https://www.nekopost.net/novel/11452/15.5
คนที่ชั้นชอบคือรินจัง!
คำนี้ก้องในหัวทั้งผมและรินกะซ้ำไปซ้ำมากับความจริงที่ชวนตาค้าง ได้แค่จ้องนานะ พูดอะไรไม่ออกสักคำ
“เอ่อ แต่ว่า ตอนนี้ชั้นไม่ได้ชอบรินจังแล้วนะ เอิ่ม ไม่สิ จะบอกยังงั้นก็ไม่เชิง คือชอบนะ แต่ยังเป็นความหมายในเชิงชู้สาวมั้ย ยังไม่มั่นใจ ถึงตอนนี้ก็ยังฟันธงไม่ได้ แต่อยากให้พวกเธอไม่ต้องกังวล เพราะความปรารถนาของชั้นคืออยากเห็นรินจังมีความสุข..”
“ใจเย็นก่อนนานะ เธอพูดรัวและเร็วมากจนชั้นฟังจับใจความไม่รู้เรื่องเลย”
“อ๊ะ..”
รินกะรีบเบรคขัดจังหวะ ส่วนนานะมีท่าทีขอโทษ
“แล้วตั้งแต่เมื่อไรที่เธอเริ่มชอบชั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ น่าจะเป็นตั้งแต่สมัยเด็กเลยนะ พอเริ่มทำความเข้าใจความรู้สึกตัวเอง ก็เลยรู้ว่าชั้นชอบรินกะน่ะ”
“งั้นเหรอ แสดงว่านานะเป็นคนที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน ถูกมั้ย”
“จะว่างั้นก็ไม่เชิง เพราะว่ารินกะเหมือนเป็นผู้ชาย ชั้นเลยรู้สึกชอบเธอนะ”
“……”
ตอนนี้รินกะสตันไปกับคำพูดของนานะ
ส่วนผมนึกถึงความทรงจำวันที่มีอีเว้นทาจิบานะ ตอนนั้นรินกะบอกว่า ““จะผู้ชายหรือผู้หญิงไม่เห็นเกี่ยวสักหน่อย ขึ้นชื่อว่าความรัก มันไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นชายหรือหญิงนี่นา”
นี่สินะ เรียกว่าของเข้าตัวเต็มๆ
“เอ่อ นานะครับ สรุปว่าเธอไม่ได้ชอบผมใช่มั้ย”
“อืม คิดว่ามีส่วนเท่ดีก็จริงแต่ว่า..”
“ก็ไม่ได้ว่านะ แต่เมื่อกี้ท่าทีของเธอมันไม่ใช่แบบนี้อะครับ นอกจากนี้ ตอนจับมือผม จำได้ว่ายังหน้าแดงอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”
“ต..ตอนนั้นชั้นอายไง”
“อายเหรอ?”
“สำหรับชั้นแล้ว คาสึคุงคือผู้มีพระคุณ..แล้วได้จับมือมันก็เลยเขิน ไม่ได้ถึงมีขั้นมีความรู้สึกรักเลย และไม่ได้มีความหมายพิเศษด้วยค่ะ”
เอ้า…ที่แท้เป็นอย่างนี้เหรอวะ
สรุปตะกี้ที่ไปโชว์หล่อ ทำเป็นเท่สะบัดรักตะกี้ กูหมาเลยเพราะความเข้าใจผิดครับ
…….
ใครก็ได้หยิบอีโต้มาจามกบาลทีเหอะ โคตรอายกับความมั่นหน้าตัวเองตะกี้ชิบหาย
คำอธิบายของนานะเปี่ยมด้วยเหตุผลชัดเจน ไม่ต้องถามเพิ่มเลยว่าเธอแก้ตัว ฟังปุ๊บรู้เลยว่าพูดความจริงล้วนๆ
“สบายใจได้นะ ในใจชั้นไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว ขอโทษที่พูดจาแปลกๆไปตะกี้ด้วย ชั้นไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน”
นานะหันหบัวเปิดประตู วิ่งออกไปข้างนอก รินกะรีบกล่าว ก่อนจะไล่ตามไป ส่วนเจ้าสเตอร์แมนกริฟดูจะตกใจกับปฏิกริยาเจ้านายเลยโดดออกจากอ้อมกอดนานะลงพื้น
“นานะหยุดคุยก่อนสิ”
“ม..ไม่ค่ะ ถ้าคุยแล้วความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันอาจจะเป็นไงต่อล่ะ…”
“ถ้าคิดแบบนั้นจริงก็หันมาสบตาชั้นก่อนแล้วพูดสิ”
“….”
