก็
เป็นผู้ฝึกตนสายเลือด ท่านคงไม่สูบข้าจนแห้งเหือดใช่หรือไม่?”
อู่หมิงซวีหัวเราะ “หากข้าคิดทํา เจ้าก็คงกลายเป็นชิ้นเนื้อไปนาน
แล้ว!”
มู่เฟิ งค่อยผ่อนคลาย กระนั้นก็ยังต้องมีความหวาดกลัวเกาะกุม
“คนเหล่านี้ช่างเข้ามารนหาที่ตายโดยแท้ หากข้ารอตรงนี้อีกสัก
หน่อย ใครจะทราบว่าอาจมีพวกหน้าโง่ออกมาแส่หาความตายอีก
หรือไม่!”
อู่หมิงซวีนั่งกับพื้นและยิ้มกล่าว “ข้าต้องเตรียมการไว้ก่อน หากข้าม
ไปยังพื้นที่แกร่งกล้าอย่างสุสานหลัก ข้าก็จําเป็นต้องมีกําลังสํารอง
ไว้ต่อสู้!”
วิญญาณยุทธ์ของยอดฝีมือ ก็เป็นสิ่งช่วยบํารุงหล่อเลี้ยงกําลังให้แก่
อู่หมิงซวี ดังนั้นฉินหยุนจึงไม่ร้องขอพวกมัน
อู่หมิงซวีหลับใหลยาวนาน ความสูญเสียตามกาลเวลาย่อมไม่ใช่
น้อย หากเขาได้เรี่ยวแรงกลับคืนมาอีกสักหน่อย ย่อมสามารถ
ช่วยเหลือรับมืออันตรายได้แม้กระทั่งในสุสานหลัก
สุสานหลักเต็มไปด้วยเซียน ดังนั้นเรื่องราวย่อมไม่ง่าย
มู่เฟิ งยิ้มขณะนําเอาเก้าอี้หินออกมา รับชมและรอคอยอย่างอดทน
“ฉินหยุน พวกเรามาคาดเดากันดีหรือไม่ว่าประตูใดจะมีกลุ่มคน
กลับออกมา และจะใช้เวลาอีกนานเท่าใด? เอาเป็นหนึ่งร้อยล้าน
เหรียญม่วงต่อครั้งเป็นอย่างไร?” มู่เฟิ งยิ้มกล่าวข้อเสนอ
“หากพวกเราผิดทั้งคู่เล่า?” ฉินหยุนถามกลับ
“ก็ถือว่าเสมอกัน!” มู่เฟิ งหัวเราะ “ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทํา ก็ควรหา
เรื่องสนุกให้ใช้ลุ้นได้บ้าง!”
ฉินหยุนบุ้ยริมฝีปากกล่าวตอบ “อย่าได้แล้ว ข้ายอมเบื่อดีกว่า!”
อู่หมิงซวียิ้มให้มู่เฟิ งและกล่าว “อ้วนน้อย เหตุใดเจ้าไม่ออกไปจับ
ราชันภูตผีข้างนอกนั่นแก่ข้าเสียเล่า?”
คํากล่าวนี้ทํามู่เฟิ งสะดุ้งโหยงด้วยความกลัว “ราชันภูตผี? ผู้อาวุโสอู่
โปรดละเว้นข้าแล้ว! หากข้าออกไปคิดจับราชันภูตผีเหล่านั้น คงได้
เป็นแค่อาหารแก่พวกมัน!”
ไม่ทราบว่าอู่หมิงซวีนํายันต์สีดําออกมาจากที่ใด เขาโยนพวกมันให้
ฉินหยุนและคณะ
“พวกเจ้ารับไว้คนละแผ่น ตราบเท่าที่มีมันในมือ ราชันภูตผีย่อมไม่
คิดเข้ามาใกล้! จากนั้นให้ร่วมมือกันจับพวกมันมา!” อู่หมิงซวีเอ่ยขึ้น
“ข้าจะเฝ้าระวังที่นี่ รอดูว่าจะมีหน้าโง่ตัวใดกลับออกมาอีกหรือไม่!”
ฉินหยุนรับชมยันต์สีดําในมือ กล่าวตอบด้วยความตื่นตะลึง “นี่เป็น
ยันต์สะกดวิญญาณ แกะสลักด้วยอักขระเต๋า ลึกลํ้ายิ่งนัก!”
มู่เฟิ งหัวเราะ ดวงตาหรี่เล็กของเขาขณะนี้เบิกกว้างขึ้นไม่น้อย “ผู้
อาวุโสอู่ แท้จริงท่านเป็นถึงอาจารย์จารึกเต๋า!”
“ตอนนี้วางใจได้แล้วละสิ!” อู่หมิงซวียิ้มตอบ