Myth Online ฮีลเลอร์สายบู๊ [网游之奶个锤子] - บทที่ 466 การต่อสู้ที่รุนแรง
บทที่ 466 การต่อสู้ที่รุนแรง
บทที่ 466 การต่อสู้ที่รุนแรง
คฤหาสน์ยอดเขานั้นถูกสร้างขึ้นบนส่วนที่สูงที่สุดของภูเขาที่ซึ่งอยู่เขตสวนระบบนิเวศของเมือง มันถูกห้อมล้อมด้วยความเขียวขจีและมากมายไปด้วยพันธุ์ไม้ มันให้ความรู้สึกสงบสุขมากกว่าที่คฤหาสน์หลังไหน ๆ จะมอบให้ได้เสียอีก
สวนระบบนิเวศแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเมืองเฉิงไห่ ไม่เพียงแต่เพราะเป็นรูปแบบที่ดินที่หาได้ยากแล้ว มันยังถูกเพิ่มมูลค่าให้ด้วยความเขียวขจีอีก ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยหากผืนดินส่วนนี้จะมีราคาแพง
นอกจากนี้มันยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนยอดนิยมในช่วงวันหยุดด้วย โดยเฉพาะช่วงเย็นในฤดูร้อน จะสามารถพบเห็นผู้คนมากมายต่างพากันมาเดินเล่นในสวนระบบนิเวศแห่งนี้เพื่อเชยชมความงามของพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำลงมายังโลกแทบจะทั้งฤดู หรือแม้แต่ตอนเช้าเองก็ยังสามารถพบเห็นคนเฒ่าคนแก่สวมชุดจีนมารำไทเก๊กหรือต่อยมวยอยู่ในป่าไม่ก็ใต้ร่มศาลาอีกด้วย
ที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างอยู่เพียงสองแห่งเท่านั้น อย่างแรกคือรีสอร์ตที่บริเวณทางเข้า ช่วงก่อนหน้านี้มันเกือบจะกลายเป็นโรงแรมร้างไปแล้วขณะที่ยังอยู่ในมือของหลิวเฉียงเหว่ย แต่ปัจจุบันถูกทำให้กลายเป็นฐานทัพของเหล่าสมาชิกเฮลไปแล้ว
ถึงแม้ว่าตัวโรงแรมยังเปิดกิจการอยู่ก็จริง แต่เจ๊งก็คือเจ๊ง ว่ากันว่าแขกกลุ่มเดียวที่ได้เข้ามาใช้บริการในโรงแรมก็คือ แขกกลุ่มที่มาเมื่อเดือนที่แล้วอย่างจางเสี่ยวหยูและฉิ่งเอ้อเท่านั้น
อันที่จริง ตั้งแต่การที่ ‘มิธ’ ถูกยกย่องให้เป็นโลกใบที่สอง ธุรกิจมากมายหลายอย่างในโลกจริงก็เข้าขั้นวิกฤตกันหมด รวมไปถึงอุตสาหกรรมและบริษัทมากมายเองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ธุรกิจโรงแรมดูจะเป็นสิ่งที่รับภาระหนักสุดแล้ว แรงดึงดูดของโลกใบที่สองที่มีผลต่อจิตใจผู้คนนั้นแรงกล้ามาก การลงทุนมากมายต่างก็หันไปลงที่โลกใบนั้นกันหมด มันเลยกลายเป็นว่าธุรกิจที่หวังพึ่งการแวะเวียนของผู้คนจึงต้องซบเซาลงอย่างน่าเสียดายและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วการเปลี่ยนแปลงการกาลเวลาก็จะกลืนกินพวกเขาลงไป
สิ่งปลูกสร้างอย่างที่สองก็คือ คฤหาสน์ยอดเขา มันเป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของสวนระบบนิเวศ
