My House of Horrors คฤหาสน์สยองขวัญของผม - ตอนที่ 647 เลิกเสแสร้ง (1+2)
ความใจดีไม่ใช่การอดทนอย่างตาบอดหูหนวก และมันก็ไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าการทำเรื่องดี ๆ จะนำไปสู่สิ่งดี ๆ ตอบแทน ความใจดีจริงแท้แล้วนั้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง วิถีการดำรงชีพของคนผู้หนึ่ง จิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำในทุก ๆ วันสม่ำเสมอ
เฉินเกอนั้นเป็นคนใจดี แต่วิธีการที่เขาแสดงความใจดีออกมานั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งกลุ่มอยากจะพูดอะไรอีกตอนที่ได้ยินสิ่งที่เฉินเกอพูด แต่หลังจากตรึกตรองถ้อยคำของเขาแล้ว พวกเขาก็เงียบ
นี่คือเมืองหลี่ว่านที่โอบล้อมไปด้วยหมอกสีเลือด ที่ซึ่งฆาตกรและผีมากมายแอบซ่อนอยู่ทุก ๆ มุมเมือง เคลื่อนไหวผิดเพียงก้าวเดียวและพวกเขาก็จะสูญเสียชีวิตของตนไปโดยง่าย ความใจดีนั้นหาได้ยากนักที่นี่ แต่ในเวลาเดียวกัน ความใจดีนี้ก็เป็นสิ่งที่ราคาถูกที่สุด
“ผมจะทำตามที่คุณสั่ง” หมอเป็นคนแรกที่เอ่ยทางเลือกของเขา เขามองคนเก่ง และในใจเขา เขาก็นับเฉินเกอเป็นความหวังเดียวในการจะออกไปจากที่นี่
“ฉันก็จะฟังคำสั่งของแกชั่วคราว” มือกรรไกรก็เห็นด้วยเช่นกัน ผู้โดยสารสามคน มีเพียงชายขี้เมาที่ดูไม่ค่อยยินยอม
“เสียงส่วนใหญ่ชนะ ดังนั้นก็เอาตามนี้” เฉินเกอส่งลูกกุญแจทั้งสี่ดอกให้แต่ละคน “หลังจากนี้ พยายามอย่าพูดและปล่อยทุกอย่างเป็นหน้าที่ผม”
ประมาณสองหรือสามนาทีให้หลัง เจ้าของร่างอ้วนก็เดินโซเซกลับมาจากห้องครัว “พวกคุณเลือกห้องกันแล้วใช่ไหม? อย่างนั้นก็ลงทะเบียนตรงนี้ และตอนที่คุณลงทะเบียน ผมก็มีข้อควรระวังบางอย่างที่ต้องบอกพวกคุณไว้”
คุณเจ้าของร่างอ้วนดึงสมุดโน้ตเก่าเหลืองออกมาจากใต้เคาน์เตอร์ บนสมุดนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเป็นชั้นหนา บ่งบอกว่ามันไม่ถูกใช้งานมาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาพลิกเปิดสมุด มันเต็มไปด้วยเลขห้อง และมีชื่อคนเขียนเอาไว้ใต้แต่ละเลข สิ่งที่แปลกก็คือบางชื่อนั้นมีการขีดฆ่า บางชื่อถูกวงกลมไว้ และนอกจากนั้นยังมีบางชื่อถูกกากบาททับด้วยสีแดง
เฉินเกอนั้นไม่รู้จริง ๆ ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้หมายถึงอะไร แต่เขามีความรู้สึกว่าแต่ละชื่อที่ถูกขีดฆ่านั้นหมายถึงหนึ่งชีวิตที่สูญสิ้นไป
“ผมหวังว่าคุณจะจำสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ให้ขึ้นใจ” เจ้าของยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะในท่าประหลาด “ห้องโถงนี้เป็นสถานที่ที่พวกเราจะรับประทานอาหารเย็นกัน เมื่อถึงเวลา ผมจะไปตามพวกคุณด้วยตัวเอง แต่ว่า ผมหวังว่าพวกคุณไม่เดินไปมารอบ ๆ ในช่วงเวลาที่เหลือ เลี้ยวตรงมุมนั่น และมันก็จะพาคุณไปที่ห้องของพวกคุณ ก่อนที่ชั้นหนึ่งจะเต็ม ชั้นสองจะยังไม่เปิดให้บริการ ผมหวังว่าพวกคุณจะไม่ขึ้นบันไดไปดูด้วยความสงสัย ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับพวกคุณ ทางโรงแรมจะไม่รับผิดชอบ”