ทว่านานะไม่ได้หันกลับมาคุย เปิดประตูออกไปข้างนอกเแล้ว รินกะก็ตะโกนเรียก ส่วนสเตอร์แมนกริฟเดินไปคลอเคลียเท้าผม
รินกะหันมาสบตากับผมโดยไม่ได้พูดอะไร ชั่วพริบตาที่สายตาประสานกัน ผมรู้ว่าเธออยากทำอะไร เธอวิ่งไล่ตามนานะ
ผมเดินไปหน้าทางออกประตูบ้าน เปิดตู้ หยิบกล่องกุญแจออกมา ในนี้มีกุญแจบ้านผมและของบ้านรินกะอยู่ข้างใน ผมคว้ากุญแจบ้านตัวเอง เดินเปิดประตูออกมาข้างนอก ตอนนี้ข้างนอกยังสว่างโพล้เพล้ รับลมหน้าร้อน
ที่เท้าผมมีสเตอร์แมนกริฟตามมาไม่ห่าง ส่งเสียงร้องเมี้ยว
“นานะ..ชอบรินกะงั้นเหรอ”
ผมนึกถึงเรื่องราวอดีตที่ผ่านมา
นานะบอกว่าอยากให้รินกะมีความสุข
เหตุผลตอนแรกที่ได้ยินคือเธอบอกว่า อยากให้รินกะมีความสุข เพราะเธอรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของเธอที่พารินกะเข้าวงการไอดอล และเป็นความรู้สึกของเพื่อนสนิทที่อยากให้มีความสุข แท้ที่จริงไม่ได้มีเพียงเท่านี้สินะ
“เธอเชียร์รินกะด้วยความรู้สึกยังไงบ้าง”
จากที่ผ่านมา ผมสัมผัสได้ว่าเธอเชียร์ด้วยความรู้สีกบริสุทธิ์ใจจริง เพราะเธอให้ความสำคัญกับรินกะจริง
แปลว่าเธอเก็บซ่อนความรู้สึกไว้มานานขนาดไหนกันะ
ว่าไปผมก็นึกย้อนไปถึงคำพูดคุณคาสึมิว่า ตอนที่งานไอดอลไม่ได้เป็นไปด้วยดี นานะแอบไปร้องไห้คนเดียวเพราะทุกข์กับเรื่องนี้ทุกเย็น
**สรุปรวบรัดละกัน ช่วงนี้จะย้อนอดีตนึกถึงคำพูดนานะล้วนๆเลยตั้งแต่เล่มแรกยันปัจจุบันว่ามีอะไรบ้าง แล้วได้ข้อสรุปมาว่า
พระเอกคิดว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาเอง ถ้าเป็นคนที่คิดถึงใจคนอื่นจริง เขาควรจะมองเบื้องหลังเรื่องพวกนี้ออกบ้าง
“ถ้ารู้ว่าสุดท้ายผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้ น่าจะเป็นโซโล่เพลย์เยอร์แต่แรกคงจะดีกว่า”
คาสึโตะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับความอ่อนด้อยของตัวเอง ที่ไม่รู้จักดูสังเกตภายในใจของแต่ละคน
“เมี้ยว”
“ไปกันเหอะ สเตอร์แมนกริฟ”
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรสักอย่างที่ผมทำได้เลย จะเข้าไปช่วยเหลือความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ทำไม่ได้
สุดท้ายก็ทำได้แค่เพียงเชื่อว่า ถ้าเป็นทั้งสองคน ที่มีความสัมพันธ์ดีมานาน เรื่องนี้ต้องจบลงด้วยดีแน่