แม้ว่าคฤหาสน์หลังนี้จะอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของธรรมชาติในป่าลึก แต่แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากความสะดวกสบายแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นซูเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสถานที่เหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้มูลค่าของคฤหาสน์ยอดเขาแห่งนี้ลดลงเลย ราคาที่ดินของที่นี่ยังคงสูงเสียดฟ้าไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อครั้งตอนที่เฉียนโตวโตวมาซื้อคฤหาสน์หลังนี้ให้ เธอค่อนข้างจะตื่นเต้นมาก ๆ ยังไงเสียนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เซียวเฟิงนัดเจอเธอบนโลกจริง ๆ ด้วย และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับมอบหมายหน้าที่นี้
รถบ้านคันใหญ่ค่อย ๆ ขับช้าลง ๆ ขณะที่ขับเข้ามาในป่าลึก ก่อนจะจอดอย่างนิ่มนวลที่หน้าประตูทางเข้าคฤหาสน์ยอดเขา อันที่จริงที่ด้านนอกคฤหาสน์นี้ถูกห้อมล้อมไปด้วยสวนขนาดเล็กมากมายถึงหกแห่ง และแน่นอนว่าทางหลักที่ตัดเข้ามานั้นก็ยังกว้างขนาดที่ให้รถสามคันวิ่งเข้ามาพร้อมกันยังได้
ในใจเซียวเฟิงก็ไม่ได้อยากจะส่งคืนรถบ้านที่แสนสบายคันนี้สักเท่าไหร่ แต่เพราะโรงจอดรถของคฤหาสน์ยอดเขานั้นมีพื้นที่จำกัด แม้มันจะใหญ่แล้ว แต่ด้วยรถทั้งสามคันที่จองพื้นที่ก่อนหน้า มันเลยทำให้ชายหนุ่มไม่เหลือที่สำหรับรถบ้านคันนี้อีก คันแรกเป็นออดี้ของเฉียนโตวโตว คันที่สองเป็น BMW ของหลิวเฉียงเหว่ย และคันที่สามเป็นรถสีดำที่เซียวเฟิงไปได้มันมาจากข้างทางขณะกลับมาจากยุโรปเมื่อครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งรถคันนี้ก็ถือเป็นสักขีพยานให้กับการเกิดใหม่ของเฮลอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทิ้งมันไปได้
“เดี๋ยวฉันจะโทรบอกเสี่ยวหยูให้เธอส่งคนจากตระกูลจางมาขับมันกลับไปก็แล้วกัน” ประตูรถบ้านเปิดออก เซียวเฟิงและซางกวนซือเฟยต่างเดินลงมาช้า ๆ แล้วหันกลับไปมองรถคันใหญ่ก่อนจะพูด
“เข้าใจแล้วครับนายท่าน ถ้าอย่างงั้นเดี๋ยวผมขอกลับไปก่อน” คิงคองเองก็ลงมาจากรถด้วยเช่นกัน เขาค่อย ๆ เดินและรับฟังวิธีแก้ปัญหาเรื่องรถจากเซียวเฟิง แม้ตัวเขาจะไม่ได้เหนื่อยจากการขับรถเป็นเวลานาน ๆ เช่นนี้ แต่เพราะตนเองก็มีเรื่องที่ได้รับมอบหมายใหม่มาจากผู้เป็นนายอย่างเซียวเฟิงว่าให้ตนรีบพัฒนาตนเองใน ‘มิธ’ เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็เพิ่งออกจากหมู่บ้านเริ่มต้นได้ แต่นั่นยังไม่ดีพอ เขายังไม่สามารถบรรลุภารกิจที่เซียวเฟิงมอบไว้ได้ ดังนั้นเมื่อมีเวลา เขาจึงจำเป็นต้องเร่งเก็บเลเวลเสียหน่อย
“อืม ไปรีบ ๆ เก็บเลเวลของนายซะ” เซียวเฟิงดูท่าจะรู้ว่าคิงคองตั้งใจจะกลับไปทำอะไร เพราะงั้นเขาจึงโบกมือลาและกำชับไปพร้อม ๆ กัน จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาจางเสี่ยวหยู
“แปลก ทำไมถึงโทรไม่ติดนะ? ช่างมันเถอะ คงไม่ต้องรีบร้อนโทรหาขนาดนั้นก็ได้” อย่างไรก็ตาม เขาโทรหาจางเสี่ยวหยูไม่ติดเลย เซียวเฟิงได้แต่รู้สึกแปลกใจกับตนเอง แต่มันคงเป็นเรื่องปกติที่นาน ๆ ครั้งอาจจะโทรหาเธอไม่ติดบ้าง ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไว้ค่อยหาวิธีติดต่อเธอทีหลังก็ได้…
