Mystical Journey - ตอนที่ 183 วิปริตในตำนาน...(1)
ตอนที่ 183 วิปริตในตำนาน…(1)
“คุณรู้จักเขาได้ยังไง” กาเรนรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“เรื่องนี้คุณอย่าสนใจเลย” อันเดอร์เลชท์หน้าแดงขึ้นมาและดูลำบากใจที่จะตอบคำถาม “เอาเป็นว่า เขามาแน่นอน เพราะข้อมูลพวกนี้ เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นและเตือนสติผม”
“ก็ได้ แค่พวกเราสามคน พอหรือเปล่า”
“พอแล้ว” อันเดอร์เลชท์พยักหน้า “คนทางฝั่งวิหารแห่งทวยเทพก็ไม่มากไม่ใช่เหรอ ถ้าอยากจะแย่งของจากมือพวกเขาและสำนักมารวารณ ความสามารถก็ต้องพอตัวด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะพลังแห่งขุนพลสวรรค์ของคุณบังเอิญเหมาะกับผมมาก ทำให้พละกำลังของผมเพิ่มขึ้นด้วย ผมเองก็คงไม่กล้าคิดหรอก”
“ก็ใช่ หวังว่าคนคนนั้นจะเก่งกาจเหมือนที่คุณคุยไว้นะ”
“ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน! อีกอย่าง สถานที่ที่ผมกำหนดไว้ล่วงหน้า มีคนของสำนักมารวารณเข้าไปก่อนแล้ว รอจนพวกเขาออกมาก่อน พวกเราค่อยเข้าไปขวาง” อันเดอร์เลชท์พูดอย่างมั่นใจ
“กำลังคนยังไม่พอ ทะลุขีดจำกัด…” กาเรนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้น ก็มีชื่อของคนคนหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง “บางที…เขาอาจจะสนใจ”
“ใครหรือ?”
“ปักษาขาวกำปั้นเทวดา”
ดวงตาของอันเดอร์เลชท์ก็เปล่งประกายขึ้นเช่นกัน “เขาเป็นพวกหลายบุคลิก แล้วก็วางมือไปแล้วไม่ใช่หรือ คุณมั่นใจว่าเขาจะยอมออกจากภูเขาแน่หรือ”
“คุณคิดว่าการที่ผมเข้าไปหาเขาในครั้งนี้ก็แค่ศึกษาแลกเปลี่ยนกันธรรมดาๆ หรือไง” กาเรนชี้ไปที่บาดแผลบนหน้าอก “ว่าแต่พวกหลายบุคลิกที่คุณว่า มันเป็นยังไง”
“ปาโร่เป็นคนที่มีทั้งหมดสามบุคลิก เมตตา โหดเหี้ยม เฉยชา บุคลิกทั้งสามนี้จะใช้ตอบรับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน บุคลิกเมตตาก็ไว้รับมือกับการเจรจาที่ไม่มีเจตนาร้าย บุคลิกโหดเหี้ยมก็เอาไว้ตั้งรับศัตรู ผู้ที่ลอบโจมตี หรือคนที่มีเล่ห์เหลี่ยม ส่วนบุคลิกเฉยชาเป็นบุคลิกที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แล้วก็เป็นบุคลิกจริงๆ ของเขาด้วย ส่วนบุคลิกเมตตาและโหดเหี้ยมก็ได้มาจากวิชาฝ่ามือสองอย่างที่เขาฝึกฝน”
นี่เป็นครั้งแรกที่กาเรนได้ยินอะไรแบบนี้
‘ดูท่าแล้ว ตอนที่สู้กับเรา นั่นยังไม่ใช่สถานะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาสินะ’ เขาขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นปาโร่อยู่ในช่วงบุคลิกเมตตา
หลังจากที่วางแผนการกันคร่าวๆ แล้ว ทั้งสองก็เริ่มรวมรวบข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่อันเดอร์เลชท์หามาได้ทันที