ผมล็อคกุญแจประตูบ้านรินกะ อุ้มสเตอร์แมนกริฟ ตัดสินใจกลับบ้านตัวเอง ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมก็ยังคงรู้สึกผิด อยากขอโทษ ที่ทำให้ทั้งคู่ต้องทะเลาะกัน
*****
ผมส่งข้อความไปหารินกะ บอกว่า
“ผมกลับมาที่บ้านพร้อมอุ้มสเตอร์แมนกริฟมาด้วย สัก 2 ทุ่ม เดี๋ยวผมกลับไปบ้านเธอ”
ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าบ้านต้วเอง คิดว่า การที่ผมหายไปตามอำเภอใจแบบนี้ เธออาจจะห่วงผมก็ได้ ก็เลยส่งข้อความไปบอกกันไว้ดีกว่าแก้
“ไม่ได้กลับมาซะนานเลยแฮะ”
ตั้งแต่เริ่มปิดเทอมหน้าร้อน ผมก็ไปอาศัยบ้านรินกะตลอด นับดูแล้ว ผมอยู่ที่บ้านเธอถึงสองอาทิตย์เลย
ผมเปิดประตูด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยยัก เดินเข้าไปในบ้าน คิดว่า เดี๋ยวเปิดเกมเล่นสักหน่อยละกัน
ผมถอดรองเท้าใส่ในตู้ คิดว่า เดินมาไกลขนาดนี้ สเตอร์แมนกริฟอาจจะหิวน้ำก็ได้ ก็เลยตัดสินใจเดินไปที่ห้องครัว
ทว่า…ก่อนถึงห้องครัว ผมต้องผ่านห้องรับแขก
“อ๊ะ”
ภาพที่ปรากฏในสายตาผมคือ บนโซฟามีใครบางคนนั่งหันหลังให้ผมอยู่ เขาเลยไม่เห็นว่าผมเดินเข้ามา
คนๆนี้..เขารู้จักดี เขาคือพ่อของผมเอง
*****
ผมตกใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าพ่อจะอยู่ในบ้าน เล่นเอาร่างกายแข็งทื่อ
ปกติคนเราเจอพ่อที่ไม่พบมานาน มันควรจะต้องทักทายอะไรบ้าง แต่ผมพูดอะไรไม่ออก จะเริ่มต้นพูดอะไรดีล่ะ?
พ่อของผมยังคงนั่งหันหลัง ง่วนอยู่กับการเขียนสมุดโน้ตอะไรสักอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก
พ่อของผมสวมเสื้อสีขาว ผมสีดำ ถึงจะมีรูปร่างที่ไม่คุ้นตาสมัยอดีต แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อผมแน่
พอนึกดูแล้ว พ่อผมไม่ใช่คนประเภทประเมินว่า ให้ความสำคัญกับคิดถึงใจคนอื่นนัก ถึงแกจะทำงานช่วยเหลือสังคมตามที่กล่าวอ้าง แต่สำหรับผมที่เป็นลูกชาย ไม่มีความรู้สึกว่าแกเป็นคนที่คิดถึงใจคนอื่นเลย
ถึงตอนนี้พ่อผมก็ยังคงไม่เขียนโน้ตไม่หยุดมือ ไม่รู้ว่าเหตุผลเป็นเพราะพ่อไม่สังเกตว่าผมกลับมา หรือรู้ทั้งรู้ว่าคนที่เข้ามาคือผมแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น…แต่เรื่องนั้นช่างมันเหอะ
ไอ้เรื่องแบบนี้ สมัยอดีตก็เคยเกิดขึ้นบ่อยจะตาย ผมกับพ่อมีระยะห่างที่ต่างคนต่างอยู่ สุดท้ายครั้งนี้ก็คงไม่ต่างจากเดิม
“เมี้่ยว”
“…..”
