Mystical Journey - ตอนที่ 171 วันสุกดิบ (1)
ตอนที่ 171 วันสุกดิบ (1)
“ท่านอาจารย์ เมื่อเทียบกับตระกูลแล้ว ผมชอบศิลปะการต่อสู้มากกว่า” เด็กหนุ่มตอบอย่างพินอบพิเทา
“ตระกูลโดวอน?” กาเรนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านใจ ตระกูลนี้เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมากและเห็นได้บ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบตระกูลชั้นนำแห่งสหพันธรัฐทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นกลุ่มตระกูลที่มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งประเทศ อำนาจและอิทธิพลล้นฟ้า ถือเป็นยักษ์ใหญ่แห่งแดนใต้ ไม่คิดเลยว่าจะมีสมาชิกของตระกูลนี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตน
“นายเข้ามาที่สำนักเมฆขาวตั้งแต่เมื่อไร” กาเรนขมวดคิ้ว
ไซมอนตื่นตกใจและเกรงว่าจะมีการเข้าใจผิด จึงรีบอธิบาย
“อาจารย์ โยริสเข้ามาเป็นศิษย์ของเราในช่วงที่ผมกับแคริ่งช่วยกันดูแลสำนัก เป็นช่วงหลังจากที่อาจารย์และอันเดอร์เลชท์ได้ต่อสู้กัน เพียงแต่ตอนนั้น เขาเข้ามาด้วยสถานะนักเรียนธรรมดาๆ ต่อมาในภายหลัง ผมเห็นว่าหน่วยก้านดีจึงดึงเขาขึ้นมา จากนั้นก็เกิดเรื่องนิดหน่อย แล้วจึงได้ไหว้ครูเป็นศิษย์อาจารย์กัน”
“อ๋อ?” กาเรนเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเนิ่นนานขนาดนั้นแล้ว เมื่อชำเลืองมองโยริส เด็กหนุ่มคนนี้มีดวงตาที่ลึกล้ำ แต่กลับซ่อนเร้นไปด้วยปณิธาน แววตาเฉียบคมไม่วอกแวก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่
“สำนักตั้งมากมาย ทำไมถึงเลือกสำนักเมฆขาวล่ะ” เขาถามตรงๆ โดยไม่ปิดบังความเคลือบแคลงใจของตน
โยริสผงะไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบกลับคืนสู่ท่าทางปกติ
“เอ่อ ผมเป็นเพื่อนสนิทของพี่เฟรย่า เธอเป็นคนแนะนำให้ผมมาเรียนศิลปะการต่อสู้ที่นี่”
“เฟรย่า” กาเรนชะงัก พลางหวนคิดถึงแม่สาวสูงศักดิ์จอมแก่นคนนั้นทันที “ถ้าเป็นเธอ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แล้วตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง”
“เธอสบายดีครับ เพียงแต่ถูกขังให้อยู่แต่ในบ้าน” โยริสตอบอย่างนุ่มนวล ท่าทางการพูดการจาของเด็กหนุ่มคนนี้ดูจะละเมียดละไมไปเสียหมด รูปร่างหน้าตาก็จิ้มลิ้มพริ้มเพรา หมดจดงดงามจนไม่เหมือนเด็กผู้ชายเลย หากไม่ใช่เพราะลูกกระเดือก ก็คงจะถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเหมือนผู้ชายไปแล้ว
หลังจากพินิจพิจารณาโยริสและเยรีนาแล้ว แม้ว่าเด็กสาวจะมีท่าทางเย็นชา ในขณะที่เด็กหนุ่มนั้นนุ่มนิ่มงดงาม แต่ทั้งสองต่างก็มีความแน่วแน่ในดวงตาเหมือนๆ กัน ที่พวกเขามาเป็นศิษย์ที่นี่ ไม่รู้ว่าเป็นเหตุผลไหนมากกว่ากันระหว่างการลงทุนเพื่อผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูลหรือความปรารถนาส่วนตัว
“จิตวิญญาณยอดเยี่ยม หากตั้งใจฝึกฝน ก็มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จก่อนอายุยี่สิบ แต่ก็ต้องดูว่าพวกนายจะอดทนได้หรือเปล่า” กาเรนผงกศีรษะด้วยความพึงพอใจ ไม่ว่าจะอย่างไร ทั้งสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นตัวแทนของผู้มีอำนาจท้องถิ่นที่ยอมจำนนต่อเขาโดยสมบูรณ์ อีกคนหนึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจแห่งวงศ์ตระกูลชั้นนำที่อยู่ภายนอก ลำพังแค่อาศัยเด็กสองคนนี้ สำนักเมฆขาวก็จะปลอดภัยไร้ปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สมาชิกของหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งสหพันธรัฐอย่างโยริสได้เข้าเป็นศิษย์สำนักเมฆขาวที่อยู่ในบัญชาการของเขา ถือได้ว่าทั้งตัวเขาและสำนักเมฆขาวเป็นที่ยอมรับแล้ว