“ไปกันเถอะ ท่านเซียว ดูเหมือนว่าเหล่าสาวงามทั้งหลายจะอดใจรอการกลับมาของนายไม่ได้แล้วนะ”
ซางกวนซือเฟยถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาด้วย เธอเดินข้าง ๆ เซียวเฟิงจนเป็นเรื่องปกติแล้ว ด้วยแววตาอันเฉียบคม หญิงสาวมองเห็นสถานการณ์ที่กำลังรอพวกเธออยู่ตรงหน้าก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยคำพูดที่ชวนให้สงสัย ในขณะเดียวกันเธอก็แอบยิ้มอยู่ภายในใจด้วย
“หือ?”
เซียวเฟิงหันกลับไปมองทางประตูคฤหาสน์ แล้วเขาก็ได้พบคำตอบ ที่ตรงนั้นมีร่างอันงดงามร่างหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่ ร่างที่สูงเพรียวมาพร้อมกับผิวที่ขาวเนียนนุ่ม เสื้อกล้ามตัวเล็กที่ท่อนบน เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและหัวไหล่เนียนสวยที่ดูโค้งสวย เอวบางที่โค้งเข้ารูป ควบคู่ไปด้วยสองขาเรียวประดุจดินสอที่โผล่พ้นกางเกงขาสั้นที่มีรอยขาดสุดเร่าร้อนลงมา เรียวขาที่สมบูรณ์แบบที่ไม่ว่าชายใดก็ไม่อาจละสายตาได้
ใบหน้าทรงไข่ที่งดงามและละเอียดละออภายใต้การตีกรอบของผมที่ยาวประบ่า หากสาวผู้นี้ไม่ใช่ซือเยี่ยจิ๋ง แล้วเจ้าหล่อนจะสามารถเป็นใครได้อีก?
“หือ? นี่เธอมารอฉันที่หน้าประตูจริง ๆ เหรอเนี่ย?”
ชายหนุ่มเดินตรงไปยังประตูคฤหาสน์ มองร่างตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาชื่นชมก่อนจะถามด้วยความสงสัย
“หลงตัวเอง”
ซือเยี่ยจิ๋งกรอกตาใส่เซียวเฟิงทันที เธอหันกลับไปเปิดประตูและเตรียมจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด ทว่าตอนนั้นเอง เซียวเฟิงที่กำลังยืนมองหลังของหญิงสาวอยู่ก็จับคางตนเองพลางครุ่นคิด เขาตัดสินใจที่จะเดินตามหล่อนไปจนกระทั่งใกล้ถึงตัว จากนั้นก็เข้าไปสวมกอดเธอจากด้านหลังโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
“อ๊ะ! นายจะทำอะไรน่ะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
หญิงสาวเริ่มที่จะทุบตีแขนที่โอบกอดเธอด้วยใบหน้าที่แดงเพราะความเขิน เริ่มกระโดดหมายจะหลุดออกจากอ้อมกอดของเซียวเฟิง แต่โชคไม่ดีที่ไม่สามารถทำได้
“ท่านไนท์คูนเนอร์ ท่านเซียวน่ะอดทนอดกลั้นมาตลอดทางเลยนะ เพราะงั้นฉันเชื่อว่าเธอจะมีความสุขสุด ๆ เลยล่ะ!” ซางกวนซือเฟยยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะเผยยิ้มที่หวาดหยดย้อยประดุจดอกไม้วัยแรกแย้ม
“อ๊าาาาาา! ไม่เอา! ปล่อยฉันลงเร็ว ๆ เลย! ฉันรับมือตานี่คนเดียวไม่ได้หรอกนะ! แถมฉันยังต้องไปมหาลัยบ่ายนี้อีก!” ได้ยินดังนั้นซือเยี่ยจิ๋งก็ร้องโวยวายออกมาด้วยความหวาดหวั่น ใบหน้าของเธอดูเลิ่กลั่กตลอดเวลาที่พูดออกมาเช่นนั้น
“มันสายไปแล้ว!”