เฮ้ย
สเตอร์แมนกริฟลงจากอ้อมกอดผม กระโดดขึ้นไปบนบ่าพ่อผมแทน
ทว่า สิ่งที่ผมตกใจไม่ใช่เรื่องนั้น
ทั้งที่มีแมวกระโดดขึ้นไปบนบ่าพ่อแท้ๆ แต่พ่อผมเหลือบตามองแมวแค่แว่บเดียว ก่อนที่จะกลับไปเขียนสมุดโน้ตไม่หยุดเหมือนเดิม
จะบอกว่าเป็นพลังสมาธิที่สูงจนน่าทึ่ง หรือจะบอกว่า เป็นคนที่ไม่แคร์สิ่งใดนอกจากของที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นก็ว่าได้
ภาพที่เห็นตรงหน้า อาจจะบอกได้ว่าพ่อผมเป็นอัจฉริยะ… ไม่สิ คนประหลาดมากกว่า
มีแมวที่ไม่รู้จัก เข้ามาในบ้าน และกระโดดมาเกาะบ่าแท้ๆแต่ยังสามารถละความสนใจ พุ่งเป้าไปกับงานตรงหน้า ยังไงก็ต้องบอกว่าโคตรคนประหลาดเลยถึงจะถูก
“เมี้ยว….เมี้ยววววววว”
“…..”
พอเจอสเตอร์แมนกริฟร้องป่วนสองที พ่อหยุดมือที่เขียน ตัวค้างแข็งกึกราวกับเป็นรูปปั้น ราวกับว่าสูญเสียชีวิต โดนสาปให้ตัวแข็งโดยสมบูรณ์
ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า พ่อจะตัวแข็งไปนานถึงไหน ทว่าไม่นานนักเหมือนท่านเพิ่งรู้ตัว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนเลยทำตัวไม่ถูกก็ได้
“เมี้ยว เมี้ยว”
สเตอร์แมนกริฟส่งเสียงร้องสองสามที ก่อนจะกระโดดลงจากบ่า เดินกลับมาหาผม
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไปสวนสาธารณะแทน ไปใช้เวลาที่นั่นดีกว่าอยุ่ในบ้านนี้
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็มีความทรงจำอันหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“…..ถ้าไม่พูดออกมาก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของคนนะ”
ฟังอย่างเดียวยังไงก็ไม่มีทางเข้าใจคนๆนั้นถ่องแท้ ต้องพูดถามออกไปด้วยถึงจะรู้ข้อมูลเพิ่ม
บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะคบกับรินกะล่ะมั้ง ถึงได้รับอิทธิพลเรื่องแนวๆนี้มาจากเธอ
ว่าไปแล้ว ไอ้การที่ผมเริ่มอยากจะคุยกับพ่อนี่มันกี่เดือนแล้วนะ เอาจริงๆ ครั้งล่าสุดที่ผมคุยกับพ่อ คือตอนไหนผมยังนึกไม่ออกเลย
พอผมตัดสินใจแล้วว่าจะคุยกับพ่อ ก็เลยเอ่ยปากถามจากด้านหลังท่านว่า
“เอ่อ…กลับมาบ้าน..ตั้งแต่เมื่อไร?”
“……”
เวลาผ่านไปเงียบๆ 10วินาทีอัพไปแล้วก็ไม่มีการตอบกลับ แต่สำหรับผมแล้ว 10วินาทีที่รอคอยให้พ่อตอบ มันนานและอึดอัดในหัวใจราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับอยู่
“เอ่อ…คนๆนั้น…ไม่ได้มาด้วยกัน..เหรอ”
คนๆนั้นที่ผมพูดถึงคือแม่ใหม่นั่นแหละ ทว่า ท่านก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
สิ่งที่รู้สึกแย่กว่าการถูกคนรังเกียจ คือการถูกเมินเฉยไร้ตัวตนนี่แหละ
ความรู้สึกว่าโดนเมิน มันทำผมอึดอัดจนแทบอยากตายเลย
“ไม่ได้ยิน…ที่ผมถามรึไง? พูดอะไรออกมา..สักอย่างไม่ได้รึไง?”
“…..”