“พวกเราขึ้นไปข้างบนไม่ได้? ที่นี่ก็ออกจะใหญ่ แต่แกกลับมีกฏเกณฑ์มากมาย” มือกรรไกรเลียริมฝีปากตัวเองและแผลบนใบหน้าของเขาก็สั่นเบา ๆ
เจ้าของร่างอ้วนดูเหมือนจะเคยชินกับการรับมือกับคนที่มีรูปลักษณ์น่ากลัว สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะอธิบายให้มือกรรไกรฟังอย่างมีน้ำอดน้ำทน “นี่ก็เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง ผมอาจจะมีแขกคนอื่นเข้าพักที่สถานที่ซอมซ่อนี่ของผม และผมก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าแขกเหล่านั้นจะไม่ออกมาทำร้ายคุณเข้า”
“คุณพูดก็มีเหตุผล พวกเราต้องระวังให้มาก” เฉินเกอนั้นสุภาพที่สุดในกลุ่ม– ไม่มีสัญญาณใดเลยสักนิดว่าเขากำลังวางแผนยึดที่นี่เอาไว้
“ตราบใดที่คุณพักอยู่แต่ในห้องของคุณ จะไม่เกิดอะไรขึ้น นอกจากนั้น ผมหวังว่าคุณจะจำเรื่องนี้เอาไว้ เมื่อคุณเข้าไปในห้องแล้ว อย่าเปิดประตูรับใครอีก ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของคุณก็ตาม” ดวงตายิบหยีของเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีขั้นไขมันมาบังเอาไว้ ดังนั้นจึงยากที่จะบอกการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันมีการเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเท่านั้น “ผมไม่ได้กำลังทำให้พวกคุณกลัว บางครั้ง คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเพื่อนก็อาจจะไม่ได้มีเรื่องของคุณอยู่ในใจก็ได้ หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนของคุณอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”
เฉินเกอไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของคุณเจ้าของนัก เห็นได้ชัดเจนว่าผู้ชายคนนี้พยายามเปลี่ยนให้พวกเขาหวาดระแวงกันเอง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความบาดหมางไว้ในใจพวกเขา
“เอาละ นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องบอกพวกคุณตอนนี้ อีกเดี๋ยวผมจะไปเรียกพวกคุณมารับประทานอาหารเย็น พวกคุณไปดูห้องของตัวเองก่อนได้ การเข้าพักคืนแรกไม่มีค่าใช้จ่าย” เจ้าของร่างอ้วนเดินออกไปหลังพูดจบ ฝีเท้าของเขานั้นเบา ไม่เข้ากันกับขนาดร่างกายของเขาเลยสักนิด “มีแขกอีกสี่ท่าน– ต้องเตรียมอาหารมากขึ้น”
เฉินเกอจ้องมองแผ่นหลังของคุณเจ้าของ เขาไม่รู้ว่าประโยคสุดท้ายของเจ้าของนั้นหมายถึงไปเตรียมอาหารให้มากขึ้นสำหรับพวกเขาสี่คนหรือว่าเตรียมจะเปลี่ยนพวกเขาสี่คนเป็นอาหารกันแน่