ในขณะเดียวกัน กาเรนก็เริ่มเทียบเคียงความจริงในเรื่องนี้ เป็นไปตามคาด เรื่องนี้มีสัญญาณที่ชัดเจน เพียงแต่ไม่มีใครเคยสังเกตเห็นมาก่อน
หลังจากยืนยันและรวบรวมข้อมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่คนทั้งคู่คิดถึงก็คือการไปหาปาโร่ปักษาขาวกำปั้นเทวดาก่อน
***************
เทือกเขาสกายลาร์ค
เมื่อคนชุดขาวสองคนนำทางกาเรนและอันเดอร์เลชท์ไปถึง ก็ได้เห็นปาโร่กำลังย่างเนื้อปลา
กองไฟในยามค่ำคืนเด่นชัดมากท่ามกลางป่าเขาที่มืดมิด
ปาโร่นั่งอยู่ลำพังคนเดียวข้างกองไฟ เสื้อผ้าสีเทาอ่อนของเขาถูกเปลวไฟสะท้อนให้กลายเป็นสีแดง
เขาเงยหน้าขึ้นมองพวกกาเรนที่เข้ามาใกล้พร้อมกับคบเพลิงในมือ
คนกลุ่มนั้นหยุดอยู่ไม่ไกลจากกองไฟ คนในชุดขาวทั้งสองคนทำความเคารพปาโร่อย่างเงียบๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ทิ้งให้อีกสองคนในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงนั้น
“คุณมาอีกแล้ว” ปาโร่พูดเบาๆ แล้วก้มศีรษะลงมองดูเนื้อปลาย่างตั้งใจ เนื้อปลาสีขาวน้ำนมบางส่วนถูกย่างจนกลายเป็นสีเหลืองและมีกลิ่นหอมยั่วยวน
กาเรนเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ กองไฟ แล้วก็ส่งสัญญาณชักชวนให้อันเดอร์เลชท์ทำแบบเดียวกัน
“ครั้งนี้ผมไม่ได้มาสู้กับคุณหรอกนะ” เขาเหลือบมองปลาย่างบนกองไฟแล้วพูดอย่างสงบ “มีบางอย่างที่คุณอาจจะสนใจ”
ปาโร่มองเขาอย่างสงสัย จากนั้นก็เบี่ยงสายตาไปหาอันเดอร์เลชท์ที่อยู่ข้างๆ ทันที “น่าสนใจนี่ เรื่องที่ทำให้ฉันสนใจ?” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเย็นชา ไม่ได้เมตตาเหมือนครั้งก่อนที่กาเรนพบ
“ไหนลองว่ามาสิ”
รอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าของอันเดอร์เลชท์ เขารีบหยิบข้อมูลปึกหนึ่งออกมาจากใต้ชุดคลุมแล้วยื่นให้
ปาโร่หยิบขึ้นมาและพลิกดูไปเรื่อย ในตอนแรก สีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง แต่ภายหลัง สีหน้าของเขาก็เริ่มแปลกไป
ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เขาวางข้อมูลในมือลง แล้วปิดตาครุ่นคิด
ไม่นานนัก เขาก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง แล้วจ้องมองอันเดอร์เลชท์อย่างสงบและเฉยเมย
“ความแข็งแกร่งของกาเรน ฉันเคยเห็นแล้ว ฉันมั่นใจในคุณสมบัติของเขาที่จะมาร่วมมือกับฉัน แต่คุณล่ะ ความแข็งแกร่งของคุณไม่เพียงพอ แล้วมีอะไรที่บอกได้ว่าการร่วมมือกับคุณจะคุ้มค่าล่ะ”
อันเดอร์เลชท์ยิ้มทันที
“ตอนนี้ความแข็งแกร่งของผมด้อยกว่าพวกคุณจริงๆ แต่ในเมื่อผมเสนอเรื่องนี้ขึ้นมา ย่อมพิจารณาเรื่องนี้ไว้แล้ว” เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากผ้าคลุม ขวดแก้วใสทรงกระบอกบรรจุของเหลวหนืดสีเงินอยู่ด้านใน “ผมมีไอ้นี่ ต่อให้เป็นยอดฝีมือจากวิหารแห่งทวยเทพ ผมก็สามารถประวิงเวลาได้นิดหน่อย ยังไงซะ จุดแข็งของผมก็คือความเร็ว นอกจากนี้ เพื่อนอีกคนหนึ่งของผมก็ต้องการให้ผมเป็นคนกลาง เขาและพวกคุณอยู่ในระดับเดียวกัน”