ถึงตอนนี้ก็เหมือนเดิม
“ผมส่งข้อความไปบอกว่า ผมมีแฟนแล้ว และตอนนี้ผมพักอาศัยอยู่บ้านเธอนะ”
“…”
“ถ้าผมบอกว่า ผมคิดว่าอยากแต่งงานกับเด็กคนนั้น คิดว่าไงบ้างล่ะ? ฮะฮะฮะ…”
ถ้าเป็นปกติ ครอบครัวคนปกติล่ะก็ เจอเรื่องนี้มันต้องพูดอะไรสักอย่างกลับมาแล้ว
หรือถึงไม่พูด อย่างแย่เลยก็ต้องแสดงปฏิกริยาตอบสนองมาบ้าง
ทว่า..พ่อผมไม่ทำอะไร ไม่พูดอะไร ไม่มีปฏิกริยาใดๆสักอย่างเดียว”
“ว่าไง…?”
“….”
“…………เออ!”
ผมเริ่มรู้สึกเดือดขึ้นมาจากการกระทำของพ่อผม ความโกรธเริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมา
“งั้นเหรอ..ใช่ซี่ ผมมันไม่มีความหมายอยู่แล้วนี่นะ”
“….”
“เออ นึกออกแล้ว เหตุผลที่ผมไม่คุยกับคุณ ก็เพราะว่าเวลาผมคุยกับคุณแล้วคุณไม่เคยหันมามอง และไม่เคยคิดจะตอบแบบนี้ไง”
“….”
ภายในหัวผมเหมือนมีดอกไม้ไฟประทุ หายใจแรงขึ้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว
ผมตะโกนลั่นจากความรู้สึกที่อัดอั้นมานานหลายปี
“โว้ย….แม่งเอ้ยยยยย!!! “
ความอดทนผมสิ้นสุดลง ผมหันหลังกลับ วิ่งไปที่หน้าประตู คว้ารองเท้าจากกล่อง เปิดประตูบ้านทิ้งค้างไว้ วิ่งออกไปข้างนอก
“…..ชิ!”
ความโกรธที่ไม่รู้จะระบายกับใครได้กำลังวิ่งไปทั่วร่างผม
สิ่งที่ใช้ระบายได้ มีเพียงอย่างเดียวคือออกวิ่งสุดกำลังเข้าไปในตัวเมือง
*****
ระหว่างที่วิ่ง ความรู้สึกทีว่าถูกปฏิเสธตัวตนก้ยังคงไม่จางหาย แม้ว่าจะลองคุย ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจอีกฝั่งได้
“แฮ้ก…แฮ่ก…แฮ่ก”
ขาผมเริ่มล้าจนต้องหยุดวิ่ง เหงื่อท่วมตัวไปหมด
พอรู้สึกตัวอีกที ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว
“….ที่นี่..ที่ไหนนะ”
ผมวิ่งมาสุดกำลังโดยไม่สนใจใคร ทิวทัศน์รอบตัวเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย แต่ว่าผมมีมือถืออยู่ ถ้าหลงทางก็เปิดแผนที่มือถือได้จึงไม่กังวลเรื่องหลงทาง
“ก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อเป็นคนแบบนี้….เป็นไง สุดท้ายแม่งก็เป็นอย่างที่คิดสินะ”
ผมรู้ดีว่าพ่อเป็นคนยังไง กระนั้น ตอนที่คุย ก็แอบตั้งความหวังว่า ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์มันก็เห็นกันอยู่
“เมี้ยว”
“…สเตอร์แมนกริฟ”
ผมได้ยินเสียร้องมาจากด้านหลัง สเตอร์แมนกริฟนั่งอยู่บนพื้นถนนห่างจากผมไม่กี่ก้าว มันมองหน้าผมอยู่
สเตอร์แมนกริฟวิ่งตามผมมาตลอดเลยเหรอ
โชคดีจังที่มันวิ่งตามมา
เพราะถ้าผมปล่อยทิ้งไว้ที่บ้านแล้วมันหายไป ผมคงไปสู้หน้านานะไม่ได้
“กลับแมนชั่นรินกะมั้ย”