เซียวเฟิงลูบเอวบางกับต้นขาสวยของอีกฝ่าย เขาแสยะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
“ไม่ ๆๆๆ ฉันรับไม่ไหวจริง ๆ นะ! อย่างน้อย ๆ ถ้าจะทำอะไรก็เอาลูกพี่ลูกน้องของฉันกับคนอื่น ๆ มาด้วยสิ! ฉันรับมือนายคนเดียวไม่ไหวจริง ๆ!”
เพราะความกังวล ซือเยี่ยจิ๋งเลือกที่จะเอาพี่สาวของเธอมาขายอย่างไม่ลังเล ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่ในเกม
“ไม่ต้องกังวล พวกนั้นก็ไม่รอดเหมือนกัน”
ชายหนุ่มแสยะยิ้มจากนั้นเขาก็เดินขึ้นห้องนอนที่ชั้นสองของคฤหาสน์ไปพร้อม ๆ กับซือเยี่ยจิ๋งในอ้อมกอด เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่าหนิงเคอเค่อนั้นเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวจากการที่เธอยืนแอบมองอยู่ตรงประตูห้องครัวด้วยความสั่นเทาและเป็นกังวลสุด ๆ
หลิวเฉียงเหว่ยและเฉียนโตวโตวยังคงสวมหมวกและเล่นเกมกันอยู่ พวกเธอทั้งสองโดนเซียวเฟิงหิ้วมายังห้องนอนของเขาทั้งที่ยังไม่ได้ถอดหมวกด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น หากร่างกายของผู้สวมหมวกถูกกระทำ ยังไงพวกเธอก็ต้องถูกระบบบังคับออฟไลน์
แน่นอนว่าซางกวนซือเฟยก็หนีไม่รอด ระหว่างที่เซียวหลิงยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง การต่อสู้อันแสนดุเดือดก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
คฤหาสน์ยามเช้าที่ควรจะเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเงียบสงบลงเพียงเพราะเซียวเฟิงกลับมา แต่กลับไม่มีใครลงมายังห้องอาหารในเช้านี้เลย
หนิงเคอเค่อที่เฝ้ารอให้ทุกคนลงมาทานอาหารเช้าถูกปล่อยให้รอเก้อพร้อมกับอาหารที่เย็นลง เธอหันมองเวลาแล้วจึงกลับเข้าครัวไปเงียบ ๆ เพื่อทำอาหารกลางวัน เด็กสาวเก็บถ้วยชามอาหารต่าง ๆ บนโต๊ะด้วยความกล้า ๆ เกร็ง ๆ เพราะรู้ว่าด้านบนกำลังเกิดอะไรขึ้น ใบหน้าสวยแสดงอาการเคอะเขินและแดงก่ำ ความคิดในหัวเธอมันฟุ้งซ่านเสียจนเธอเผลอสะดุดขาตนเองขณะเดินรุนแรง โชคยังดีที่ถ้วยชามไม่ได้ตกลงพื้นแตก
“หือ? แปลก ทำไมไม่มีใครลงมากินอะไรเลยล่ะ?”