“ยางไม้เศวตร? คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะหาทรัพยากรที่ใกล้สูญพันธ์แบบนี้ได้ แต่ปัญหาของฉัน พวกคุณคิดเผื่อบ้างหรือเปล่า” ปาโร่ตอบกลับอย่างเฉยเมย
“แน่นอน ” อันเดอร์เลชท์ผงกศีรษะ “สถานที่ที่พวกเราจะไปล้วนแล้วแต่เป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปถึง ต่อให้เจอปีศาจ ก็ใช่ว่าจะเอาชนะไม่ได้ มีบางที่ที่ต้องให้คุณออกแรงด้วย”
“ฉันต้องการเวลาตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลนี้ อย่างน้อยหนึ่งเดือน” ปาโร่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ทำไมพวกคุณถึงคิดว่าฉันจะเข้าร่วมด้วยล่ะ แทนที่พวกคุณจะไปตามหากันเองหลังจากได้ข้อมูลพวกนี้”
“ซานฟรานจากวิหารแห่งทวยเทพก็ไม่ได้ตัวคนเดียวนี่นา” จู่ๆ กาเรนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้น
ทันใดนั้น ทุกอย่างก็สงบเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงประกายไฟที่แผ่วเบาเท่านั้น
“เอาล่ะ พวกเราขอตัวกลับก่อน อีกหนึ่งเดือน คุณสามารถให้คนมาส่งคำตอบกับเราตามที่อยู่นี้ได้” กาเรนโยนการ์ดสีขาวให้ปาโร่แล้วลุกขึ้นเดินกลับไปตามทิศทางที่เข้ามา อันเดอร์เลชท์ก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
ชุดคลุมสีขาวของคนทั้งสองค่อยๆ ลับหายไปยามค่ำคืนและถูกกลืนกินเข้าไปในความมืดมิด
ถัดไปคือราชาปีศาจแห่งความฝัน จากรายงานของอันเดอร์เลชท์ เพื่อนของเขาคนนี้กำลังอยู่ในช่วงพักร้อน ตำแหน่งคร่าวๆ ระบุไว้ที่เกาะส่วนตัวเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทวีปหุบเขาหิน
เรื่องนี้ปล่อยให้อันเดอร์เลชท์ไปติดต่อกับเขาเอง กาเรนยังมีธุระที่ต้องสะสางด้วยตัวเองอีก
เคล็ดวิชาอาจจะเกี่ยวพันกับความสามารถทางสายเลือดของนักเวทในตำนาน มีความเป็นไปได้ว่าประเด็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการทะลุขีดจำกัด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะน่าสนใจ แต่เป้าหมายของกาเรนในตอนนี้คือการพัฒนาศิลปยุทธ์ลับของเขา
*****************
ซ่า…
อ่างน้ำเย็นเทลงบนศีรษะของกาเรน
เขายืนอยู่บนลานประลองในคฤหาสน์ป่าเมเปิ้ล ทั่วทั้งร่างกายมีเพียงกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นสีขาวสวมไว้ ผิวขาวๆ ของเขาถูกชโลมด้วยน้ำมันสีทองอ่อนๆ
รูปร่างแข็งแกร่งทรงพลังแต่เดิมนั้นยิ่งดูดุดันมากขึ้นภายใต้แสงสะท้อนจากน้ำมัน
เมื่อมองดูที่แถบทักษะเบื้องใต้รัศมีการมองเห็น ด้านบนมีหนึ่งจุดสามดาราเพิ่มขึ้นมา ด้านหลังยังมีพลังเทวรูปทองคำเพิ่มขึ้นใหม่อีกด้วย