“เมี้ยว”
ผมกำลังจะเดินไปอุ้มสเตอร์แมนกริฟ แต่ว่ามันเริ่มลุกขึ้น ออกวิ่งหนีไป
“เอ็งจะหนีไปในเวลานี้จริงเหรอวะ”
สภาพผมเหงื่อโทรมกาย แต่ถ้ามันวิ่ง ก็ต้องวิ่งตามแหละ
สเตอร์แมนกริฟวิ่งไปสักพัก มันหยุดฝีเท้าหันหลังกลับมามองผม พอเห็นผมวิ่งตาม มันก็วิ่งต่อ
สรุปว่า มันวิ่งคงเพราะอยากเล่นกับผม เหมือนวิ่งเล่นนอกบ้าน มากกว่าจะตั้งใจหนีผมนะ
*****
สรุปรวบรัดเลย แม่มยืดเยื้อ
หลังจากนี้แมวจะพาคาสึโตะมาที่สวนสาธารณะสมัยอดีตที่แม่เคยพาเขามาตอนเด็ก คาสึโตะก็จะระบายเรื่องราวว่า ไอ้เรื่องการทักทายสามัญประจำบ้านอย่าง กลับมาแล้วครับ แล้วคนในบ้านตอบกลับว่า ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับเลยในชีวิตสักครั้ง
คาสึโตะจะนั่งไปตรงนี้คุยกับแมว แล้วก็ทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเองว่า แท้ที่จริงแล้ว เขาแค่แสร้งทำเป็นว่าชีวิตไม่เป็นไร แต่จริงๆแล้วเหงาจับใจมาก และทำให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนว่า เขาควรจะต้องรู้จักและทำความเข้าใจความรู้สึกของคนเวลาพูดให้มากกว่านี้ ไม่งั้นเขาคงจะสร้างบาดแผลทางจิตใจให้รินกะอีกเหมือนที่ผ่านมาแน่
“กลับกันเลยมั้ย”
ว่าไป นี่ก็มืดแล้ว ป่านนี้ทั้งสองคนน่าจะเคลียใจกันได้แล้วมั้ง นานะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง คงพูดได้ดีกว่าผมแน่
ว่าแล้วก็รีบกลับแมนชั่นรินกะเลยดีกว่า
****
จบ CH15-5
ใครคาดหวังจะเจอฉากมันๆ ขอบอกว่าเสียใจด้วยนะครับ เพราะตรรกะคนเขียนมันเเขียนเหมือนหักหลังอะ แทนที่จะโฟกัสนางเอกกับนานะ ดันมาเคลียปัญหาครอบครัวคาสึโตะแทน มันก็เลยเกิดความอีหยังวะในจุดนี้แหละ คือถ้าดูจากคาสึโตะเป็นสายเกมเมอร์ แต่บทจะเคลียใจให้พัฒนาความรู้สึกเรื่องการทำร้ายจิตใจคน มันขยายความเล่นใหญ่มาก
ถ้าอ่านจะรู้สึกเลยว่าที่ผ่านมา ไอ้ที่มันไม่ใส่ใจคนทั้งตัวเองและรินกะ มันไม่ใช่มุก แต่เป็นการเลี่้ยงดูจากทางบ้านนี่แหละ แต่ถึงจะเล่นใหญ่ ความสมเหตุผลกลับดูต่ำไปนิด มันเชียนไม่อินอะ แถมยืดเยื้อด้วยสิ ไม่รู้แฮะ อธิบายลำบาก บางคนอาจจะมองว่าสมเหตุผล แต่ผมมองว่าอิหยังวะละกัน
ที่ต้องแปลตอนนี้ ทั้งที่ปกติชอบตัด เพราะมันต้องไปรอตอนจบเล่มสองนี่แหละ ถึงจะเข้าใจว่า ฟีลลิ่งคาสึโตะที่เป็นตอนนี้ มันสำคัญขนาดไหนในตอนจบ
ก็รอติดตามกันต่อนะครับผม เพราะนี่ก็ 90 % ของเล่มสองละจ้า
รอตอนใหม่ได้ก็อ่านที่นี่พรุ่งนี้นะครับ แต่ถ้าทนไม่ไหว จัดไปได้ที่เพจ คลิกตรงนี้เลยจ้า kurakon
MANGA DISCUSSION