ในตอนเที่ยงวัน องค์หญิงประจำคฤหาสน์ในชุดนอนผู้มีผมสีบลอนด์เป็นเอกลักษณ์ก็เดินลงมาพลางขยี้ตาตนเองไปด้วย ภายในห้องอาหารช่วงกลางวันนี้ก็ไม่มีใครเช่นเดิม มันเลยทำให้เธออดที่จะบ่นพึมพำไม่ได้
“ช่างเถอะ ยัยเอเลี่ยนวัวนม ทาสนิสัยเสียของฉันกลับมาแล้วหรือยัง? ฉันจำได้ว่าเจ้านั่นบอกจะกลับมาช่วงเช้า แต่เพราะฉันเผลอหลับไป…ตะ…แต่ไม่ใช่เพราะองค์หญิงเซียวหลิงคิดถึงหรืออยากเจอหน้าหมอนั่นหรอกนะ! เอ่อ…อ้อ พะ…เพราะฉันวางแผนไว้! ฉันตั้งใจจะให้เจ้านั่นช่วยพาฉันไปเก็บเลเวลตอนกลับมาแล้วน่ะ ใช่แล้ว! ตามนั้นแหละ!”
เธอเห็นหนิงเคอเค่อยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟให้ในห้องอาหาร เซียวหลิงจึงไม่รอช้าที่กล่าวถามไปทันที
“นะ…นายท่านกลับมาถึงแล้วค่ะ…กลับมาถึงแล้ว..” หนิงเคอเค่อรีบตอบอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“จริงเหรอ? ถ้างั้นเดี๋ยวองค์หญิงเซียวหลิงจะไปตามเจ้านั่นลงมา! ให้รู้ซะบ้างว่านี่มันเวลากินข้าว! กล้ามากที่บังอาจะเอาแต่เล่นเกมจนไม่ยอมมากินข้าวแบบนี้!”
เมื่อเซียวหลิงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเธอก็ดูมีความสุขขึ้นมาทันที เด็กสาวไม่รอช้าที่จะลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นบนไป
“ดะ…เดี๋ยวก่อนค่ะ องค์หญิง!”
เสียงของหนิงเคอเค่อที่ร้อยวันพันปีจะดังขึ้นมาสักครั้ง เปล่งเสียงออกมาให้ได้ยินหลังเห็นว่าเซียวหลิงกำลังจะมุ่งหน้าขึ้นชั้นบน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เธอยังบ่นพึมพำเบา ๆ อยู่เลย
“ทำไมน่ะ ยัยเอเลี่ยนวัวนม?” และด้วยเสียงนี้ เซียวหลิงเองก็ประหลาดใจไม่น้อย
“นะ…นะ…นายท่าน แจ้งฉันไว้ล่วงหน้าแล้ว…ว่าไม่ต้องรอทานข้าวน่ะค่ะ” เมดสาวพูดด้วยสีหน้าเคอะเขิน และนั่นเป็นเพราะเธอกำลังโกหก
“งั้เหรอ? ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะติดงานอยู่สินะ เอาเถอะ ถ้างั้นองค์หญิงเซียวหลิงค่อยตามไปเจอในเกมหลังกินข้าวเสร็จก็ได้ อ๊ะ! ส่วนเธอ เอเลี่ยนวัวนม เธอเองก็ต้องไปออนไลน์หลังกินข้าวเสร็จด้วยเหมือนกัน ฉันบอกให้เจ้าทาสนิสัยเสียพาเธอไปเก็บเลเวลด้วย เพราะงั้นรีบเข้า!”
เซียวหลิงไม่ได้สงสัยในคำพูดของเมดสาวแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเซียวเฟิงเองก็ใช้เหตุผลนี้ในการไม่ลงมากินข้าวอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่เซียวเฟิงเท่านั้น สาว ๆ คนอื่น ๆ เองก็เช่นกัน หากพวกเธอไม่ได้ออฟไลน์ลงมากินข้าว แสดงว่าในเกมจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
โชคยังดีที่เซียวหลิงไม่ได้รีบขึ้นมาชั้นบน ไม่งั้นแล้วเธอคงได้พบกับสนามรบที่กำลังดุเดือดภายในห้องของเซียวเฟิงแน่ ๆ
สงครามราคะจบลงในช่วงเที่ยงของวัน เซียวเฟิงเอนหัวลงพิงกับหัวเตียงเพื่อพักผ่อน เขาสูบบุหรี่หนึ่งมวนหลังจากจบศึกครั้งนี้ และเมื่อตรวจสอบร่างกายตนเอง สีหน้าของเขาก็ดีขึ้นเมื่อพบว่าความร้อนและความอึดอัดก่อนหน้ามันหายไปหมดแล้ว เขากำลังรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวแบบสุด ๆ เลย!