“ไปดูห้องก่อนแล้วกัน ผ่อนคลายกันสักนิด สำหรับตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องหวาดระแวง” เฉินเกอนั้นเป็นคนแรกที่เดินเข้าไปในทางเดินและใช้กุญแจที่ได้รับมาไขเปิดห้อง การตกแต่งภายในของห้องในโรงแรมนั้นต่างไปจากในเกมของเสี่ยวปู้เล็กน้อย มันใหญ่กว่าในเกมมาก
ชายแก เด็กมัธยมปลาย ผู้หญิง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ– ฉันอยากรู้ว่าแขกพวกนี้จะปรากฏตัวขึ้นในชีวิตจริงหรือไม่
ในเกม เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนแรกที่ถูกคุณเจ้าของฆ่า ดังนั้น หากในเกมนั้นลอกเลียนแบบจากในชีวิตจริง มันก็ปลอดภัยกว่าที่จะสันนิษฐานว่าเจ้าของร่างอ้วนนั้นมีอาวุธปืนของตำรวจอยู่กระบอกหนึ่ง และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฉินเกอไม่ได้ล่วงเกินคุณเจ้าของโดยตรง
“ห้องที่นี่สะอาดกว่าที่ผมคาดเอาไว้มาก” หมอถือกุญแจอีกดอกเอาไว้ และเขาก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้อง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าออกและก้มลงไปมองใต้เตียง
“คุณกำลังมองหาอะไรน่ะ?” ชายขี้เมางุนงง
“ผมพยายามตรวจดูว่าจะมีอะไรอย่างรอยเลือดหรือว่าชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์หรือเปล่า”
“คุณอย่าทำอย่างนั้นได้ไหม? พวกเราพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะหาจุดปลอดภัยให้นอนหลับได้ในคืนนี้ แล้วตอนนี้คุณก็กำลังทำให้ผมกังวลอีกแล้ว” ชายขี้เมาตามหลังหมอเข้าไป “พวกเรานอนห้องนี้ด้วยกันคืนนี้ดีไหม?”
ชายขี้เมานั้นกลัวจริง ๆ เขาไม่แค่กลัวอันตรายที่จะมาจากแขกคนอื่น ๆ ของโรงแรม เขายังกลัวผู้โดยสารคนอื่น ๆ มือกรรไกรนั้นชัดเจนว่าไม่ใช่คนธรรมดา– ทุกการขยับตัวของเขานั้นสามารถบรรยายได้ว่าเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง ผู้ชายอีกคนพร้อมกับค้อน ถึงแม้ว่าเขาจะดูรูปร่างหน้าตาปกติ สิ่งที่เขาทำและคำพูดของเขานั้นไม่ใช่ของคนธรรมดาอย่างแน่นอน เทียบกันแล้ว หมอนั้นเป็นปกติธรรมดาที่สุดในหมู่พวกเขาแล้ว
หลังจากตรวจดูห้องของตัวเองแล้ว เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าสะพายหลังและเริ่มเดินวนอยู่ที่หน้าประตูของห้องอื่น ๆ
ชายชราพักอยู่ในห้องที่หนึ่ง และฟันที่สามารถเรียกวิญญาณสีเลือดได้ก็อยู่ในลิ้นชักของห้องที่หนึ่งพร้อมกับกุญแจสำรองของทุกห้องที่นี่ด้วย
ตอนที่เฉินเกอเล่นเกมของเสี่ยวปู้ เขาได้รับตัวเลือกมากมาย ตอนที่เขาเข้าไปในห้องของชายชรา เสี่ยวปู้นั้นถูกจำกัดให้นำสิ่งของไปจากในห้องได้เพียงชิ้นเดียว แต่ว่านั่นคือเกม และนี่คือโลกจริง เฉินเกอวางแผนจะหยิบทุกอย่างที่เขาใช้การได้ยัดมันเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขาเพื่อให้เขาสามารถควบคุมโรงแรมนี้ได้โดยสมบูรณ์
“ที่นี่มันมีอะไรพิเศษถึงได้ตั้งอยู่กลางเมืองหลี่ว่านได้?”