“ไหนๆ ท่านอาจารย์ก็อยู่ที่นี่ ผมมีข้อสงสัย ไม่รู้ว่าท่านจะคลายข้อข้องใจให้ผมได้หรือไม่” โยริสก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม
“คำถามอะไร ถามมาได้เลย” กาเรนอารมณ์ดีมากในเวลานี้ เขาผงกศีรษะตอบรับ
“เป็นเรื่องปัจจัยสำคัญของวิถีแห่งการต่อสู้ครับ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งแล้ว สิ่งใดคือสิ่งสำคัญที่สุด ปัจจัยแบบไหนถึงจะเป็นกุญแจที่ตัดสินถึงความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของผู้ฝึกยุทธ์” ทันทีที่อ้าปากพูด โยริสก็เจาะจงไปที่แกนกลางเลย
ไม่ใช่แค่กาเรนเท่านั้น ไซมอนและแคริ่งเองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย คำถามนี้แสดงให้เห็นว่าความคิดและสติปัญญาของโยริสนั้นไม่ได้มีแค่วุฒิภาวะธรรมดาๆ
กาเรนพินิจมองเด็กหนุ่มรูปงามคนนี้อย่างจริงจัง จากดวงตาของเขา กาเรนมองเห็นความวิริยะและความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ
ชั่วขณะนี้ ภายในโถงฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้เงียบสนิท มีเพียงเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจและลมหายใจที่แผ่วเบาเท่านั้น
โยริสพยายามสบสายตากับกาเรน ท่าทางของเขาดูเหมือนผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่จู่โจมเข้าใส่ทั่วทั้งร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกลมหายใจอัดแน่นหนักอึ้งอยู่ที่บริเวณอก เหงื่อค่อยๆ ผุดซึมออกจากขมับทั้งสองข้างและกลิ้งไหลลงไปตามโครงหน้าของเขา
เขาเคยเผชิญกับแรงกดดันของอำนาจจากการได้สบสายตาตรงๆ กับคุณอาผู้ซึ่งมียศพลโท แต่ไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนตอนนี้เลย ทั้งยังเคยพบกับผู้นำตระกูลที่เป็นอดีตวุฒิสมาชิก ก็ไม่รู้สึกกดดันขนาดนี้เช่นกัน
การเผชิญหน้ากับพวกเขาช่างแตกต่างจากการเผชิญหน้ากับอาจารย์กาเรน นอกจากแรงกดดันแล้ว ยังมีความรู้สึกคุกคามที่น่าสะพรึงอีกด้วย
โยริสรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ราวกับมีหุบเหวอยู่ตรงหน้า หากเผลอเอียงตัวไปเพียงนิดเดียว ก็อาจจะตกลงไปได้
“ครอบครัวของนายไม่เห็นด้วยที่นายมาเป็นศิษย์ที่นี่ ใช่หรือเปล่า” จู่ๆ กาเรนก็พูดขึ้น
โยริสตกใจพลางกัดริมฝีปากล่างของตัวเอง
“ใช่ครับ พวกเขาค้านหัวชนฝา แต่ผมแอบหนีออกมา”
“เอ่อ!…” ทั้งไซมอนและแคริ่งต่างรู้สึกตกใจ
โยริสที่ยืนอยู่ข้างหลังเป็นถึงสมาชิกของตระกูลหนึ่งในสิบตระกูลชั้นนำแห่งสหพันธรัฐ อำนาจของวงศ์ตระกูลนั้นไม่ใช่ธรรมดาๆ เลย
“นายบอกว่าพวกเขาเห็นด้วยไม่ใช่หรือ” ไซมอนเริ่มกังวลใจขึ้นมาแล้ว
“ขอโทษครับ อาจารย์” โยริสก้มศีรษะลงและกล่าวคำขอโทษ “เป็นผมเองที่เอาแต่ใจ” อันที่จริง ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเข้าร่วมกับสำนักเมฆขาวเลย เดิมทีก็แค่คิดเล่นสนุก ถือเป็นการออกมาเที่ยวเล่น ไม่คิดเลยว่าไซมอนจะสนใจเขา หลังจากได้พูดคุยกันแล้ว ทั้งสองยังเข้ากันได้ดีอย่างคาดไม่ถึง
ไซมอนไม่พูดพร่ำทำเพลงรับเขาเป็นลูกศิษย์ของตนทันที
ตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างลูกศิษย์และอาจารย์ในโลกแห่งศิลปยุทธ์ลับ อีกทั้งโยริสเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์นี้ ทั้งสองจึงเริ่มกระบวนการฝึกสอนวิชาลับมหาคชแห่งสำนักเมฆขาวกันอย่างงงๆ