กาเรนกวาดตามองค่าศักยภาพที่สะสมมานาน ที่ผ่านมาเขาไม่ได้ใช้เลยสักแต้มเดียว บัลลังก์ดาบทองก็สร้างศักยภาพหลั่งไหลเข้าสู่สมองของเขาอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน
ค่าศักยภาพในปัจจุบันทะลุมากกว่า 25 แต้มอีกครั้ง ทว่า บัลลังก์ดาบทองในเวลาเริ่มมีแนวโน้มจะหมดฤทธิ์ลงอย่างเห็นได้ชัด การไหลของศักยภาพก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
กาเรนจัดเรียงคุณสมบัติหลักและแถบทักษะทั้งหมด
[พละกำลัง 2.66 ความเร็ว 2.72 ความแข็งแรง 2.65 สติปัญญา 2.53 ศักยภาพ 2596%
ศิลปยุทธ์ลับ———
เคล็ดวิชามหาคชประยุกต์: ระดับขั้นระเบิดพลัง (สูงสุด), ประสิทธิภาพความแข็งของผิวหนังระดับหนึ่ง (กายาเหล็ก), ความเสถียรมั่นคงของเลือดลมระดับหนึ่ง (ทักษะมหาศิลา)
กรงเล็บเพลิง: ขั้นที่สอง (ทั้งหมดสี่ขั้น), ประสิทธิภาพเปลวไฟระดับหนึ่ง (ทั้งหมดสามระดับ ได้มาจากการฝึกฝนศิลปยุทธ์ลับฝ่ามือหยกแดงและพลังเหล็กอัคคี)
พลังเทวรูปทองคำ: เข้าสู่ระดับเริ่มต้น (ทั้งหมดห้าขั้น) จะควบรวมกับเคล็ดวิชาลับมหาคชหรือไม่]
พลังเทวรูปทองคำ พลังเทวรูปเหล็ก และพลังเทวรูปทองแดง ตามความเห็นของกาเรน พลังสามส่วนนี้เป็นพลังของสำนักชั้นยอด แน่นอนว่าเขาจะไม่ควบรวม
ระหว่างที่ยืนอยู่กลางลานประลอง กาเรนขอให้คนรับใช้ยกถังน้ำลงไป และให้ทุกๆ คนถอยออกไป
จนกระทั่งบริเวณรอบๆ ตกอยู่ในความเงียบสงบ เขาจึงมองไปที่แถบทักษะอีกครั้ง
‘ศักยภาพยี่สิบห้าแต้ม เพียงพอที่จะผลักดันศิลปยุทธ์ลับสักวิชาให้ไปถึงระดับสูงสุดได้ พลังเทวรูปทองคำแข็งแกร่งกว่าเคล็ดวิชาลับมหาคชไม่เท่าไร เคล็ดวิชาลับมหาคชนั้นเป็นศิลปยุทธ์ลับระดับสาม แม้จะเสริมประสิทธิภาพความแข็งแกร่งเข้าไปตั้งมากมายแล้วก็ตาม อีกทั้งเราก็ฝึกฝนมาจนถึงระดับที่ไม่เคยมีใครเอื้อมถึงมาก่อน แต่ก็ยังไม่สามารถบรรลุประสิทธิภาพที่แข็งแกร่งที่สุดได้ แม้ว่าการเพิ่มเทคนิคการต่อสู้เข้าไปจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราได้ก้าวเข้าสู่ระดับนักสู้ แต่กระนั้น พลังก็ยังอ่อนแอเกินไป ระดับก็ยังต่ำเกินไป แค่เรื่องพวกนี้ ก็ถือว่าขาดทุนมากแล้ว’
เขาจ้องที่แถบทักษะของพลังเทวรูปทองคำ
หลังจากที่แช่น้ำและชโลมร่างกายด้วยน้ำมันสมุนไพรอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะนี้แล้ว ในที่สุดเขาก็สำเร็จระดับต้นในพลังเทวรูปทองคำ
‘พลังเทวรูปทองคำเคยเป็นของสำนักใหญ่ที่เป็นปรปักษ์กับสำนักดาบทรายแดง แม้ว่าพลังจะไม่เทียบเท่ากับดาบทรายแดง แต่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันมาก’ เขาย้อนนึกถึงคำอธิบายของศิลปยุทธ์ลับวิชานี้
พลังเทวรูปทองคำ : การบุกโจมตีมีความแข็งแกร่งมาก เสริมสร้างพละกำลัง ความแข็งแรง และพลังฟื้นฟู ผู้ที่ฝึกสำเร็จจะหลอมรวมภายในและภายนอกเป็นหนึ่งเดียว ไม่ต้องกลัวพลังทะลุทะลวง พลังฟื้นฟูแข็งแกร่งมาก มีประสิทธิภาพต่อต้านสารพิษประเภทต่างๆ