ตอนที่เขาเล่มเกมของเสี่ยวปู้ เป้าหมายเดียวของเฉินเกอก็คือมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่เองแล้ว เขาต้องขุดคุ้ยความลับทั้งหมดของมันออกมา ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะสอดลูกกุญแจในมือเข้าไปในรูกุญแจแล้วเริ่มบิดไปมาเสียงดัง
เป็นธรรมดาอยู่แล้ว กุญแจของเขาย่อมไม่สามารถเปิดประตูห้องที่หนึ่งได้ เหตุผลเดียวที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดความสนใจของชายชราและเริ่มต้นขั้นต่อไปในแผนการของเขา ตัวตนเดียวที่สามารถคุกคามเฉินเกอได้ในโรมแรมแห่งนี้ก็คือวิญญาณสีเลือดที่ในตู้เย็น และฟันที่ในลิ้นชักของชายชราก็คือสิ่งสำคัญที่ใช้ปลุกวิญญาณสีเลือด มีเพียงแค่นำฟันเหล่านั้นไปเขาถึงจะดำเนินตามแผนได้โดยไม่ต้องกังวล เขารออยู่เป็นนาน แต่ว่าไม่มีปฏิกริยาตอบสนองใด ๆ จากในห้องที่หนึ่ง มันเหมือนว่าที่นี่เป็นห้องว่างห้องหนึ่ง
“คุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้? ห้องของพวกเราอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง คุณไม่เห็นหมายเลขห้องที่ติดไว้บนประตูเหรอ?” ชายขี้เมาวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาเตือนเฉินเกออย่างมีน้ำใจ เฉินเกอยิ้มและสอดกุญแจเก็บในกระเป๋า เขาอยู่จ้องประตูห้องที่หนึ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขากำด้ามค้อนในกระเป๋าแน่น เขาคิดและในที่สุดก็ตัดสินใจเลิกล้ม หากเขาหาฟันพวกนั้นไม่เจอหลังจากพังประตูเข้าไปหรือถ้าชายชรานั้นย้ายฟันไปไว้ที่อื่นก่อนแล้ว อย่างนั้นเรื่องต่าง ๆ ก็จะหลุดออกจากการควบคุมโดยง่าย
“ยิ่งเรื่องนี้ลากยาวไปเท่าไหร่ พวกเราก็จะยิ่งเจอเรื่องยุ่งยากเท่านั้น หลังจากบอสนั่นพบว่าพวกเราเป็นตัวอันตราย จากนั้นพวกเราก็จะทำอะไรยากแล้ว” เฉินเกอนั้นคิดเร็วและลงมือเร็ว เขามองหาช่องโหว่ เมื่อพนักงานของโรงแรมเผยจุดอ่อนออกมา เขาก็จะลงมือ
“พี่ชาย สิ่งเดียวที่เป็นอันตรายที่นี่ก็คือคุณนั่นแหละ ดังนั้นผมขอร้องให้คุณช่วยใจเย็นลงหน่อย!” ชายขี้เมารู้ว่าเฉินเกอนั้นคงไม่ฟังคำแนะนำของเขา เขาวิ่งไปหาคุณหมอ หวังว่าฝ่ายหลังจะสามารถช่วยเขาแนะนำเฉินเกอได้ แต่ว่า ตอนที่เขาหันกลับนั่นเอง ประตูห้องที่หนึ่งก็แง้มออก
“คุณมาผิดห้องแล้ว” เสียงของชายชราคนหนึ่งดังมาจากในห้อง เฉินเกอหรี่ตาและมองเข้าไปในห้องด้วยดวงตาหยินหยาง ไฟด้านในนั้นไม่ได้เปิด และชายชราตัวเล็กเตี้ยก็ยืนอยู่ด้านหลังประตูหลังโก่งโค้ง
“พวกเราต้องขอโทษด้วยจริง ๆ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะรบกวน” ชายขี้เมารีบขอโทษแทนเฉินเกอ เขาคว้าแขนเฉินเกอ “ไปกันเถอะ คุณกำลังสร้างปัญหาให้กับแขกคนอื่น ๆ นะ”
ชายขี้เมาอยากจะดึงเฉินเกอออกไปจริง ๆ กริยาและสีหน้าของเขานั้นสะท้อนสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในใจ
บางทีอาจจะเพราะอย่างนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของชายขี้เมา ชายชราก็ลดการระวังตัวลง มือที่กำอยู่ที่ลูกบิดประตูคลายออก และประตูก็แง้มกว้างขึ้นเผยให้เห็นมืออีกข้างของเขาก็ปล่อยไว้ข้างตัว มืออีกข้างนั้นเต็มไปด้วยบาดแผล และมันก็กำลังถือผ้าสีแดงกับฟันหลายซี่ที่ถูกฝนจนเรียบ
“เจอแล้ว!” ก่อนที่ใครจะทันทำอะไร เฉินเกอก็ยื่นมือไปจับประตูไว้ไม่ให้ชายชราปิดประตูลงได้
“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?” ทั้งชายขี้เมาและชายชราพูดเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขาทั้งคู่กำลังตื่นตระหนก
“ผมแค่ต้องการขอยืมบางอย่างจากคุณ” จากนั้นเฉินเกอก็เบียดตัวเข้าไปในห้องแล้วยกมือขึ้นปิดปากชายชราไม่ให้เขาร้องออกมา “มาช่วยผม! เก็บฟันทุกซี่ที่หล่นอยู่ที่พื้นขึ้นมา ทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้พลาดมันไปซักซี่!”