เมื่อถึงเวลาที่โยริสค่อยๆ ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็สายเกินไปแล้ว นอกจากจะเรียนรู้ทักษะศิลปยุทธ์ลับของสำนักเมฆขาวไปตั้งมากมายแล้ว ยังได้กินยาเสริมกำลังไปแล้วด้วย เขาไม่สามารถแยกตัวออกไปจากความสัมพันธ์นี้ได้จริงๆ
ยามที่เขาวางแผนจะตีตัวออกห่างจากไซมอน ชื่อเสียงที่กาเรนสร้างไว้ข้างนอกก็ขจรขจายมาถึงพื้นที่แห่งนี้แล้ว
ความสัมพันธ์ของศิษย์อาจารย์ทั้งสองก็เหมือนกับการขี่หลังเสือ เมื่อขึ้นไปแล้ว คิดจะลง ไม่ง่ายเลย
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ โยริสจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับไซมอน คนทั้งสองต่างก็พูดอะไรไม่ออก
หากโยริสจากไปก็เท่ากับทรยศต่อสำนัก จุดจบของเลสเทียก็ทำให้ไซมอนตื่นตระหนกมาก แม้กระทั่งโยริสที่เพิ่งจะรู้เรื่องก็รีบเรียกร้องให้เขาพามาพบกับกาเรน
กาเรนฉีกยิ้ม ท่าทางไม่ยี่หระ
“สำหรับคำถามของนาย ฉันสามารถให้คำตอบได้ แต่อย่างไรก็ดี นักศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงแต่ละคนต่างก็มีคำตอบเป็นของตัวเอง”
“ท่านอาจารย์ เชิญครับ” โยริสดึงความคิดของตนกลับมาและพูดอย่างจริงจัง
“สำหรับผู้ฝึกยุทธ์นั้น ฉันคิดว่ามีสองปัจจัยที่สำคัญที่สุด” กาเรนพูดช้าๆ อย่างเนิบนาบ
“ประการแรกก็คือพรสวรรค์ หมายถึงพรสวรรค์ทางกายทั้งหมด ยิ่งมีพรสวรรค์มากเท่าไร ก็จะเรียนรู้ได้เร็วและประหยัดเวลาในการก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น”
ทุกคนต่างพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
“ประการต่อมาก็คือจิตวิญญาณ” กาเรนยื่นนิ้วออกมาเพื่อเน้นย้ำ
“ไม่ว่าจะเป็นผู้รักในศิลปะการต่อสู้ทั่วไป หรือนักศิลปะการต่อสู้ หรือแม้แต่ผู้ที่อยู่ในระดับนักสู้ จิตวิญญาณถือเป็นสิ่งสำคัญมาก” กาเรนทอดถอนหายใจเล็กน้อย “ยกตัวอย่างพวกอันธพาลที่ตีกันตามท้องถนนก็แล้วกัน ถ้าก่อนจะตีกัน เกิดถูกทำลายขวัญกำลังใจขึ้นมา อย่างนั้นจุดจบก็คือความพ่ายแพ้ใช่หรือไม่”
ดูเหมือนแต่ละคนเหมือนยังไม่เข้าใจ เขาจึงอธิบายต่อ
“เมื่อคนธรรมดาสองคนชกต่อยกัน พละกำลังและความรวดเร็วเท่าๆ กัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีจิตใจที่อ่อนแอ ก็จะขาดความมั่นใจ และตกเป็นฝ่ายรับและหลบเลี่ยง ในขณะที่อีกฝ่ายจิตใจฮึกเหิม ก็จะเป็นฝ่ายรุกโจมตีอย่างต่อเนื่อง แบบนี้แล้ว หากไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ยังไงชัยชนะก็จะเป็นของฝ่ายที่มีจิตใจกล้าแกร่ง”
“ผมพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วครับ” โยริสขมวดคิ้วเล็กน้อย
กาเรนชำเลืองมองเด็กสาวเยรีนาที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนเธอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างเช่นกัน ความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กทั้งสองไม่เลวเลย ทางด้านแคริ่งก็ชัดเจนว่าเข้าใจแจ่มแจ้ง มีเพียงไซมอนเท่านั้นที่ยังเกาหัวงุนงง
“แล้วระดับของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ล่ะครับ” โยริสยังคงซักไซ้