จุดอ่อน : ตัวหนัก ความหนาแน่นสูง
พลังเทวรูปทองคำมีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนกว่ามาก มีพลังการฟื้นฟูเพิ่มขึ้นมาเมื่อเทียบกับเคล็ดวิชาลับมหาคชแล้ว ต่อให้เป็นมหาคชที่ประยุกต์แล้วก็ไม่สามารถเทียบกับผลลัพธ์เมื่อฝึกสำเร็จได้
สิ่งนี้ทำให้กาเรนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนไปใช้ศิลปยุทธ์ลับวิชานี้เป็นวิชาเอกของเขา
หลังจากจัดการความคิดของตัวเองแล้ว ก็หายใจเข้าลึกๆ การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ร่างกายย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เขาจำต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ทันใดนั้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่พลังเทวรูปทองคำซึ่งอยู่ในระดับเริ่มต้น
ค่าศักยภาพหายไปหนึ่งแต้ม
ในขณะเดียวกัน พลังเทวรูปทองคำก็พัฒนาขึ้นเป็นขั้นที่หนึ่ง
ค่าศักยภาพหายไปสองแต้ม พลังเทวรูปทองคำขยับขึ้นไปเป็นขั้นที่สอง
ค่าศักยภาพหายไปอีกสองแต้ม ขยับขึ้นไปเป็นขั้นที่สาม
คราวนี้ค่าศักยภาพหายไปรวดเดียวห้าแต้ม พลังเทวรูปทองคำขยับไปถึงขั้นที่สี่
ท้ายที่สุด ศักยภาพห้าแต้มหายไปอีกครั้ง
ในที่สุด หลังจากใช้คะแนนศักยภาพไปถึงสิบห้าแต้ม พลังเทวรูปทองคำก็แตะที่ระดับสูงสุดขั้นที่ห้าสำเร็จสมบูรณ์เสียที
กาเรนยืนนิ่งพลางเฝ้ามองที่ด้านหลังของแถบทักษะวิชาพลังเทวรูปทองคำ สัญลักษณ์สำเร็จสมบูรณ์ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ในเวลาเดียวกันนี้ เขาก็เตรียมตัวพร้อม
ทันทีที่สัญลักษณ์ชัดเจนอย่างสมบูรณ์ ก็มีเสียงดังโครมครามขึ้นในสมองของเขา กระแสลมเย็นขนาดมหาศาลพวยพุ่งออกมาและแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง
ชั่วครู่หนึ่ง ร่างกายรู้สึกราวกับเส้นเลือดมีน้ำเย็นไหลเต็มไปหมด แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ มีกระแสเลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากหัวใจ และหลั่งไหลไปรวมกัน แทบจะเหมือนกับตอนที่หมัดอหังการ์เปลี่ยนระดับในตอนแรก การเปลี่ยนแปลงของร่างกายทำให้เกิดปฏิกิริยากระตุ้นที่รุนแรง
เป็นอีกครั้งที่ร่างกายของกาเรนแสดงอะไรแปลกๆ ออกมา ร่างกายซีกซ้ายมีสีแดง ในขณะที่ซีกขวาเป็นสีขาว แตกต่างกันอย่างชัดเจน พลังความร้อนและเย็นที่ตรงข้ามกันพันพัวและไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายของกาเรนอย่างต่อเนื่อง
ร่างกายหลั่งสารหนืดออกมาไม่หยุดจนปกคลุมไปทั่ว เหมือนกับมีเจลาตินเคลือบอยู่
คะแนนศักยภาพสิบห้าแต้มผลักดันพลังเทวรูปทองคำพุ่งตรงไปที่ขั้นที่ห้าซึ่งเป็นระดับสูงสุดสมบูรณ์
………………………………………………………………