ชายขี้เมาอึ้งงันไป ฉันกำลังติดตามคนบ้าอยู่หรือเปล่า? เขาโจมตีชายชราไร้ทางสู้อย่างไม่มีเหตุผลและไม่มีการเตือน และจากวิธีที่เขาลงมือ มันเหมือนเขาวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นนานแล้ว!
ชายชราที่ถูกโจมตีดูเหมือนจะลืมดิ้นรนไป ฆาตกรทั่วไปหรือว่าผีย่อมต้องรอจนกว่าจะถึงกลางคืนถึงได้ค่อย ๆ แผ่บรรยากาศอันสิ้นหวังและจากนั้นก็ค่อย ๆ วางกับดัก ผลักเป้าหมายของพวกมันไปสู่ขอบเหวของความสิ้นหวัง น้อยมากที่จะมีใครทำเหมือนเฉินเกอและลงมือทันทีที่ประตูเปิดกว้างพอ
“พี่ชาย! คุณเจ้าของยังกำลังทำอาหารเย็นให้พวกเราอยู่นะ! คุณวางแผนจะลักพาตัวแขกของเขาอยู่ใช่ไหม?” ชายขี้เมารีบตามเฉินเกอเข้าไปในห้อง เขากลัวว่าพวกเขาจะทำเสียงดังวุ่นวายเกินไปและดึงดูดความสนใจของคนอื่น ๆ
“ตาแก่คนนี้ไม่ใช่แขก” เฉินเกอลากชายชราไปที่โต๊ะขณะที่อุดปากเขาเอาไว้
“งั้นเขาเป็นใครล่ะ?” ชายขี้เมานั้นประหลาดใจที่เฉินเกอรู้มากกว่าที่เขาแสดงออกและในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าชายชราคนนี้อันที่จริงอาจจะเป็นตัวอันตราย
“เขาเป็นพ่อของเจ้าของที่นี่คนนั้น” เฉินเกอเปิดลิ้นชักและก็เหมือนกับเขากลับมายังบ้านของตัวเอง เขาดึงลูกกุญแจ ฟัน และทุกอย่างในนั้นออกมา
“พ่อของเขา?” ชายขี้เมาเริ่มตะกุกตะกัก “งั้น ทำไมคุณถึงจะลักพาตัวพ่อของเขาในเมื่อพวกเราก็เพิ่งเจอกับคุณเจ้าของเป็นครั้งแรกคืนนี้เอง?”