“สิ่งที่ระดับของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ไขว่คว้านั้น ก็คือการรวบรวมจิตสังหารของตัวเองออกมาท้าทายกับจุดสูงสุดแห่งขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์ เพื่อบรรลุสู่ระดับนักสู้” กาเรนอธิบายอย่างสงบ “ส่วนจิตสังหารนั้นเป็นสิ่งที่เกิดจากการหลอมรวมของจิตวิญญาณและความแข็งแกร่ง ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ที่มีจิตวิญญาณจะมีลักษณะความแข็งแกร่งเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน ลักษณะของจิตสังหารก็จะแตกต่างกันออกไป จิตสังหารของบางคนจะอำนาจกดดันศัตรู ของบางคนสามารถรบกวนจิตใจของคู่ต่อสู้ ฉันเองก็เจอคนที่อยู่ในระดับนักสู้มาไม่มากนัก จึงไม่ค่อยจะรู้สักเท่าไร”
“เช่นนั้น ระดับของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ จิตวิญญาณมีความสำคัญยังไงหรือครับ” โยริสถามต่อไป
“ตอนนี้นายถามคำถามนี้ ออกจะเร็วเกินไปหน่อยนะ” กาเรนมองโยริสที่นั่งอยู่ข้างหน้า ภายใต้แรงกดดันของเขา เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบห้าปีคนนี้สามารถพูดจาได้อย่างฉะฉาน ช่างเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
“แต่ฉันก็เล่าให้ฟังได้” น้ำเสียงอ่อนโยนของกาเรนเจือปนไปด้วยท่าทีชื่นชม
“ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่อ่อนแอ ปฏิกิริยาตอบสนองต่อการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะเชื่องช้า ผู้ที่มีจิตวิญญาณที่อ่อนแอจะตกอยู่ในความลังเลเมื่อเผชิญหน้ากับทางเลือก ก้าวผิดหนึ่งก้าว แล้วก็ก้าวพลาดซ้ำๆ ก็จะตกอยู่ในวังวนของความลังเลในทางเลือกของตัวเอง ปฏิกิริยาตอบสนองก็จะช้าลงเรื่อยๆ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขนาดไหน กำลังก็จะอ่อนลงไปมาก”
เขากล่าวเสริมว่า “ผู้ที่มีปณิธานแห่งจิตวิญญาณที่ไม่แน่วแน่พอ ก็จะเกิดความหวั่นไหว การตอบสนองจะไม่เร็วพอ และอาจเกิดอาการลังเล ในหลายๆ กรณี โอกาสสำคัญก็แค่ชั่วพริบตา หากสูญเสียก็คือความพ่ายแพ้ นี่คือความสำคัญของจิตวิญญาณและจิตสังหาร”
“ดังนั้น ยอดฝีมือจำนวนมากจะใช้จิตสังหารกดดันอีกฝ่ายก่อนการต่อสู้ หากถูกคู่ต่อสู้ข่มก่อน โอกาสชนะก็จะต่ำมาก” เมื่อเห็นโยริสมีท่าทีเข้าใจ กาเรนจึงพูดต่อว่า “มียอดฝีมือบางคนที่มีจิตสังหารไม่เพียงพอ ก็จะใช้วิธีอื่นโจมตีฝ่ายตรงข้าม เช่น ใช้กลอุบาย ยั่วยุด้วยวาจา เป็นต้น”
“เข้าใจแล้วครับ” โยริสพยักหน้า “หมายความว่า ถ้าอยู่สถานการณ์ที่ความแข็งแกร่งไม่ต่างกันมาก แต่หากจิตวิญญาณถูกกดดัน ก็จะไม่สามารถแสดงศักยภาพออกมาเป็นเหตุให้มีโอกาสพ่ายแพ้ได้”
“ถ้าอย่างนั้นจะรวบรวมและเสริมความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณได้อย่างไรล่ะครับ”
“อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วล่ะ วิธีการเสริมสร้างจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งนั้นมีมากมายร้อยแปดพันเก้า นายต้องหาวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเอง” กาเรนไม่ได้ชี้แนะตรงๆ เมื่อเห็นคนทั้งสี่กำลังมุ่ยหน้าขบคิดอยู่ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้น
“ต่อจากนี้ไป ไซมอนและแคริ่งจะรับหน้าที่ดูแลสำนักเมฆขาว มีอะไรจถาม วันนี้ก็ถามมาได้เลย”
แคริ่งและไซมอนต่างหันมองหน้ากันทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆ กัน
“อาจารย์ โปรดชี้แนะด้วย”
ทั้งสองค่อยๆ ยกมือขึ้นตั้งท่าเตรียมพร้อมของสำนักเมฆขาว
โยริสและเยรีนาลุกขึ้นถอยหลังหลีกทางให้
“มาพร้อมๆ กันเลย ให้ฉันดูหน่อยว่าพวกนายพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว” กาเรนนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมโดยไม่ได้ขยับเขยื้อน
………………………………………………………………