ทางด้านของหลิวเฉียงเหว่ยและสาว ๆ คนอื่นต่างก็นอนสั่นอยู่ในผ้าห่ม โผล่ขึ้นมาเพียงหัวไหล่และใบหน้าที่แดงระเรื่อไม่ต่างกันเท่านั้น กระนั้นครั้งนี้ พวกเธอก็ดูจะรู้สึกดีมากขึ้นต่างจากเมื่อครั้งก่อนอยู่มาก อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีอาการเจ็บแล้ว
“แย่ล่ะ นี่มันจะบ่ายโมงแล้วนะ!”
ในบรรดาสาว ๆ ที่กำลังเหนื่อยอ่อนนี้ หลิวเฉียงเหว่ยพูดขึ้นมาก่อนหลังเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่อยู่ข้างเตียง
“จะรีบไปไหน?”
เซียวเฟิงนั้นดูจะไม่ได้ตื่นตัวกับเรื่องนี้เลย เขาเคลื่อนมือไปใต้ผ้าห่มแล้วเล่นสนุกกับการคาดเดาว่าตอนนี้มือตนกำลังสัมผัสกับสัดส่วนของสาว ๆ คนไหนอยู่ หลัก ๆ แล้วเขาก็กำลังไล่บีบเค้นอกพวกเธอนั่นแหละ
ซางกวนซือเฟยนั้นง่ายต่อการจดจำ ท่ามกลางพวกเธอทั้งสี่คน เธอคนนี้มีหน้าอกเต็มไม้เต็มมือมากที่สุดอย่างไม่มีใครเกิน ตามมาด้วยหลิวเฉียงเหว่ย ผู้มีร่างกายสมบูรณ์แบบที่สุด หน้าอกของเธอก็ไม่ได้แพ้ซางกวนซือเฟยเลย
แต่ผู้ที่ทำให้เซียวเฟิงรู้สึกคาดเดายากก็คือซือเยี่ยจิ๋งกับเฉียนโตวโตว พวกเธอทั้งสองมีหน้าอกที่ขนาดเท่ากันมากเกินไป มันเลยทำให้เซียวเฟิงต้องหยุดคลำนานกว่าปกติ
“อย่าจับมันนะ! ไอ้คนผีทะเล!”
ซือเยี่ยจิ๋งเหลือบมองเซียวเฟิงแล้วผลักเอามือหนาใหญ่ของเขาที่กำลังจับหน้าอกของเธออยู่อก เธอรู้สึกได้ว่าเซียวเฟิงต้องกำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่แน่ ๆ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าแผนดังกล่าวคืออะไร
ถือเป็นโชคดีที่เธอไม่รู้ ไม่งั้นแล้วจากสถานการณ์ที่สงบสุขบนเตียง มันคงจะได้กลายเป็นสงครามนองเลือดขึ้นมาทันทีแน่ ๆ
“แล้วถ้าเซียวหลิงเปิดเข้ามาในห้องนายล่ะ?”
หลิวเฉียงเหว่ยยังคงไม่ยอมแพ้ความคิดที่จะโน้มน้าวให้เซียวเฟิงลุกออกจากเตียง ดังนั้นเมื่อได้ไม้เด็ด สาวเจ้าก็พูดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
“…”
“เร็วเข้า! รีบลุกเร็ว แล้วก็รีบแต่งตัวด้วย!”
และมันได้ผล สีหน้าของเซียวเฟิงเปลี่ยนไปในทันที เขาไม่รอช้าที่จะลุกออกจากเตียงอย่างเร่งรีบหลังตระหนักได้ถึงภัยร้ายที่อยู่ใกล้ตัว