“ทำไมคุณถึงมีคำถามมากมายนัก? มาช่วยผมนี่ ฉีกผ้าปูที่นอนเป็นเส้น ๆ แล้วบิดเอาไว้ พวกเราจะใช้มันต่างเชือกมัดตาแก่คนนี้เอาไว้” เฉินเกอเก็บของในลิ้นชักออกหมด เขาเก็บฟันทุกซี่เข้าไปในกระเป๋าแล้วสะพายหลังเอาไว้ เขาหันไปหาตาแก่ที่ดวงตาเบิกกว้างแล้วพูด “ผมจะไม่ทำร้ายคุณ และเพื่อตอบแทน ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือกับพวกเราและเลิกดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์”
ถึงแม้ว่าชายขี้เมาจะบอกว่าเขาไม่ยินดี แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็เป็นพวกเดียวกับเฉินเกอ เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอและเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นเชือกมัดชายชราเอาไว้
“เอาละ ตอนนี้พวกเราก็มีฟันนี่แล้ว พวกเราแค่ต้องระวังปืนสั้นที่คุณเจ้าของน่าจะมีอยู่กับตัว” เฉินเกอถอนหายใจโล่งอกและใช้ปลอกหมอนอุดปากชายชราเอาไว้ ได้ยินเสียงวุ่นวาย หมอและมือกรรไกรก็มาดู
“อย่ามองผมแบบนั้น เขาบอกให้ผมทำทั้งหมดนี่เลย” บนใบหน้าของชายขี้เมานั้นมีความจนปัญญาระบายอยู่เต็ม
“ผมไม่รู้ว่าต้องป้อนคนเป็น ๆ ให้กับวิญญาณสีเลือดที่ตะกละตะกรามนั่นเท่าไหร่ แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจได้ ไม่มีใครในโรงแรมนี้ที่มือไม่เปื้อนเลือด” เฉินเกอไม่มีเวลาอธิบายสถานการณ์ให้กับคนที่เหลือ “ทางที่ดีพวกเราไปจากที่นี่ก่อน มันง่ายเกินไปที่ตำแหน่งของพวกเราจะถูกเปิดเผยออกมาเวลาที่พวกเรารวมตัวกันอยู่อย่างนี้ ผมจะอธิบายสถานการณ์ให้พวกคุณฟังทีหลัง”
ทั้งกลุ่มเพิ่งออกจากห้องตอนที่เสียงของคุณเจ้าของดังมาจากในครัว
“ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว!” เจ้าของร่างอ้วนและชายร่างใหญ่ที่สวมหมวกแบบพ่อครัวปรากฏตัวขึ้นขณะผลักรถเข็นอาหารมา รถนั่นทาด้วยสีแดง มันดูค่อนข้างสดใส บนนั้นมีเค้กเก้าชิ้นและชาสีแดงกาหนึ่งวางอยู่
“เค้ก?” เห็นเค้กแล้วเฉินเกอก็นึกถึงฉากในเกมของเสี่ยวปู้ คนสี่คนจะแบ่งเค้กเก้าชิ้นให้ทุกคนเท่า ๆ กันโดยใช้มีดตัดแค่ครั้งเดียวได้อย่างไร?
บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เฉินเกอ หมอ มือกรรไกร และชายขี้เมา– พวกเขาบังเอิญมีกันสี่คนพอดี
“ฉันว่านี่จะไม่ใช่อาหารเย็น แต่ว่าเป็นอาหารค่ำ ถ้าพวกคุณหิว ก็กินกันก่อนได้เลย” เจ้าของร่างอ้วนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ห้องที่หนึ่งและมองมายังเหล่าแขกพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า ภายใต้การพิจารณาอย่างละเอียดของเขานั้น เฉินเกอ หมอ และมือกรรไกรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่ชายขี้เมาเท่านั้นที่เผยแววขอโทษขอโพยอยู่บนใบหน้า
“เชิญนั่งเลย” เจ้าของร่างอ้วนนั้นดูเป็นมิตรมาก เขาช่วยพ่อครัววางเค้กลงบนโต๊ะ หมอ ชายขี้เมา และมือกรรไกรเลือกนั่งข้าง ๆ กัน ตอนที่เฉินเกอกำลังจะนั่งลงนั้นหัวใจของเขาก็เต้นรัวขึ้นเพราะว่าเขาได้ยินเสียงแทรกก้องอยู่ในหู
“ซู่อินกำลังเตือนฉัน? เก้าอี้นี่มีปัญหาใช่ไหม?” เฉินเกอลุกขึ้นอีกครั้งแล้ววางกระเป๋าสะพายหลังลงที่เก้าอี้แทน ไม่มีแขกคนไหนแตะต้องเค้ก กระทั่งชายขี้เมาก็รู้ว่ามันอันตรายแค่ไหนที่จะกินอาหารแปลก ๆ ในสถานที่อันตรายเช่นนี้
“อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณคิดว่าผมทำอะไรกับเค้กไว้” เจ้าของร่างอ้วนหัวเราะอย่างมีอัธยาศัยดี “ที่นี่เป็นสถานประกอบการที่มีชื่อเสียง เชิญรับประทานอาหารได้โดยไม่ต้องกังวล ทุกอย่างที่มีบริการในคืนแรกล้วนไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ถ้าคุณต้องการอยู่ต่อ อย่างนั้นผมถึงจะเรียกรับค่าตอบแทนจากคุณ”
จากนั้นเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็ช่วยกันผลักรถเข็นออกไปทิ้งให้กลุ่มของเฉินเกออยู่ในห้องโถง
“เจ้าของดูไม่เหมือนคนเลว” สายตาของชายขี้เมาวนเวียนอยู่ที่ห้องที่หนึ่ง “ถ้าเขารู้ว่าพวกเราลักพาตัวพ่อของเขา เขาคงโกรธจนระเบิด”
“มองโต๊ะนี่ก่อนที่จะสรุปอย่างนั้น” ฟางหยวนย้ายจานเค้กออกไปเผยให้เห็นรอยมีดมากมายบนโต๊ะไม้ บางรอยนั้นดูลึกเหมือนเกิดจากการใช้แรงสุดกำลัง “คุณรู้ไหมว่าทำไมถึงมีเค้กเก้าชิ้นทั้งที่พวกเรามีกันแค่สี่คน?”
“ทำไม?” ชายขี้เมาเพิ่งถามจบตอนที่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหัวเบาและแทบจะล้มไปกับพื้น
“นี่ไม่ดีแล้ว!” หมอและมือกรรไกรตระหนักถึงบางอย่างผิดปกติในทันที พวกเขาพยายามลุกขึ้นยืนแต่พบว่าเรี่ยวแรงนั้นหายไปจากร่าง
“พวกเราไปกระตุ้นกับดักได้ยังไงกัน?” เฉินเกอคิดว่าพวกเขาระมัดระวังมากแล้ว แต่ก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้น “แล้วทำไมฉันถึงไม่รู้สึกมึนงงอะไรเลย?”
เฉินเกอดึงกระเป๋าสะพายหลังออกและใช้ดวงตาหยินหยางสำรวจที่เก้าอี้ ในที่สุดเขาก็พบบางอย่าง เก้าอี้นั้นเก่า และที่นั่งก็ไม่เรียบ มีหมุดสีแดงเล็กจิ๋วซ่อนอยู่ เมื่อมองใกล้ ๆ เฉินเกอก็พบว่ามันคือเล็บของคนที่ชุ่มไปด้วยเลือด
เมื่อมีเค้กวางไว้บนโต๊ะ ความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงไปที่เค้ก เก้าอี้ถูกดึงออกจากโต๊ะ และน้อยคนที่จะให้ความสนใจกับที่นั่งของเก้าอี้
“ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมนี่จึงเป็นฉากระดับ 3.5 ดาว กระทั่งมีไกด์อยู่ก็ยังมีโอกาสที่จะทำภารกิจล้มเหลว” เฉินเกอถือกระเป๋าเอาไว้แล้วมองไปข้างหลัง ประตูห้องครัวเปิดอยู่และมีศีรษะของสองคนโผล่ออกมา เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวกำลังจับตามองพวกเขาอยู่ หลังจากพบว่าแขกทั้งสามนั้นติดกับดักพวกเขาแล้ว เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็เดินออกมาจากในห้องครัวพร้อมรอยยิ้มกว้าง พวกเขาถือมีดตัดกระดูกเอาไว้ในมือ
“แกเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่แล้ว” น้ำเสียงของคุณเจ้าของเปลี่ยนไป เขาเลิกเสแสร้งแล้ว
เห็นมีดที่ในมือของเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัว เฉินเกอก็เผยยิ้มออกมาช้า ๆ “พวกเขาถือมีดเข้ามาหาฉัน ดังนั้นนี่ย่อมหมายความว่ามีโอกาสสูงทีเดียวที่เจ้าของจะไม่มีปืน ฉันจะลงมือเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้พอ และจากนั้นพวกเขาก็จะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์อีกเลย”